ตอนที่ 61 พี่เซียวผู้ไม่ยึดติด
กลางดึกในบ้านริมถนนหลังหนึ่ง ทางเหนือของชุมชนจี้อัน
พี่เซียวกำลังลิ้มรสอาหารชั้นเลิศ และเพลิดเพลินไปกับไวน์รสชาติดีที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร
เขานั่งกินอาหารอยู่ประมาณยี่สิบนาทีก่อนประตูจะถูกเปิดออก ปรากฏร่างชายหนุ่มวัยยี่สิบและชายร่างกำยำเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นบนชั้นสอง
ทั้งสองคนเป็นสมาชิกหลักของตระกูลหลี่แห่งเมืองเจียงโจว ชายหนุ่มวัยยี่สิบคือหลี่ถง บุตรชายของทายาทลำดับสองแห่งตระกูลหลี่ ส่วนชายวัยกลางคนชื่อตงเฉินเป็นลุงของหลี่เฉิน
ตระกูลหลี่มีชื่อเสียงจากการขายสัญชาติในเขตพิเศษที่เจ็ดก่อนก่อตั้งบริษัทการค้าแบบถูกกฎหมายเพื่อบังหน้า ทว่าเบื้องหลังกลับเก็งกำไรจากสินค้าที่มีอุปสงค์สูงเช่นปืน อาหาร ผ้าฝ้าย หรือน้ำมันดิบ ตลอดแปดปีที่ผ่านมาบริษัทของพวกเขาเติบโตอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นนายทุนผู้ประสบความสำเร็จ
ถึงอย่างนั้นการกระทำของพวกเขาก็ได้สร้างความทุกข์ยากให้กับประชาชนในภูมิภาค เพราะทุกครั้งที่ราคาสินค้าสูงขึ้น ผู้คนต้องจำใจซื้อมันแม้ราคาไม่สมเหตุสมผลก็ตาม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าตระกูลหลี่ต้องการขูดรีดคนยากไร้
แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้สถานการณ์ทางการเมืองของเขตพิเศษที่เจ็ดเริ่มลงตัว รัฐบาลจึงผลักดันนโยบายด้านสังคมสงเคราะห์ทำให้ประชากรในภูมิภาคลดลง ทรัพยากรจำพวกผ้าฝ้ายจึงไม่จำเป็นอีกต่อไปหลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
เมื่อตระหนักได้ว่าตนกำลังตกที่นั่งลำบาก ตระกูลหลี่จึงมุ่งความสนใจไปที่อุตสาหกรรมยาทันที ทำให้พวกเขาบาดหมางกับบริษัทของพี่คังและเกิดการแย่งชิงช่องทางการค้ายาเถื่อนในตลาดยา ส่งผลให้ทั้งสองบริษัทเป็นศัตรูกัน
เมื่อเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น หลี่ถงหันไปถามพี่เซียวอย่างเป็นมิตร “อาหารถูกปากไหมครับ?”
“อาหารก็รสชาติเหมือนๆ กันนั่นแหละ แค่กินให้อิ่มท้องก็พอ” พี่เซียวเงยหน้ามองหลี่ถง แต่ไม่ได้ยืนขึ้นทักทาย
“พี่เซียวถ่อมตัวจริงๆ” หลี่ถงหัวเราะพลางนั่งลงข้างพี่เซียวและกล่าวชม “คนมีความสามารถอย่างพี่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่อดตายหรอก!”
“ชมเกินไปแล้ว” พี่เซียววางตะเกียบลงก่อนหยิบกล่องบุหรี่บนโต๊ะขึ้นมา
หลี่ถงรินไวน์ขาวใส่แก้วของตนพร้อมถามด้วยรอยยิ้ม “พี่เซียว ผมนับถือพี่มากนะ ทำไมพี่ไม่มาทำงานให้ผมล่ะ แล้วเราจะรวยไปด้วยกัน”
“ขอบใจนะ” พี่เซียวจุดบุหรี่ก่อนหันไปมองหลี่ถง “แต่ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ แค่รักษาความสัมพันธ์ของเราไว้ก็พอ”
ตงเฉิงร้องเสียงหลง “ลองคิดดูดีๆ สิพี่เซียว? มันจะดีกว่าไหมถ้าพี่ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ แทนที่จะตระเวนรับจ้างไปทั่ว? ถ้าพี่เลือกอยู่ที่นี่ ผมจะลองคุยกับพี่เขยให้ เพราะคนมีความสามารถแบบพี่ควรได้รับค่าตอบแทนอย่างน้อยปีละสามแสนดอลลาร์”
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินหรอก ฉันกำลังจะไปเขตพิเศษที่เก้าน่ะ” พี่เซียวโบกมือปฏิเสธ
“น่าเสียดายจริงๆ” หลี่ถงถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางยกแก้วไวน์ขึ้น “ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ผมก็จะไม่รั้งพี่ไว้ แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยพี่สามารถติดต่อผมได้ตลอดเลยนะ พี่ก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง”
“อืม” พี่เซียวยกแก้วไวน์ขึ้นชนกับหลี่ถงก่อนดื่มเข้าไปอึกใหญ่
“ลุงเฉิงเอาเงินมาให้พี่เซียวหน่อยครับ” หลี่ถงวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะพลางกล่าว
ตงเฉิงพยักหน้าก่อนเดินเข้าไปในอีกห้องหนึ่ง ใช้เวลาไม่ถึงสามนาทีเขาก็กลับมาและวางธนบัตรจำนวนสิบปึกลงบนโต๊ะ
พี่เซียวผงะ “เราตกลงกันว่าห้าหมื่นไม่ใช่เหรอ?”
“ผมให้เพิ่มอีกห้าหมื่น ถือซะว่ามันเป็นของขวัญจากผมแล้วกัน” หลี่ถงตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
“ฉันไม่สะดวกใจที่จะรับเงินมากมายขนาดนี้” พี่เซียวกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มก่อนหยิบธนบัตรห้าปึกขึ้นมา “ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่จะรับแค่ส่วนของฉันเท่านั้น…เงินมากบุญคุณก็มากตาม ฉันชอบใช้ชีวิตแบบอิสระไม่ติดหนี้ใครมากกว่า ไว้ฉันจะเลี้ยงข้าวตอบแทนแล้วกัน”
หลี่ถงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ห่างเหินเกินไปแล้วพี่เซียว”
“ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ” พี่เซียวตอบก่อนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเช่นเคย “ไปล่ะ”
“ผมเดินไปส่งเอง”
“อย่าเลย ฉันจำทางกลับได้” พี่เซียวหัวเราะก่อนเดินออกไปอย่างมีความสุข
หลี่ถงและตงเฉิงมองหน้ากันและกันพลางส่ายศีรษะ
“ถ้าดึงเขามาอยู่ฝ่ายเดียวกับเราได้ก็คงจะดีต่อตระกูลหลี่” หลี่ถงกล่าวด้วยความผิดหวัง
“มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้มือปืนรับจ้างผู้เคยชินกับชีวิตอิสระยอมอยู่ใต้อำนาจของพวกเรา” ตงเฉิงกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังชอบทำตามใจโดยไม่สนกฎเกณฑ์ ถ้าต้องมาอยู่ภายใต้การควบคุม ดีไม่ดีมันอาจส่งผลกระทบกับเราด้วย ปล่อยให้เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว”
“ไอ้คังยอมเปิดปากหรือยัง?” หลี่ถงเปลี่ยนเรื่อง
“มันยังไม่ยอมปริปากบอกเรื่องคนกระจายสินค้าที่เมืองเฟิงเป่ยเลย” ตงเฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ยังดีที่โชคเข้าข้างเรา ฉันเจอข้อมูลที่มีประโยชน์จากโทรศัพท์ของมัน ไว้ฉันจะเอามันไปตรวจสอบที่เฟิงเป่ยแล้วกัน”
“ไอ้เวรนั่นบังอาจมาแย่งงานของเราที่เมืองเฟิงเป่ย!” หลี่ถงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อเรามีข้อมูลที่ต้องการแล้ว ผมจะให้ลุงจัดการเรื่องนี้ละกัน”
“อืม” ตงเฉิงตอบก่อนลุกขึ้นยืน “กินต่อเถอะ ลุงจะลงไปดูข้างล่างสักหน่อย”
“ครับ” หลี่ถงพยักหน้า
…
เจ็ดนาทีต่อมา
ในห้องใต้ดิน ตงเฉิงและลูกน้องมองพี่คังด้วยสายตาเย็นชาพร้อมหัวเราะเยาะ “ดูสภาพแกตอนนี้สิ! ฉันยื่นโอกาสให้ แต่แกกลับตอบแทนความหวังดีด้วยการตั้งตัวเป็นศัตรูงั้นเหรอ? รนหาที่ตายชัดๆ!”
พี่คังเริ่มอ่อนแรง เขาเงินหน้าขึ้นก่อนจะพูดว่า “ฉะ…ฉันอาจพลาดท่า แต่แกเล่นงานผิดคนแล้ว…ลูกพี่ของฉันไม่ปล่อยพวกแกไว้แน่”
“ลูกพี่ของแกคือใคร? เด็กผู้หญิงที่ชื่อโกโก้น่ะเหรอ?” ตงเฉิงหัวเราะเยาะ “ฮ่าๆๆ ถ้าเป็นนางนั่น ฉันจะให้เอาคืนบนเตียงอย่างสาสมเลย”
“ไอ้สัตว์นรก!” พี่คังคำรามพร้อมเบิกตากว้าง
ตงเฉิงเอียงคอพลางใช้มือส่งสัญญาณ “ฆ่ามัน!”
ลูกน้องทั้งสองคนล้วงมีดออกมาก่อนเดินไปหาพี่คัง
กริ๊ง!
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ตงเฉิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย “ว่าไง?”
“พี่เฉิงเหรอ? ผมคือเสี่ยวเหวินจากแพลตตินั่มคาสเซิลครับ”
“เสี่ยวเหวินเหรอ?”
“ผมคือคนที่ส่งข่าวให้พี่เซียวไปจับตัวพี่คังครับ” ชายแจ็คเกตสีดำย้ำด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย
“อ้อ จำได้แล้ว” ตงเฉิงส่งสัญญาณให้ลูกน้องทั้งสองหยุดลงมือ ก่อนเดินออกจากห้องใต้ดินเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัว “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆ ถึงโทรหาฉัน?”
“เกิดความขัดแย้งในหมู่ผู้บริหารของแพลตตินั่มคาลเซิลหลังจากที่พี่คังหายตัวไปครับ พวกมันน่าจะรู้แล้วว่าพี่เฉิงเป็นคนลักพาตัวพี่คังไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเอาข้อมูลมาจากไหน แต่ตอนนี้นังโกโก้ส่งผู้ชายสองคนไปที่ชุมชนจี้อันแล้วครับ” ชายแจ็คเกตสีดำกล่าวเตือน “พวกมันแค้นเรื่องนี้มากเลยยกโขยงกันไปหมดเลย ผมว่าทางที่ดีพี่ควรหนีไปกบดานสักพักนะครับ”
“ข้อมูลนี้เชื่อถือได้แค่ไหน?” ตงเฉิงถาม
“ผมได้ยินเองกับหู!”
“อืม” ตงเฉิงพยักหน้า “ขอบใจมากเสี่ยวเหวิน”
“ไม่มีปัญหาครับพี่เฉิง”
“แค่นี้แหละ”
ทั้งสองคนวางสายทันที
…
ภายในบ้านร้างที่อยู่ตรงข้ามบ้านของหลี่ถงและตงเฉิง ฉินอวี่กำลังจับตาดูฝั่งตรงข้ามอย่างไม่วางตาพลางเลียริมฝีปากด้วยความประหม่า “เตรียมตัวให้พร้อม เราต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยพี่คังให้ได้”
ฉีหลินขมวดคิ้วพร้อมถาม “แผนของนายจะได้ผลใช่ไหม?”
“พวกมันได้สิ่งที่ต้องการแล้ว คงไม่ทำอะไรโง่ๆ หรอก” ฉินอวี่พูดอย่างมั่นใจ “เชื่อฉันสิ พวกมันต้องออกมาเร็วๆ นี้แน่”
………………………………….