Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 47

ตอนที่ 47

ตอนที่ 47 ล้างแค้น

ระหว่างทางกลับไปยังบ้านเลขที่แปดสิบแปด เสียงโทรศัพท์ของฉินอวี่พลันดังขึ้น ในขณะที่กำลังพูดคุยกับหลินเหนียนเล่ย

“ว่าไงจู้เหว่ย?”

“กลุ่มคนกว่าหนึ่งร้อยกำลังก่อจลาจลที่ถนนเถ้าธุลีครับ เฒ่าหลี่ออกคำสั่งให้ตำรวจทุกนายที่ออกเวรกลับสำนักงานเดี๋ยวนี้ เตรียมตัวสลายฝูงชนและจับกุมแกนนำครับ!” จู้เหว่ยกล่าวด้วยความร้อนรน

ฉินอวี่รู้สึกแปลกใจก่อนพึมพำออกมา “เดาไว้แล้วว่าตระกูลหยวนไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่ รอก่อน…ฉันจะไปที่สำนักงานเดี๋ยวนี้แหละ”

“ครับ”

ทั้งสองกดวางสายอย่างรวดเร็ว จากนั้นฉินอวี่จึงหันมากล่าวกับหลินเหนียนเล่ย “เธอต้องกลับบ้านคนเดียวแล้วล่ะ เกิดเรื่องขึ้นที่ถนนเถ้าธุลี ฉันต้องรีบไปที่นั่น”

“ไปเถอะ…ฉันเดินกลับเองได้” หลินเหนียนเล่ยพยักหน้าพร้อมกล่าวตอบ

“รีบกลับบ้านและอย่าเถลไถลล่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะดึกแล้วมันอันตราย”

“รู้แล้วๆ นายรีบไปเถอะ”

“งั้นฉันไปล่ะ!” ฉินอวี่รู้ว่าเวลาแห่งความสุขของตนกับหลินเหนียนเล่ยนั้นหมดลงแล้ว เขาจึงหันหลังกลับและวิ่งไปที่สำนักงานตำรวจทันที

ณ กองบัญชาการหน่วยที่หนึ่ง สำนักงานตำรวจนครบาล

รองผู้บังคับหมวดสั่งให้สมาชิกของหน่วยที่หนึ่งมารวมตัวกันที่สำนักงานเพื่อเข้าร่วมการประชุม ยกเว้นทีมสามที่ไม่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้

หัวหน้าหน่วยสามยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงานพลางกวาดสายตามองลูกน้องที่ยืนล้อมรอบ และแจ้งพวกเขาให้ทราบเกี่ยวกับคำสั่งที่ได้รับมา “พวกพ่อค้ายาก่อเหตุทะเลาะวิวาทที่ถนนเถ้าธุลี มันไม่สนหรอกว่าพวกคุณจะปฏิบัติหน้าที่อยู่หรือไม่ ดังนั้นผมอยากให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง อย่าทำตัวเป็นวีรบุรุษและเข้าจับกุมแบบโง่ๆ เด็ดขาด!”

“รับทราบ”

“รับทราบ”

ตำรวจนับสิบนายตั้งใจฟังคำสั่งของหัวหน้าหน่วยสามด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ลึกๆ แล้วทุกคนรู้ดีว่าอันธพาลเหล่านั้นคือคนจากตระกูลหยวน และหัวหน้าหน่วยสามก็สั่งพวกเขาทางอ้อมว่าให้ปฏิบัติการอย่างเบามือ

หัวหน้าหน่วยสามสั่งการพวกเขาอยู่สองถึงสามเรื่องก่อนวางถ้วยกาแฟลง “ไปรับชุดปราบจลาจลซะ เราจะมุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุ อย่าลืมหมุนหาคลื่นความถี่ของวิทยุสื่อสารให้ตรงกับหน่วยที่หนึ่ง เพราะถ้ามีการเปลี่ยนแปลงผมจะติดต่อไป”

ทุกคนพยักหน้ารับทราบก่อนเดินออกจากห้อง

ระหว่างทางไปยังสำนักงานตำรวจนครบาล

ฉินอวี่รู้ดีว่าผู้ก่อเหตุที่ถนนเถ้าธุลีคือคนของตระกูลหยวนและตระกูลหม่า ดังนั้นเขาจึงตั้งใจโทรหาแมวเฒ่าเพื่อปรึกษาถึงวิธีแก้ปัญหา

กริ๊ง!

ฉินอวี่ยังไม่ทันกดโทรออกก็มีสายเรียกเข้าดังขึ้นเสียก่อน

“ว่าไง?” ฉินอวี่รับสาย

“หัวหน้า! ทุกคนในหน่วยที่หนึ่งถูกเรียกประชุม ยกเว้นหน่วยสามที่ไม่ได้รับแจ้งครับ!” จู้เหว่ยกล่าวด้วยความกังวล “พวกเราควรปฏิบัติการตามแผนของทีม หรือแผนของหน่วยที่หนึ่งดีครับ?”

ฉินอวี่ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนตอบกลับ “นายขับรถพาทีมสามไปที่บ้านฉันก่อน เราค่อยวางแผนกันที่นั่น”

“ครับ” จู้เหว่ยพยักหน้ารับ

“บอกทุกคนในทีมว่าไม่ต้องตื่นตระหนก การที่หัวหน้าหน่วยสามไม่ได้เรียกเราเข้าประชุมถือเป็นเรื่องดี ไม่งั้นต้องเสียเวลาคอยขัดขวางพวกเขาไม่ให้ทำแผนพังอีก รู้แค่ว่าฉันจะเป็นคนรับหน้าถ้าหยวนเค่ออยากลงโทษพี่น้องในทีมของเรา”

ฉินอวี่รู้ดีว่าเหตุผลที่จู้เหว่ย กวนฉี และสมาชิกทีมสามเต็มใจยืนเคียงข้างตนในวันนั้น นอกจากความไว้วางใจในความสามารถของฉินอวี่แล้ว เหตุผลที่สำคัญคือเขามีผู้กำกับหลี่หนุนหลังอยู่ ทุกคนในทีมจึงกล้าท้าทายหยวนเค่อ

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฉินอวี่คือการสร้างความเชื่อใจให้กับลูกน้อง เพื่อเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นสมาชิกของทีมสามไม่ใช่คนของหน่วยที่หนึ่ง ด้วยเหตุนี้ฉินอวี่จึงต้องสร้างความมั่นใจแก่ลูกน้องเมื่อต้องออกปฏิบัติการและตกรางวัลในทุกครั้งที่ทำสำเร็จ ดังนั้นสิ่งแรกที่ฉินอวี่นึกถึงหลังจากได้รับเงินสามหมื่นดอลลาร์จากเฒ่าหม่าคือการปันส่วนเงินให้กับพวกเขา

ผู้คนในยุคปัจจุบันสานสัมพันธไมตรีต่อกันโดยเน้นผลประโยชน์เป็นหลัก พวกเขาคำนึงว่าบุคคลที่ติดต่อด้วยให้ผลตอบแทนแก่ตนมากน้อยเพียงใดและคุ้มค่าหรือไม่

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย”

“ตอนนี้ฉันอยู่ระหว่างทางไปสำนักงาน ถ้านายขับรถเร็วกว่านี้ก็จะเห็นฉันเดินอยู่ข้างทาง”

“รับทราบ” จู้เหว่ยกล่าวตอบก่อนกดวางสาย

ฉินอวี่มองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือก่อนเร่งฝีเท้าเดินผ่านถนนอันหนาวเหน็บ ในขณะที่กำลังกดหมายเลขโทรศัพท์ของแมวเฒ่า จู่ๆ ฉินอวี่สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังจับตามองเขาอยู่

มันคือสัญชาตญาณที่ฉินอวี่ค้นพบหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเขตพัฒนานานหลายปี เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาหันกลับไปมองทันที

ริมถนนมีชายที่สวมหมวกขนสัตว์และเสื้อคลุมสกปรกกำลังก้มศีรษะและเดินอย่างเร่งรีบ

ฉินอวี่ชำเลืองมองชายผู้นั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนหันกลับมาสนใจโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ

ทันใดนั้นเอง…เสียงฝีเท้าด้านหลังของฉินอวี่ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

ฉินอวี่จึงหันกลับไปมองอีกครั้ง และพบว่าเป็นจังหวะที่ชายสวมหมวกขนสัตว์เงยหน้าขึ้นพร้อมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพอดี

ตอนนี้ทั้งสองคนยืนห่างกันประมาณสิบเมตร การที่ฉินอวี่หันกลับไปมองอย่างกะทันหัน ทำให้ชายที่สวมหมวกขนสัตว์สะดุ้งเล็กน้อย

ในขณะเดียวกัน ฉินอวี่สังเกตเห็นว่ามีชายแปลกหน้าอีกสองคนกำลังเดินข้ามถนนและมุ่งหน้ามาทางเขา

เขาสัมผัสได้ถึงลางร้าย!

พรึ่บ!

ชายสวมหมวกขนสัตว์ชักปืนออกมา!

เพล้ง!

ฉินอวี่กระแทกตัวเข้ากับกระจกของอาคารพาณิชย์ที่อยู่ริมถนนโดยไม่ลังเล จากนั้นเขาจึงหนีเข้าไปด้านในพร้อมกับเศษแก้วที่บาดตามตัว

เสียงกระจกแตกดังขึ้นภายในอาคารพาณิชย์ ทำให้หญิงสาวสี่คนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันตกใจสุดขีดจนวงสนทนาแตกกระเจิง! ฉินอวี่ก็เดินโซเซเข้ามาด้านใน

“กรี๊ด!”

เหล่าหญิงสาวกรีดร้องพร้อมเอามือกุมศีรษะก่อนวิ่งขึ้นไปชั้นบนด้วยรองเท้าส้นสูงราคาแพง

หลังจากเข้าไปในอาคาร ฉินอวี่ได้เดินสำรวจรอบๆ ห้องอย่างรวดเร็วก่อนมุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นสอง

อันธพาลทั้งสามคนยืนอยู่ด้านหน้าอาคารที่ฉินอวี่หลบหนีเข้าไป พวกเขาตัดสินใจยกปืนขึ้นและเริ่มกระหน่ำยิง

ปัง ปัง ปัง!

เสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ในขณะที่เลือดไหลออกมาจากบาดแผลของฉินอวี่ไม่ขาดสาย แต่เขายังคงคลำหาทางขึ้นไปชั้นบนอย่างไม่ย่อท้อ

“เข้าไปจับมัน!” ชายที่สวมหมวกขนสัตว์ออกคำสั่งอย่างเย็นชา

ชายชาวรัสเซียสองคนที่อยู่ด้านข้างยกเท้าถีบประตู และถือปืนบุกเข้าไปในอาคาร

บนทางเดินชั้นสองของอาคาร ฉินอวี่มองสำรวจรอบๆ อย่างรวดเร็วและพบว่าชั้นนี้ถูกปิดตาย ไม่มีแม้แต่หน้าต่างเพื่อหลบหนี เขาจึงทำได้เพียงถีบประตูก่อนรีบเข้าไปหลบในห้อง

เมื่อสำรวจภายในห้องเรียบร้อยแล้ว ฉินอวี่จึงกระโดดขึ้นดึงตู้เสื้อผ้าที่ผุพังให้ล้มลงมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี

ตึง!

หลังจากตู้เสื้อผ้าล้มลงกับพื้น ฉินอวี่จึงกัดฟันพลางใช้ไหล่ดันตู้เสื้อผ้าที่ล้มลงบนพื้นไปทางประตูเพื่อใช้มันปิดกั้น

หลังจากทำสำเร็จ ฉินอวี่จึงเอนตัวพิงตู้เสื้อผ้าพลางหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาเริ่มใช้มือขวาคลำสำรวจร่างกายและพบว่าตนถูกยิงเข้าที่ต้นขาขวา

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย ฉินอวี่จึงล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรหาจู้เหว่ยทันที

“สวัสดีครับ?”

“รีบมาสิวะ! ฉันกำลังจะโดนฆ่า!” ฉินอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่ยังคงควบคุมสติไว้ได้ “ฉันอยู่ในร้านขายเนื้อสัตว์ที่ไม่มีป้ายชื่อร้านบนถนนป๊อปปี้ กระจกหน้าร้านแตกเป็นเสี่ยงๆ และมีผู้ร้ายสามคน…เร็วเข้า!”

บนทางเดิน…พวกอันธพาลสามคนที่ถือปืนอยู่ในมือกำลังเดินสำรวจรอบๆ

ถนนเถ้าธุลี

การทะเลาะวิวาทของชายนับร้อยคนที่เกิดจากการยั่วยุของชายชาวรัสเซีย ได้ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นการจลาจลของผู้คนกว่าหลายร้อยคนอย่างรวดเร็ว

เหล่าลูกน้องของตระกูลหม่าไม่มีท่าทีคุกคามใดๆ และต่อให้เฒ่าหม่าไม่เอ่ยปาก…เหล่าลูกน้องระดับกลางและล่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เต็มใจจะป้องกันตัวเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

ในขณะนี้เหล่าพ่อค้ายากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดบนถนนเถ้าธุลีด้วยอาวุธสังหาร…

………………………………….

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Status: Ongoing

โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย…

‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง

ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม!

ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้…

ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท