ตอนที่ 92 การเดินทางสู่เฟิงเป่ย
ห้องทำงานของผู้กำกับการในสำนักงานตำรวจ
ไม่นานหลังจากฉินอวี่เข้ามาในห้อง ผู้กำกับการหลี่พูดเข้าประเด็นทันที “ฉันมีอะไรจะแนะนำนายเรื่องยาปลอม”
“ครับ” ฉินอวี่พยักหน้า
“นายควรบอกให้เฒ่าหม่ายอมรับเรื่องนี้ซะ เพราะการกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลหม่านั้นยากมาก” ผู้กำกับหลี่เป็นคนระมัดระวังตัวเสมอ และเขามักเลือกวิธีที่ปลอดภัยที่สุดไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์แบบไหน
“บอกให้เขาเสียสละลูกน้องคนหนึ่งเพื่อเป็นแพะ และเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ และพวกเขาต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อชดใช้ให้ผู้เสียหายทั้งสองราย”
อินอวี่รู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินจึงรีบถาม “ถ้าท่านให้เฒ่าหลี่รับผิด มันจะไม่ตรงกับความต้องการของหยวนหัวเหรอครับ?”
“แล้วเราทำอะไรได้ล่ะ?” ผู้กำกับการหลี่ขมวดคิ้วพร้อมถาม “นายมั่นใจว่าจะจับคนร้ายได้หรือเปล่า? แล้วรู้ไหมว่าหยวนหัวเตรียมแผนขั้นต่อไปไว้ยังไง? ถ้าสถานการณ์แย่ลง นายมีมาตรการรับมือไหม?”
ฉินอวี่นิ่งเงียบ
“ถ้าเขารับผิดตอนนี้และหาคนมาเป็นแพะ เราจะสามารถลดแรงกดดันที่จากกองบัญชาการได้” ผู้กำกับการหลี่ลุกยืนขึ้นพร้อมพูดว่า “คนเราต้องจ่ายค่าความผิดพลาดของตัวเองและมันเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดที่สุดของพวกเขา”
“ผมไม่คิดว่าเฒ่าหม่าจะตอบตกลง” ฉินอวี่พูดขึ้น “เฒ่าหม่ารู้ดีว่าธุรกิจของพวกเขาในรัฐพื้นทมิฬขึ้นอยู่กับชื่อเสียง และเรื่องนี้ส่งผลต่ออิทธิพล ถ้าเขายอมรับว่าค้ายาปลอม นั่นคงเป็นการทำลายสิ่งที่เขาสร้างมาหลายปี ถ้าไม่มีข้อได้เปรียบนี้ เฒ่าหม่าจะแข่งกับผู้อื่นได้ยังไง?”
“แต่ถ้าเขาไม่ออกมารับผิด ความรับผิดชอบในเหตุการณ์นี้จะตกอยู่ที่ตระกูลหม่า ยิ่งไปกว่านั้นหยวนหัวมีแนวโน้มที่จะทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลต้องสูญเสียชื่อเสียงและอิทธิพล อีกทั้งยังตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอีกด้วย” ผู้กำกับการหลี่พูดกับฉินอวี่อย่างเคร่งเครียด
“ถ้าเฒ่าหม่าตอบตกลง ฉันจะให้เวลาเขาคิดก่อนตัดสินใจว่าต้องการเป็นหุ้นส่วนกับเราต่อหรือไม่ ถ้าไม่เป็นอย่างงั้นเราจะยุติการเป็นหุ้นส่วนทันทีและหาตัวแทนจำหน่ายรายใหม่”
ในที่สุดคำพูดที่ฉินอวี่หวาดกลัวก็ถูกพ่นออกมาจากปากของผู้กำกับหลี่
สำหรับผู้กำกับการหลี่แล้ว ตราบใดที่ตัวแทนจัดจำหน่ายมั่นใจว่าทุกอย่างจะราบรื่น ไม่สำคัญว่าคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้จะเป็นตระกูลหม่า ตระกูลหลี่ หรือตระกูลไป๋ สิ่งที่ผู้กำกับการหลี่ต้องการคือทำงานด้วยความรอบคอบและไม่ทำให้เขาเดือดร้อน
อย่างไรก็ตามความผิดพลาดของตระกูลหม่าทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าทำไมผู้กำกับการหลี่ถึงต้องการกำจัดหุ้นส่วนที่ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายโดยไม่จำเป็น
สุดท้ายแล้วในโลกของผู้ใหญ่นั้นผลกำไรมีความสำคัญมากกว่าความรู้สึก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผู้กำกับหลี่ไม่มีความรู้สึกพิเศษใดๆ ต่อเฒ่าหม่าเลย
ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนหันไปพูดกลับผู้กำกับการหลี่ว่า “ลุงหลี่ครับ ฉันคิดว่าเรื่องนี้ยังมีหวังเพราะหม่าเหลาเอ๋อรู้แล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการสับเปลี่ยนยาคือเสี่ยวฉู่”
“มันอยู่ไหน?” ผู้กำกับการหลี่ถาม
“เฟิงเป่ยครับ” ฉินอวี่ตอบตามจริง
ผู้กำกับการหลี่เอาแขนไพล่หลังพร้อมเดินครุ่นคิดรอบห้องก่อนถามเสียงแผ่ว “นายรู้ไหมว่าหยวนหัวจะทำยังไงต่อ?”
“เขาจะฆ่าปิดปากเสี่ยวฉู่” ฉินอวี่ตอบทันที
“นายรู้สึกคุ้นกับเหตุการณ์ที่เฟิงเป่ยไหม?” ผู้กำกับการหลี่ถามอีกครั้ง
ฉินอวี่ตอบคำถามนี้ไม่ได้
ผู้กำกับการหลี่เดินเข้ามามองฉินอวี่พร้อมถามว่า “บริษัทเภสัชกรรมที่สนับสนุนหยวนหัวล้วนอยู่ที่เฟิงเป่ยและคนเหล่านี้มีอิทธิพลมากกว่าที่นายคิด ดังนั้นหม่าเหลาเอ๋อจะไม่สามารถหยุดเสี่ยวฉู่ที่ซ่งเจียงได้ แล้วนายช่วยอะไรได้บ้างล่ะถ้าไปที่เฟิงเป่ย?”
ฉินอวี่ตอบคำถามนี้ไม่ได้เช่นกัน
“นายคิดว่าภารกิจในการช่วยเสี่ยวฉู่ให้มีชีวิตรอดในพื้นที่ของศัตรูยากขนาดไหน?” ผู้กำกับการหลี่ขมวดคิ้วพร้อมกล่าวเสริม “ฉันคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยง สิ่งที่เราสามารถทำได้ในสถานการณ์แบบนี้คือการลดความสูญเสียให้มากที่สุด”
ฉินอวี่ลังเลอยู่ชั่วครู่หลังจากได้ยิน เขากำหมัดแน่นพร้อมพูดว่า “ผมยังอยากลองครับ”
ผู้กำกับหลี่ประหลาดใจกับคำตอบของฉินอวี่จึงไม่สามารถเก็บงำอารมณ์อีกต่อไปพร้อมพูดว่า “นายเดือดร้อนเหรอ? นายรู้ไหมว่าตอนนี้ตัวเองมีภาพลักษณ์แบบไหน? หม่าเหลาเอ๋อสามารถต่อสู้กับคนอื่นเพื่อชิงตัวเสี่ยวฉู่ได้…แต่นายมีสิทธิอะไร?”
“ผมปล่อยให้หม่าเหลาเอ๋อเป็นคนจัดการ ส่วนผมจะเป็นคนเสนอไอเดียเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด” ฉินอวี่ยืนกราน “ถ้าทำสำเร็จ เราจะสามารถพลิกสถานการณ์ของหยวนหัวและต้อนเขาให้จนมุมแทน แต่ถ้ามันล้มเหลว…คุณจะยังเป็นผู้กำกับการของสำนักงานตำรวจแห่งนี้ต่อไป เพราะผมจะรับผิดชอบเรื่องนี้คนเดียว”
“นายทำเพื่ออะไร?” ผู้กำกับหลี่ตะโกนด้วยความโมโห “ในซ่งเจียงมีแค่เฒ่าหม่ากับหยวนหัวงั้นเหรอ? นายมีสินค้าอยู่ในมือทั้งที ทำไมต้องกลัวด้วยว่าจะไม่มีผู้แทนจำหน่าย?”
“ผมเป็นเพื่อนกับหม่าเหลาเอ๋อ และผมต้องการช่วยเขาครับ” ฉินอวี่ตอบด้วยเหตุผล
ผู้กำกับหลี่เงียบ
…
สิบนาทีต่อมาหลังฉินอวี่เดินออกจากห้องทำงานของผู้กำกับการหลี่ เขาโทรหาผู้หมวดเพื่อขอลาพักร้อนสามวัน
ในขณะเดียวกัน วุฒิสมาชิกตัวแทนของสำนักงานตำรวจเงยหน้ามองเฒ่าหลี่พร้อมถามว่า “ฉินอวี่พยายามจะทำอะไร? เขารับสินบนจากตระกูลหม่าเหรอ? ทำไมถึงต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย?”
ผู้กำกับการหลี่ส่ายศีรษะพร้อมตอบ “มันไม่เกี่ยวกับเงิน แต่เป็นเรื่องคุณค่าของคนครับ”
“คนเหรอ? หมายความว่ายังไง?”
“เขากลัวว่าผมจะหาคนมาแทนที่ตระกูลหม่าหลังจากที่พวกเขาถูกกำจัด” ผู้กำกับหลี่ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เหตุผลที่ฉินอวี่ยอมรับความเสี่ยงนี้คือเขาต้องการควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้น”
วุฒิสมาชิกใช้เวลาชั่วครู่เพื่อปะติดปะต่อคำพูดก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ถ้าเป็นอย่างงั้นแสดงว่าฉินอวี่เป็นคนที่ทั้งฉลาดทั้งดื้อรั้นใช่ไหม?”
“ปล่อยให้เขาสิ่งที่ต้องการเถอะครับ” ผู้กำกับการหลี่ตอบพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง “ถ้าล่ออยากเป็นม้า พวกมันจะต้องผ่านการทดสอบบางอย่าง”
“ฉินอวี่คือเจ้าหน้าที่ระดับสอง และเขาเป็นคนที่คุณต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาที่เฟิงเป่ย มันอาจเป็นไปได้ว่าเบื้องบนจะเลือกโทษคุณ” วุฒิสมาชิกแนะนำ
ผู้กำกับการหลี่ส่ายศีรษะพลางพูดว่า “แม้จะพายามหลีกเลี่ยง แต่ปัญหาก็ยังคงมาเยือนอยู่ดี เมื่อสองสามวันก่อนใครจะคาดคิดว่าเหตุการณ์ยาปลอมจะเกิดขึ้นบ้างล่ะ? เฮ้อ! ตั้งแต่ผมเลือกยืนหยัดต่อต้านหยวนหัวในเรื่องของฉีหลิน ผมรู้ทันทีเลยว่าหนทางข้างหน้าในฐานะผู้กำกับการนั้นต้องลำบากแค่ไหน”
วุฒิสมาชิกถอนหายใจ
“แค่จับตัวเสี่ยวฉู่ยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้” ผู้กำกับการหลี่พึมพำ “หวังว่าการไปเฟิงเป่ยครั้งนี้ ฉินอวี่จะสามารถจุดชนวนความเปลี่ยนแปลงที่เราคาดไม่ถึงได้นะ”
…
สองชั่วโมงต่อมา ณ บ้านเลขที่แปดสิบแปด
ฉินอวี่ล้วงเงินห้าดอลลาร์ออกมาส่งให้เขี้ยวพร้อมพูดว่า “ฉันจะไปทำงานที่อื่นสองสามวัน อย่าก่อเรื่องล่ะเข้าใจหรือเปล่า? ถ้ามีปัญหาอะไรให้ไปหาจู้เหว่ยที่สำนักงานตำรวจตกลงไหม?”
“ครับ เข้าใจแล้ว” เขี้ยวพยักหน้า “พี่ฉินอวี่จะกลับมาเมื่อไรเหรอ?”
“ฉันก็ไม่แน่ใจ” ฉินอวี่ตอบขณะเหลือบมองนาฬิกา “อย่าเดินออกไปเพ่นพ่านที่ถนนตอนดึก ล็อกประตูแล้วเข้านอนเร็วๆ”
“ไม่ต้องห่วงผมหรอก นอนอยู่กลางหิมะผมก็เคยมาแล้ว” เขี้ยวตอบพร้อมยกยิ้ม “ผมจะเฝ้าบ้านให้พี่เอง”
กริ๊ง!
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของฉินอวี่ได้ดังขึ้น
“สวัสดีครับ?”
“นายจะไปเฟิงเป่ยยังไง?” เฒ่าหม่าถาม
“ขึ้นรถไฟครับ” ฉินอวี่ตอบ จากนั้นพูดเสริมว่า “ลุงจะไปที่นั่นเหมือนกันเหรอ?”
“ไอ้เด็กเปรตหม่าเหลาเอ๋อชอบทำอะไรโดยไม่คิด” เฒ่าหม่าตอบ “ฉันเป็นห่วงมันเลยอยากไปดูน่ะ”
ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนตอบ “ถ้าขึ้นรถไฟมันคงไม่ปลอดภัย เพราะลุงยังมีคดีติดตัวอยู่ หรือลุงจะไปกับพวกลักลอบค้ายาล่ะ…แต่นั่นก็เสี่ยงอยู่ดี”
“ฉันจะขับรถไป” เฒ่าหม่าตอบสั้นๆ “นายไปก่อนแล้วเราค่อยเจอกันที่เฟิงเป่ย”
“ครับ”
หนึ่งทุ่มตรง ฉินอวี่และกวนฉีกำลังนั่งรถไฟไปเฟิงเป่ย แต่ทันทีที่ทั้งสองนั่งลงแมวเฒ่าที่เคี้ยวแซนด์วิชแฮมอยู่ได้เดินเข้ามา
ฉินอวี่ตกตะลึง “นายไปด้วยเหรอ?”
แมวเฒ่ากลอกตาพร้อมตอบตามจริงว่า “ฉันถูกฟ้าลิขิตให้เป็นคนเร่ร่อน เพื่อก้าวข้ามชีวิตธรรมดากับนาย”
“เอ่อ” ฉินอวี่มองแมวเฒ่าก่อนอมยิ้ม
…
มณฑลเฟิงเป่ย
หม่าเหลาเอ๋อยืนอยู่กลางตรอกสกปรกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม
“อยากได้อาวุธเหรอ?” ชายหนุ่มถาม
“อืม เฒ่าหลี่แนะนำฉันมา” หม่าเหลาเอ๋อพยักหน้าพร้อมตอบ
ชายหนุ่มหันมองรอบๆ อย่างรวดเร็วก่อนเปิดกระเป๋า “เลือกได้เลย”
หม่าเหลาเอ๋อเหลือบมองสิ่งที่อยู่ในกระเป๋า เขาเห็นอาวุธและกระสุนสีดำวาววับมากมาย
………………………………….