ตอนที่ 57 ชายนิรนามในชุดกันลมหนังแพะและผมหางม้า
คังเดินตามพนักงานขึ้นไปยังห้องพักที่จองไว้บนชั้นสาม เขามองสภาพโดยรอบก่อนนั่งลงบนเตียงและหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความ
“ผมมาถึงแล้วนะครับลูกพี่ กำลังจะติดต่อหาพวกนั้น”
“อืม” อีกฝ่ายรีบตอบกลับ
เมื่อรายงานลูกพี่แล้ว คังจึงโทรหาฉินอวี่ “มาถึงรึยัง?”
“สวัสดีครับพี่คัง” หลังติดต่อกันหลายครั้งทำให้ฉีหลินทราบชื่อของอีกฝ่าย “พวกผมมาถึงแพลตตินั่มคาสเซิลแล้วครับ”
“อยู่ตรงไหน?” คังถาม
“ห้องพักชั้นสองครับ” ฉีหลินตอบอย่างตรงไปตรงมา
ในห้องมืด คังนั่งครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนพูดขึ้น “มาที่ห้องหมายเลขเก้า ชั้นสาม”
“ได้ครับ”
“เออ”
หลังวางสาย คังเดินไปที่ประตูและมองผ่านช่องตาแมวเพื่อสังเกตห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
…
ที่ชั้นสอง
ฉีหลินเก็บโทรศัพท์ก่อนหันไปบอกฉินอวี่และแมวเฒ่า “เพื่อนอาหลงมาถึงแล้ว เขารอเราอยู่ชั้นสาม”
“อ้าว เขาไปรออยู่ชั้นสามทำไม? ไม่ได้นัดกันที่ห้องนี้เหรอ?” แมวเฒ่าถามด้วยความสงสัย “หรือว่าหมอนั่นคิดจะ…?”
ก่อนที่แมวเฒ่าจะหลุดพูดอะไรไปมากกว่านั้น ฉินอวี่จึงรีบคว้าข้อมือเขาไว้ ก่อนหันไปพูดกับหญิงสาวทั้งสามว่า “พวกเธอออกไปได้แล้ว”
แมวเฒ่าหุบปากทันทีที่ถูกห้าม
โกโก้ตะลึงอยู่ชั่วครู่ก่อนหันไปพูดกับหญิงสาวอีกสองคนว่า “พวกเราออกไปกันเถอะ พวกพี่ๆ คงอยากคุยกันส่วนตัว”
ฉินอวี่นั่งมองโกโก้และสาวสวยอีกสองคนเดินออกไปก่อนพูดขึ้นอย่างจริงจัง “หลังจากรับสายเพื่อนของอาหลง เราก็รีบร้อนมาทันทีทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน ฉันว่าเรามาวางแผนก่อนไปเจอหมอนั่นกันเถอะ”
เมื่อได้ฟังที่ฉินอวี่พูด ฉีหลินกับแมวเฒ่าจึงหยิบปืนพกที่เอวออกมา ปืนเหล่านี้ซื้อมาพร้อมกับตอนที่ได้รถจี๊ปจากทหาร ทั้งสามตรวจสอบปืนอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่ามันใช้งานได้ ก่อนจะหยิบกระสุนในกระเป๋าสัมภาระออกมาแจกจ่าย
“แอ๊ด!”
จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก โกโก้ตกใจยืนตัวแข็งเมื่อเห็นชายสามคนถือปืนอยู่
ฉินอวี่หันขวับไปที่ประตูก่อนจะจ้องหน้าโกโก้ด้วยความด้วยโมโห “ใครบอกให้เธอเข้ามา?!”
“นะ…หนูลืมกระเป๋าไว้เลยเข้ามาเอา ชะ…เชิญพวกพี่ตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวหนูค่อยมาเอาก็ได้…” พูดจบโกโก้ก็รีบปิดประตูทันที
แมวเฒ่าเหลือบมองที่โซฟาและเห็นว่ากระเป๋าของโกโก้วางอยู่จริง เขาจึงหันไปพูดกับอีกสองคนว่า “รีบไปกันเถอะ”
เมื่อเตรียมตัวกันเสร็จเรียบร้อย พวกเขาจึงออกจากห้องพักและขึ้นไปยังชั้นสาม
…
ที่ชั้นสาม
มีใครบางคนโทรศัพท์มาหาคัง เขามองหมายเลขที่โทรเข้ามาแต่ยังไม่ทันได้กดรับสาย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอกประตูดังขึ้น
ตรงโถงทางเดิน ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อกันลมหนังแพะ กางเกงคาร์โก้สีเขียวลายพราง และรองเท้าบูตหนังสกปรก รอบเอวมีเข็มขัดเส้นหนารัดอยู่ ผมยาวถูกมัดรวบเป็นหางม้า เขาเดินนำพรรคพวกอีกสี่คนตรงมายังห้องหมายเลขเก้าอย่างช้าๆ
ใบหน้าของชายหนุ่มนิรนามเต็มไปด้วยหนวดเคราหนา ดวงตาของเขาดูเฉียบคมเป็นพิเศษ ริมฝีปากแสยะยิ้มอยู่ตลอดเวลาทำให้ยากจะคาดเดาความคิด เขาหันไปด้านหลังก่อนจะออกคำสั่ง “มันอยู่ในนี้ เข้าไปจับมัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พรรคพวกสองคนที่อยู่ทางด้านซ้ายสุดและขวาสุดก็เร่งฝีเท้าไปข้างหน้า แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นมาจากบันไดชั้นสอง
“ฉันทุ่มให้แกไปจนหมดหน้าตัก! แล้วแบบนี้หมายความว่าไง?”
“เพื่อนรัก นายจะหาว่าฉันโกงเหรอ? ฉันไม่ใช่พระเจ้านะ…จะให้รับประกันได้ไงว่าทุกคนจะได้เงินเหมือนกัน”
“อย่ามาโกหก! ฉันรู้ว่าแกตั้งใจจะฮุบเงินฉัน!”
ชายที่อยู่ทางซ้ายชะงักฝีมือก่อนจะหันไปถามชายหนุ่มว่า “เอาไงต่อดี?”
“ไม่ต้องไปสนใจพวกมัน ทำหน้าที่ของตัวเองไป” ชายหนุ่มในเสื้อกันลมหนังแพะตอบพลางสอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พรรคพวกของเขาก็เดินหน้าต่อทันที
…
กลับมาที่ชั้นสอง
ชายสามคนกับชาวผิวขาวอีกสามคนกำลังมีปากเสียงกันอยู่ พวกเขาทั้งตะคอกและสบถคำหยาบคายใส่กัน กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งจนเหม็นสาบไปทั่วบริเวณ
เนื่องจากบันไดค่อนข้างแคบ ความชุลมุนวุ่นวายที่เกิดจึงทำให้ฉินอวี่และเพื่อนไม่สามารถเดินผ่านไปได้
ด้วยเห็นว่าไม่น่าจะหยุดทะเลาะกันง่ายๆ ฉินอวี่จึงดึงชายผิวขาวออกมา “ขอโทษนะครับ”
“ทำอะไรของแก! รู้ไหมว่าทักซิโด้ของฉันซื้อมาเท่าไร?” ชายผิวขาวแผดเสียงอย่างอวดดี
แมวเฒ่าก้าวไปข้างหน้าแล้วดึงกระบอกปืนออกมาตบหน้าอีกฝ่าย “มาอาศัยถิ่นเขาอยู่ก็รู้จักเจียมกะลาหัวซะบ้าง! ไสหัวไป!”
เมื่อเห็นว่าแมวเฒ่ามีปืน ชายผิวขาวก็ยืนตัวแข็งทื่อทันที
ความวุ่นวายสงบลง ฉินอวี่ แมวเฒ่าและฉีหลินก็ผลักคนกลุ่มนี้ออกไปให้พ้นทางก่อนจะแทรกตัวขึ้นบันไดไป
ไม่ถึงสิบวินาทีพวกเขาก็มาถึงทางเดินชั้นสาม ขณะกำลังมองหาห้องหมายเลขเก้า ทันใดนั้นก็มีเสียงคนถีบประตูดังมาจากทางด้านซ้าย
ฉินอวี่ก้มหัวลงทันที
“ปัง!”
จากนั้นเสียงปืนก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วแพลตินั่มคาสเซิล
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉีหลินถามพลันจับปืนที่เอวของเขาโดยสัญชาตญาณ
ฉินอวี่ตอบสนองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็ว เขาสังเกตป้ายที่แขวนอยู่ตรงประตูก่อนพบว่าเสียงปืนพวกนั้นดังมาจากห้องหมายเลขเก้าที่พวกเขากำลังตามหา
ขณะเดียวกัน บริเวณทางเลี้ยวบนโถงทางเดินด้านหน้า คังจ้องชายหนุ่มที่สวมเสื้อกันลมหนังแพะด้วยสีหน้างุนงงพลางสบถด่า “ไอ้พวกสารเลว!”
ชายหนุ่มสวมเสื้อกันลมหนังแพะ ดึงมือออกจากแขนเสื้อพลางอมยิ้มและตบที่หน้าของคัง “ไม่ดีใจรึไงที่เจอฉัน?”
“แก…”
“ลองแหกปากอีกทีสิ ฉันเป่าหัวแกแน่” ชายหนุ่มสวมเสื้อกันลมหนังแพะขู่พลางกวักมือเรียกพรรคพวก “ไปกันได้แล้ว”
“เมื่อกี้มันกล้ายิงสู้เรา” หนึ่งในพรรคพวกของชายหนุ่มพูดขึ้น “แสดงว่าลูกพี่มันต้องมีอิทธิพลอยู่แถวนี้แน่”
ชายหนุ่มสวมเสื้อกันลมหนังแพะลูบปอยผมหางม้าเล่นอย่างใจเย็นก่อนจะออกคำสั่ง “ถ้างั้นคงมีเรื่องแน่ถ้าออกประตูหลัก ออกทางหน้าต่างเอาก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ กลุ่มคนเหล่านั้นก็รีบเดินไปที่ขอบหน้าต่างทันที
…
ตรงโถงทางเดิน
ฉินอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวิ่งไปตามเสียงโหวกเหวก หลังจากเลี้ยวไปอีกสองโค้งเขาก็พบว่าคังกำลังถูกลากไปทางหน้าต่าง
แมวเฒ่าวิ่งตามฉินอวี่มาติดๆ จึงทันเห็นเหตุการณ์เช่นกัน เขายืนอยู่หลังฉินอวี่เล็กน้อย ด้วยไหวพริบที่มีจึงรู้ได้ทันทีก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่น “นั่นพี่คัง!”
หลังตะโกนออกไป แมวเฒ่าก็ดึงฉินอวี่เข้ามาหลบตรงมุมทางเดิน
ที่ขอบหน้าต่าง คังพยายามหันมามองหาต้นตอของเสียงแต่ก็พบเพียงทางเดินว่างเปล่า ด้วยความกระวนกระวายใจเขาจึงตะโกนออกมาสุดเสียง “ช่วยฉันด้วย!”
“เพล้ง!”
ไม่ทันขาดคำ ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมกันลมหนังแพะก็ลากคังออกไปจากหน้าต่างพร้อมกับเขา
ขณะยืนอยู่ตรงโค้งทางเดิน แมวเฒ่าก็มองฉินอวี่อย่างกระวนกระวายพลางพูดขึ้น “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันอีกเนี่ย? ทำไมต้องมีเรื่องเกิดขึ้นตอนสำคัญทุกที!”
“เวรเอ๊ย!” ฉินอวี่ถอนหายใจและสบถ “ซวยอะไรอย่างนี้วะ! จะทำอะไรทำไมต้องมีแต่ปัญหา?”
“เราต้องไปช่วยพี่คังให้ได้ ไม่งั้นที่ถ่อมาถึงนี่ก็เปล่าประโยชน์” ฉีหลินพูดขึ้นขณะรีบร้อนวิ่งไปยังหน้าต่างหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ
………………………………..