ตอนที่ 54 รออย่างมีหวัง
ตกค่ำ ฉินอวี่และแมวเฒ่าร่วมวงทานอาหารเย็นกับครอบครัวฉีหลิน พวกเขาใช้เวลาปลอบใจหญิงชราตลอดมื้อเย็นว่าจะหาทางพาฉีหลินกลับเขตพิเศษที่เก้าหลังจากสถานการณ์ทุกอย่างสงบลงให้ได้
หญิงชรายังไม่รู้ว่าอาหลงตายแล้ว เธอไม่ได้หวังให้ลูกชายร่ำรวยหรือมีอำนาจใหญ่โต เธอหวังเพียงให้เขามีชีวิตที่ดีและการงานที่มั่นคง หากเป็นแบบนั้นได้ ต่อให้วันสุดท้ายของชีวิตมาถึงก็จะไม่เสียใจเลย
ฉินอวี่และแมวเฒ่าต่างรู้อยู่แก่ใจว่าหากตระกูลหยวนยังอยู่ ฉีหลินจะไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุข การกลับไปเป็นตำรวจในเขตพิเศษที่เก้านั้นคงเป็นแค่ความฝัน
หลังทานอาหารเย็นเสร็จ ชายหนุ่มทั้งสามไปรวมตัวกันในห้องนอนฉีหลิน แมวเฒ่าล้วงโทรศัพท์ออกมาทันทีหลังปิดประตู
“เครือข่ายโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นของบริษัทเล็กๆ ในเฟิงเป่ย” แมวเฒ่าพูดพร้อมส่งโทรศัพท์ให้ฉีหลิน “ใช้เครื่องนี้ติดต่อเพื่อนของอาหลง”
“อืม”
ฉีหลินรับโทรศัพท์มาและกดเบอร์โทรตามข้อความในสมุดบันทึก
หลังรอสายอยู่ครู่หนึ่ง ฉีหลินก็ส่ายหัวและพูดขึ้น “ไม่ติด เขาปิดโทรศัพท์”
ฉินอวี่ครุ่นคิดหาทางอย่างจริงจัง “เพื่อนอาหลงอาจรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาในซ่งเจียง…ถึงไม่กล้าใช้เบอร์นี้ติดต่อเพราะกลัวโดนหางเลข”
“บ้าเอ๊ย! ถ้างั้นก็ซวยสิ” แมวเฒ่าสบถอย่างไม่สบอารมณ์
“งั้นนายลองส่งข้อความดู” ฉินอวี่ล้วงบุหรี่ไฟฟ้าออกมาพลางพูดขึ้น “บอกเขาไปตรงๆ เลยว่าอาหลงตายแล้วและนายคือน้องชายของเขา นายไม่มีที่ไปในเขตพิเศษที่เก้าเลยโทรขอความช่วยเหลือ”
“เขาจะเชื่อเหรอ?” ฉีหลินขมวดคิ้วถาม
“ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกหนิ” ฉินอวี่ยืนกราน “ตอนนี้ในซ่งเจียงมีแต่เรื่องวุ่นวายไปทั่ว และสักวันเพื่อนอาหลงก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดี ยังไงก็พูดความจริงไปเถอะ”
“เอางั้นก็ได้” ฉีหลินพยักหน้าพร้อมพิมพ์ข้อความส่งไปยังหมายเลขเพื่อนอาหลง
ฉินอวี่สูบบุหรี่ไฟฟ้าก่อนถอนหายใจและพูดว่า “ที่เหลือก็แล้วแต่ดวง ถ้าเพื่อนอาหลงเปลี่ยนเบอร์ไปแล้วจริงๆ เราก็หมดหวัง แต่ถ้าเขายังเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ เดี๋ยวก็คงติดต่อกลับมา”
แมวเฒ่าประนมมือ “สาธุ ขอให้ลูกติดต่อเพื่อนอาหลงได้ทีเถอะ ถ้าสำเร็จลูกจะเอาแม่ของหยวนเค่อไปถวายแก้บน”
…
สองวันผ่านไป ทั้งสามเริ่มหมดหวังเพราะยังไม่ได้รับการตอบกลับจากเพื่อนอาหลง
ในบ้านหลังเก่า แมวเฒ่าผู้เฉยเมยกับทุกสถานการณ์ยังเป็นกังวลอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเดินไปทั่วบ้านอย่างกระวนกระวายใจก่อนพูดขึ้น “รอไปก็แค่นั้น ฉันว่าหมอนั่นไม่ได้ใช้เบอร์นี้แล้ว ไม่งั้นเราคงไม่ต้องรอนานขนาดนี้”
“อืม นั่นดิ” ฉีหลินนั่งขมวดคิ้ว “ผ่านไปสองวันยังไม่มีการตอบกลับ ปิดเบอร์ไปแล้วมั่ง”
ส่วนฉินอวี่ยังคงนิ่งเงียบ
“ซวยจริงๆ เลย” แมวเฒ่าถอนหายใจด้วยความโมโห “ถ้ายังเคลียร์ปัญหาไม่ได้ แล้วฉันจะแบกหน้ากลับซ่งเจียงยังไงวะ”
“นายจะกลัวอะไร? มีเฒ่าหลี่คุ้มกะลาหัวอยู่ทั้งคน พวกหยวนเค่อไม่กล้ายุ่งหรอก” ฉินอวี่หันไปพูด “ฉันนี่สิที่จะจบเห่ ถ้าภายในสามเดือนยังไม่ได้เส้นทางขนสินค้าละก็ซวยของจริงแน่”
ทั้งสามคนนั่งมองหน้ากันอย่างสิ้นหวัง
“กริ๊ง!”
ฉับพลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น!
ชายหนุ่มสามคนมองหน้ากันก่อนฉินอวี่จะหันไปถามแมวเฒ่า “ของนายหรือเปล่า?”
แมวเฒ่าตกตะลึงชั่วครู่ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เขายิ้มและอุทานด้วยความตื่นเต้น “เบอร์ใหม่!”
“ให้ฉีหลินรับสิ!” ฉินอวี่ยืนขึ้นด้วยความกระวนกระวายใจพร้อมตะโกนบอกแมวเฒ่า
ฉีหลินยิ้มอย่างตื่นเต้นขณะรับโทรศัพท์ “ฉันบอกแล้ว! ถึงพระเจ้าจะใจร้าย แต่เขาก็ชอบช่วยฉัน!”
ฉีหลินกดรับสายทันทีที่พูดจบ
“สวัสดีครับ?” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากปลายสาย
ฉินอวี่กดเปิดลำโพงพลางเอ่ยถาม “เพื่อนของอาหลงใช่ไหมครับ?”
ปลายสายเงียบไป
“ไม่ต้องกลัวครับ ผมเป็นน้องชายอาหลง” ฉีหลินกลัวว่าอีกฝ่ายจะวางสายไปซะก่อนจึงรีบโพล่งออกไป “ผมยังไม่เคยติดต่อคุณ ไม่มีใครรู้เบอร์นี้นอกจากผม อาหลงเป็นคนให้กับมือตัวเองเลยครับ”
“ฉันจะรู้ได้ไงว่าแกเป็นน้องอาหลงจริง?” ในที่สุดปลายสายก็พูดขึ้น
“ผมชื่อฉีหลิน อาศัยอยู่กับแม่และน้องสาว มีพี่ชายชื่ออาหลง…เขาหนีออกจากบ้านเมื่อสองปีที่แล้วและไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย” ฉีหลินเริ่มพูดทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่ชาย “อาหลงมีรอยแผลเป็นที่หัวไหล่ข้างขวา ชอบเอาขาข้างหนึ่งพาดเก้าอี้ตอนกินข้าว…”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยถาม “ถ้าอาหลงตายไปแล้ว นายจะโทรหาฉันทำไมอีก?”
“ก่อนอาหลงตายเขาให้เบอร์นี้ไว้ และบอกให้ผมติดต่อไปถ้าต้องการความช่วยเหลือ” ฉีหลินตอบตามจริง “ซึ่งตอนนี้ผมไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว…”
“อาหลงตายไปแล้ว ส่วนพวกลูกน้องถูกจับจนหมด” อีกฝ่ายตอบ “ตอนนี้ฉันอาจถูกหมายหัวอยู่ก็ได้ ไม่มีเวลาว่างมาดูแลใครหรอก โชคดีนะ”
“เดี๋ยวสิ ฟังผมก่อน!” เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะวางสายฉีหลินจึงรีบร้อนตะโกนออกไป “ผมไม่ได้จะขอให้ช่วย แต่ผมเอาข้อเสนอมาให้”
“ข้อเสนออะไร?”
“ผมอยากสานต่องานของอาหลง”
ปลายสายตะลึงไปชั่วขณะก่อนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หืม? อาหลงเคยพูดเรื่องนายให้ฟังอยู่บ้าง นิสัยอย่างนายอยู่วงการนี้ไม่รอดหรอก”
“รู้ได้ไงว่าไม่รอด?” ฉีหลินพูดอย่างมั่นใจ “ก่อนออกจากซ่งเจียง ผมก่อจลาจลบนถนนศักราชใหม่ด้วยการฆ่าไอ้เสือกับหยวนเหว่ยเพื่อช่วยน้องสาวจากเงื้อมมือหยวนหัว ผมเชื่อว่าอาหลงคงไม่กล้าทำอย่างผมแน่”
ปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากได้ยินก่อนตอบกลับ “ความกล้าและความเด็ดขาดคือพื้นฐานในการทำงานนี้ แต่ถ้านายไม่มีเส้นสายไว้ช่วยเหลือก็จบเห่”
“ตระกูลหม่าล่ะ พอได้ไหม?” สมองของฉีหลินคิดหาคำตอบอย่างรวดเร็ว “ผมเคยติดต่อพวกเขามาก่อน”
“นายเคยคุยกับพวกเขาแล้วเหรอ?”
“ใช่ ผมตกลงกับเฒ่าหม่าโดยตรง”
“แต่แค่ตระกูลหม่าไม่พอหรอกนะ” อีกฝ่ายส่ายหัว
“ตอนนี้หลานชายผู้กำกับการสำนักงานตำรวจนครบาลพื้นที่ทมิฬอยู่กับผม” ในที่สุดฉีหลินก็เปิดไพ่ลับ การทำงานเป็นตำรวจทำให้เขามีไหวพริบในการอ่านสถานการณ์ ดังนั้นเขาจึงสามารถคาดเดาว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “เพียงพอยังครับ?”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบอย่างลังเล “ไว้บอกอีกที…”
“ตกลง”
หลังคุยกันจบทั้งสองก็วางสายทันที
…
ทางตอนเหนือของเขตพัฒนาห่างจากเขตพิเศษที่เจ็ดสามร้อยกิโลเมตร ชายหัวล้านวัยกลางคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลข
หลังรอสายไม่นาน
“มีอะไร?”
“ลูกพี่ น้องชายของอาหลงโทรหาผมครับ” ชายหัวล้านตอบ
………………………………….