ตอนที่ 83 บ้าน
‘แก่แดดนักนะไอ้เด็กนี่!’ ฉินอวี่ถอนหายใจขณะแอบฟังเขี้ยวกับเซียงเซียงคุยกันจากด้านนอก ถ้าเขาไม่รีบเข้าไปขัดจังหวะสองคนนั้นอาจไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ได้
“ก๊อกๆ!”
ฉินอวี่เคาะประตูบ้านพลางตะโกนเรียก “เปิดประตู!”
“นั่นใคร?” เขี้ยวตะโกนถาม
“หูหนวกหรือไง? รีบเปิดประตู!” ฉินอวี่ตอบกลับ
ไม่นานเด็กหนุ่มก็เดินหน้าแดงมาเปิดประตู “ว่าไงพี่ กลับมาแล้วเหรอ?”
“เงียบไปเลย” ฉินอวี่ผลักหัวเขี้ยวก่อนเดินเข้าไปในบ้านกระทั่งเจอเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งกะพริบตาปริบอยู่บนเตียง
“เซียงเซียง นี่พี่ชายฉัน” เขี้ยวแนะนำฉินอวี่
เซียงเซียงลุกขึ้นทักทายกลับ “สวัสดีค่ะพี่”
“เธอมาจากไหน?” ฉินอวี่ถาม
“เธอมาจากบ้านเจ๊ฮัวครับ เธอเข้ากับผมได้ดีเลยล่ะ” เขี้ยวอธิบาย
ฉินอวี่เดินเข้าไปเตะเขี้ยวก่อนตะคอก “ก็เห็นๆ อยู่ว่ากำลังจะเข้ากันอยู่แล้วไม่ใช่ไง?!”
“เอ่อ…หนูขอตัวกลับก่อนนะคะพี่” เซียงเซียงเป็นเด็กสาวอายุรุ่นเดียวกับเขี้ยว ซึ่งดูเหมือนจะเขินอายเล็กน้อย เมื่อเห็นฉินอวี่บุกเข้ามาจึงรีบออกจากบ้านไป
“ไว้พี่จะไปช่วยทำงานบ้านพรุ่งนี้นะจ๊ะน้องสาว!” เขี้ยวยืนตะโกนอยู่ตรงประตู
ฉินอวี่เดินเข้าไปถีบหลังเด็กหนุ่มซ้ำอีกครั้งก่อนบ่น “โถ…ไอ้เด็กไม่เอาถ่าน! ถึงขนาดเอาผู้หญิงเข้าบ้านแล้วเหรอขนาดเจ้าของบ้านอย่างฉันยังไม่มีเมียแท้ๆ ไม่แก่แดดไปหน่อยหรือไง?”
“ฮ่าๆ” เขี้ยวเกาหัวพร้อมหัวเราะอย่างเขินอาย “เราแค่ทำความรู้จักกันเองหน่า”
“เพิ่งรู้จักก็พาเข้าบ้านแล้ว?”
“เปล่านะ เธอมาช่วยผมทำงานบ้านต่างหาก…” เขี้ยวตอบก่อนผายมือไปรอบห้อง “ดูสิว่าบ้านสะอาดขนาดไหน”
ฉินอวี่มองรอบตัวพบว่าภายในบ้านสะอาดเรียบร้อยอย่างที่เด็กหนุ่มบอกจริงๆ พื้นบ้านกับตู้เสื้อผ้าเงาวับจากการถูกขัดถู แม้แต่เสื้อผ้ากับผ้าปูเตียงก็ถูกนำไปซักเปลี่ยนใหม่
เมื่อมองไปอีกด้านพบว่ามีฟูกเล็กพิงอยู่ตรงกำแพง ดูเหมือนเขี้ยวจะไปหามาจากที่ไหนสักแห่งเพื่อใช้นอน
“เด็กผู้หญิงคนนั้นทำเหรอ?” ฉินอวี่ถามด้วยความสงสัย
“เราช่วยกันน่ะ ผมเป็นคนจัดของ ส่วนเธอช่วยเรื่องปัดกวาด” ถึงจะยังอยู่ในช่วงพักฟื้น ทว่าเขี้ยวกลับช่วยทำงานบ้านทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ทั้งกวาดหิมะหน้าบ้านหรือแม้แต่ล้างห้องน้ำด้านนอก เขาเป็นคนขยันขันแข็งผิดกับรูปลักษณ์ แต่ถึงกระนั้นการพูดจาก็ยังเหมือนเด็กข้างถนน
ฉินอวี่ปิดประตูบ้านก่อนหันถามเขี้ยวว่า “ตกลงนายไปรู้จักเด็กคนนั้นได้ไง?”
“ด้วยความที่บ้านเราไม่มีห้องน้ำในตัวเหมือนพี่หลิน ผมเลยต้องออกไปใช้ห้องน้ำข้างนอกซึ่งมันอุดตันจนแทบล้นออกมาโดนตูด ตอนนั้นที่กำลังหาทางเก็บกวาดอยู่ก็บังเอิญเจอกับเธอเข้า” เขี้ยวพูดอย่างเขินอาย “แม่ของเซียงเซียงเปิดร้านขายเนื้อหรือที่คนแถวนี้รู้จักกันในชื่อเจ๊ฮัว เธอมีลูกน้องอยู่เจ็ดคน…เซียงเซียงเป็นหนึ่งในนั้น ช่วงพักกลางวันเซียงเซียงจะเป็นคนทำความสะอาด ผมบังเอิญไปเจอเธอเข้า พอบ่อยครั้งก็เลยเริ่มสนิทกัน”
“ถึงจะสนิทแค่ไหนก็ไม่ควรพาเข้าบ้านโว๊ย! แล้วฉันเห็นนะว่านายจับไม้จับมือกันแล้ว!” ฉินอวี่บ่น “ให้ตายเถอะ ร้ายยิ่งกว่าแมวเฒ่าอีกนะนายเนี่ย”
“ผมไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้นซะหน่อย ก็แค่…คุยกันเฉยๆ น่ะ เข้าใจเปล่า?” เขี้ยวตอบกลับ
“นายก็รู้ว่ายุคนี้โหดร้ายขนาดไหน แต่ทำไมถึงประมาทกับเรื่องแบบนี้ได้นะ?” ฉินอวี่เริ่มอบรมเด็กหนุ่ม “ไม่เคยได้ยินคำพังเพยที่ว่ากระต่ายไม่กินหญ้าข้างโพรงหรือไง? อีกอย่างนายยังเด็กเกินไปที่จะคิดเรื่องอย่างว่า ฉันไม่รู้หรอกว่านายมีเจตนาอะไรแต่หัดยับยั้งชั่งใจตัวเองบ้าง เธอเป็นเพื่อนบ้านเรานะ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาอย่าหาว่าฉันไม่สั่งสอนแล้วกัน”
“เข้าใจแล้ว ผมจะไม่ทำแบบนี้อีก” เขี้ยวยิ้มตอบ
“กินข้าวกัน”
ฉินอวี่เอาห่ออาหารที่เอามาจากสำนักงานมาวางบนโต๊ะ
เขี้ยวจัดจานบนโต๊ะก่อนเทน้ำอุ่นให้ฉินอวี่และหยิบอาหารไปนั่งกินที่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง
“ไปนั่งทำไมตรงนั้น? กลับมานั่งนี่!” ฉินอวี่ขึ้นเสียง
“ไม่เป็นไร ผมนั่งนี่ก็ได้” เขี้ยวตอบทั้งอาหารเต็มปาก
ตอนที่ฉินอวี่เก็บเด็กหนุ่มมาวันแรก เขาเนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าที่สวมขาดหลุดลุ่ย แต่ตอนนี้ผมที่รกรุงรังถูกโกนออกแล้ว เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็สะอาดพอดีตัว และด้วยผิวขาวผ่อง แววตาเป็นประกายและขนตางอนยาวของเขาทำให้ดูหล่อเหลาน่าหลงใหลมาก
เด็กคนนี้สูงร้อยเจ็ดสิบสองเซนติเมตรทั้งที่อายุแค่สิบห้าปี แต่เพราะร่างกายที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างดี ทำให้ร่างไม่ต่างอะไรจากเนื้อติดกระดูก
ฉินอวี่นั่งวิเคราะห์เขี้ยวระหว่างกินข้าวพร้อมคิดว่าแม้เด็กหนุ่มจะเป็นคนชอบโวยวาย แต่ถ้ามองอย่างละเอียดเขาเป็นคนขี้ระแวงอย่างมาก
ตอนกินกับข้าว เขี้ยวจะไม่กินจากตรงกลางแต่จะตักตรงขอบถ้วยแทน
อีกอย่างเขี้ยวเคี้ยวข้าวเงียบมาก หรือหากเผลอทำเสียงดังก็จะรีบปรับตัวเองทันที
เช่นเดียวกับเวลานอน ทันทีที่ฉินอวี่เข้านอน ต่อให้จะง่วงหรือไม่เขี้ยวก็จะปิดไฟและไม่ส่งเสียงรบกวนฉินอวี่
ยิ่งเขี้ยวใช้ชีวิตอย่างระวังตัวยิ่งทำให้ฉินอวี่อึดอัด ราวกับได้เห็นอดีตผ่านเด็กคนนี้…อดีตในวันที่ตัวเองถูกชายแก่คนหนึ่งในเขตพัฒนาจับตัวไป ทั้งพฤติกรรมและความคิดตอนนั้นเปลี่ยนไปเหมือนเขี้ยวไม่มีผิด
นิสัยที่ทำเหมือนกล้าหาญ แต่ลึกๆ แล้วกลับกลัวว่าจะถูกทอดทิ้งอีก ต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านคนอื่นอย่างหวาดระแวงเหมือนเดินอยู่บนพื้นน้ำแข็งบาง ถึงขั้นระแวงแม้กระทั่งเวลาหายใจ…
ฉินอวี่มองเด็กหนุ่มเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้น “ไปนั่งยองๆ ตรงนั้นทำไมมันเกะกะสายตา มาที่โต๊ะนี่”
เขี้ยวชะงัก
“มาคุยกันหน่อย” ฉินอวี่ยิ้ม
“คุยเรื่องอะไร?”
“ฉันอยากรู้ว่านายยังซิงอยู่หรือเปล่า?” ฉินอวี่มองเด็กหนุ่มอย่างเย้ยหยัน
เขี้ยวหน้าแดงและอึ้งไปชั่วขณะก่อนตอบว่า “ไม่ซิงอยู่แล้ว! ผมลองเรื่องอย่างว่าตั้งแต่สิบสาม”
“อ้อเหรอ?” ฉินอวี่ทำทีประหลาดใจก่อนกวักมือเรียก “ไหนมาเล่าให้ฟังหน่อย…ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ยว่านายมีประสบการณ์โชกโชนขนาดนี้”
“เอ่อ…ผมแค่หลุดปาก มะ…ไม่ได้ตั้งใจจะพูด…” เขี้ยวเดินไปที่โต๊ะตามคำเรียกพลางตอบอย่างกระอักกระอ่วน
“ฮ่าๆ มานั่งนี่และห้ามลุกไปไหนจนกว่าจะเล่าให้ฉันฟัง” ฉินอวี่พูดพลางตักเนื้อสองชิ้นใส่ถ้วยเขี้ยว “ผู้ชายเหมือนกันจะอายไปทำไม ฉันเต็มใจให้นายอยู่ที่นี่ด้วยจริงๆ ไม่ได้หลอกมาทำร้ายเพราะงั้นไม่ต้องกลัว”
“ผมไม่ได้กลัว!” เขี้ยวตอบสวนทันควัน “และผมก็ไม่ได้อายด้วย”
“โอเคๆ ไม่อายก็ไม่อาย ทีนี้ก็เล่าเรื่องนายมาได้แล้ว” ฉินอวี่พูด “ตกลง…นายเคยลองท่าไหนมาแล้วบ้าง?”
“ผมก็บอกแล้วว่าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น!”
…
บนถนนสายหนึ่งในรัฐพื้นทมิฬ
หยงตงนั่งอยู่ในรถพลางหันไปคุยกับผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ด้วยกันว่า “ฉันอยากให้นายช่วยจดวันที่มันไม่อยู่โกดังแล้วรายงานมาหน่อย ทำได้หรือเปล่า?”
………………………………….