ตอนที่ 113 ความรับผิดชอบและมรดก
หลังจากหม่าเหลาเอ๋อหมดสติไปนานหลายชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ฟื้นขึ้ ฉินอวีป้อนน้ำพร้อมหันไปพูดกับเฒ่าหม่า “พวกนายสองคนคุยกันไปก่อน ฉันมีเรื่องต้องทํา”
“อืม” เฒ่าหม่าพยักหน้ารับ
ฉินอวี่เดินออกจากห้องพร้อมปิดประตู จากนั้นจึงตะโกน เสียงดัง “แมวเฒ่า กวนฉี เราต้องคุยกันว่าจะทํายังไงต่อตามฉันมาข้างบนหน่อย!”
…
ภายในห้อง
เฒ่าหม่าก้มหน้าอยู่ข้างเตียงอย่างเงียบๆ
ส่วนหม่าเหลาเอ๋อจับจ้องเพดานอย่างเหม่อลอยก่อนเอ่ย ปากด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พี่จื้อชูเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีขึ้นแล้ว” เฒ่าหม่าตอบเสียงแผ่ว
หม่าเหลาเอ๋อหลับตาลงพร้อมพูดด้วยริมฝีปากสั่นระรัว “ผมผิดเอง ผมไม่ฟังอะไรจนทําให้เสี่ยวหลิวตายแล้วตอนนี้เราก็เอาศพของเหมาจ่อกลับมาไม่ได้ ผม…ผมสมควรตาย!”
ภายใต้แสงสลัวที่ตกกระทบใบหน้าของเฒ่าหม่าทําให้เขา ดูน่าเชื่อถืออย่างไร้เหตุผล เฒ่าหม่าตอบกลับเสียงทุ่ม “เห ลาเอ๋อ..ฉันมีพี่น้องสามคน ฉันคือคนสุดท้อง ตอนเข้าเขตพิเศษครั้งแรก ครอบครัวของเรามีแค่เสื่อผืนหมอนใบ พ่อของนายเลยชวนพี่สองออกไปขโมยของและทําทุกอย่างเพื่อแลกกับอาหารตอนนั้นฉันยังเด็กมาก ชีวิตจึงไม่มีอะไร มากนอกจากกิน ขี้ และนอนกับผู้หญิงไปทั่ว”
หม่าเหลาเอ๋อฟังเรื่องราวของเฒ่าหม่าอย่างเงียบๆ
“ในปีที่สี่ที่ฮ่งเจียงให้สิทธิอยู่อาศัยถาวรกับคนนอก พี่สอง เกิดป่วยหนักกะทันหัน ตอนนั้นครอบครัวของเราไม่มีเงินเก็บเหลือเลย…พ่อของนายกังวลมาก เขาจึงชวนลูกน้องออกปล้นรถบรรทุกเสบียงจากเพิ่งเป๋ยที่เดินทางมาซ่งเจียง คืนนั้นพี่สองนอนไม่หลับเลย ส่วนฉันออกไปเล่นไพ่ กับคนอื่นๆ ที่ถนนเถ้าธุลีทั้งคืน
เฒ่าหม่าหยุดเล่าอยู่ครู่หนึ่งในขณะที่ดวงตาแดงก่ำ “เช้าวันถัดมามีคนวิ่งมาบอกว่าพ่อของนายตายแล้ว เขาถูกยิงมากกว่ายี่สิบนัด ตอนนั้นฉันตกใจจนทําอะไรไม่ถูก…แต่ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น อาสองของนายที่นอนติดเตียงถึงสอง เดือนเต็มเอาชนะความเจ็บป่วยได้”
“หายโดยไม่ใช้ยาเหรอครับ?”
“อืม เขาเอาชนะมันด้วยความมุ่งมั่น” ดวงตาขุ่นมัวของเฒ่าหม่าเริ่มชื้นขึ้นเล็กน้อยก่อนเล่าต่อด้วยเสียงแหบแห้ง “หลังจากที่อาสองหายปวย เขารวบรวมลูกน้องของพี่ใหญ่ และพามาทํางานด้วยกัน ในช่วงนั้นฉันช่วยพวกเขาส่งของในฐานะเด็กส่งยา”
“แล้วอาสองตายยังไงครับ?” หม่าเหลาเอ้อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อาไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย”
“พี่สองทะเลาะกับใครบางคนที่ร้านค้าบนถนนเถ้าธุลี คนคนนั้นทําร้ายเขาในขณะที่ไม่ทันตั้งตัวและใช้มีดแทงถึงเจ็ดครั้ง” เฒ่าหม่าตอบ “ตอนที่ฉันไปเยี่ยมพี่สองในโรงพยาบาล เขาบอกฉันว่ายังไม่อยากตายเพราะกําลังรอฉันอยู่”
หม่าเหลาเอ๋ออึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
“ฉันทําอะไรไม่ถูกอีกครั้ง” เฒ่าหม่าปาดน้ำตาพลาง เอ่ยต่อด้วยเสียงทุ่มต่ำ “พี่สองจับมือกับฉันพร้อมกับทําตาโตเท่าไข่ห่านและบอกว่าถ้าพี่ใหญ่ไม่ตายตอนบุกเข้าไปในรถบรรทุก เขาคงยอมจํานนต่อความปวยแล้ว แต่พอได้ยินว่าพี่ใหญ่ตายขณะที่เขานอนปวยอยู่บนเตียง ความคิดเดียวที่เหลืออยู่ในใจคือกระดูกสันหลังของครอบครัวหายไปแล้วถ้าเขาตายไปอีกคนจะเกิดอะ ไรขึ้นกับครอบครัวของพวกเรานั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมพี่สองถึงไม่อยากตาย”
หม่าเหลาเอ๋อนั่งฟังเฒ่าหม่าอย่างเงียบๆ
“เหลาเอ๋อ…รู้ไหมว่าครอบครัวหมายถึงอะไร?” เฒ่าหม่ามองหลานชายด้วยใบหน้าแก่ชรา “ครอบครัวเป็นที่ที่ นายจะได้เห็นเด็กเติบโตและคนแก่ตายจากมันคือมรดก และจําเป็นต้องสืบทอดต่อไป!”
“อาหยุดเล่าเถอะ ผมเข้าใจแล้ว!”
“เหลาเอ๋อ นายต้องรีบเติบโต” เฒ่าหม่ากล่าวเสียงทุ่ม “ในวัยของฉันวันที่ผ่านไปคือวันที่ไม่หวนคืนกลับมาตอนนี้ นายคือพี่ใหญ่ของตระกูลหม่า…ถ้านายดูแลกิจการของเราไม่ได้ฉันคงนอนตายตาไม่หลับ”
“ผมจะไม่ทําให้อาเป็นห่วงอีกแล้ว” หม่าเหลาเอ๋อกําหมัดพร้อมเอ่ยตอบหนักแน่น
เฒ่าหม่าตบบ่าของหม่าเหลาเอ๋อพร้อมกล่าวว่า “ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เพียงแค่นายต้องเรียนรู้และยอมรับมันเหมาจ่อ เสี่ยวหลิว และเด็กพวกนั้นที่นาย ออกไปเที่ยวเล่นด้วยคือคนที่ไม่มีใครสนใจ..พวกเขานับถือนายในฐานะพี่ใหญ่ คอยสนับสนุนและจัดการปัญหาต่างๆ เพื่อให้นายจะเอาปืนจ่อหัวหยงตงและเพิ่มความทะนงตนงั้นเหรอ? นายรู้ไหมว่าความไว้วางใจของพวกเขาเรียกว่าอะไร? มันเรียกว่าความรับผิดชอบ!”
“เข้าใจแล้วครับอา!”
“พักต่อสักหน่อยเถอะ” เฒ่าหม่าสูดหายใจเข้าลึกก่อนตบบ่าของหม่าเหลาเอ๋อ จากนั้นลุกยืนขึ้นและเดินออกจากห้อง
หม่าเหลาเอ๋อมองขึ้นไปบนเพดาน แต่สิ่งเดียวที่เขาเห็นในตอนนี้คือเงาของเฒ่าหม่า
….
ภายในเขตรกร้าง
ชายหนุ่มหน้าตามอมแมมสวมเสื้อหนัง หนวดเครารกรุงรังเดินเข้าไปในเต็นท์
“มาแล้วเหรอ?” ชายร่างกํายําที่นั่งแล่เนื้อแกะอยู่ข้างกองไฟเอ่ยถาม “พรุ่งนี้นายจะไปที่นั่นไหม?”
“ไม่ล่ะ ฉันมาเพื่อบอกว่าจะไม่ไปที่นั่นอีกแล้ว” ชายหนุ่มหน้าตามอมแมมนั่งไขว่ห้างพร้อมแล่เนื้อแกะเข้าปาก “ฉันมีเรื่องด่วนให้จัดการ และจะต้องพาคนของฉันออกไปก่อน”
“นายกําลังเล่นอะไรอยู่?” ชายร่างกํายําขมวดคิ้ว “นายจะทิ้งเรื่องนี้ทั้งๆ ที่ทําไปได้แค่ครึ่งหนึ่งเหรอ? แล้วฉันจะทํายังไงต่อ?”
“นายแค่หาคนอื่นมาทําต่อ” ชายหนุ่มหน้าตามอมแมมกล่าวพลางเช็ดคราบไขมันบนริมฝีปาก “ตราบใดที่จ่ายหนักพอนายจะเห็นผู้คนมากมายอาสาทําเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
“หุบปาก! นายก็รู้ว่าเรื่องนี้เร่งด่วนแค่ไหน แล้วฉันจะหาคนที่เหมาะสมภายในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้ได้ยังไง?”
“โอเค ฉันจะให้เบอร์ติดต่อคนคนหนึ่ง โทรซะแล้วเขาจะพาลูกน้องมาหานายทันที” ชายหนุ่มกล่าว “แต่ตอนนี้ฉันต้องไปแล้ว”
ชายร่างกํายําครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก “ฉันจะเพิ่มค่าตอบแทนให้”
“มันไม่เกี่ยวกับเงิน” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ
“ตึง!”
ชายร่างกํายําชักปืนออกมาพลางกระแทกลงบนโต๊ะ “ฉันไม่ไว้ใจคนนอก นายต้องทํางานให้สําเร็จก่อนแล้วค่อยถอนตัว”
ชายหนุ่มเคี้ยวเนื้อแกะขณะมองปืนพกที่อยู่บนโต๊ะ รอยยิ้มค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขาก่อนพูดว่า “ว้าว ปืนดูดีนี่”
ชายร่างกํายําจิบแอลกอฮอล์เงียบๆ
ชายหนุ่มคว้าปืนพกและเล็งไปทางซ้ายก่อนเหนี่ยวไก
“ปัง ปัง ปัง!”
เสียงปืนดังขึ้นสองสามนัด ชายร่างกํายําเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดก่อนเอ่ยถาม “นายทําอย่างนี้หมายความว่าไง?”
“ปืนกระบอกนี้ไม่แม่นอย่างที่คิดเลย” ชายหนุ่มกล่าวพลางวางปืนลงบนโต๊ะก่อนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกล่าวต่อ “ถ้าพูดเรื่องยิงปืนพวกนายสามคนรวมตัวกันยังสู้ฉันไม่ได้”
หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ ชายอีกสองคนก็เดินเข้ามาในเต็นท์
ชายหนุ่มโบกมือสั่งให้ทั้งสองหยุดเดินก่อนพูดต่อ “ฉันต้องไปทําธุระด่วน ไว้จะจ่ายหนี้คราวหน้า อ้อแล้วงานนี้ไม่ ต้องจ่ายเงินให้ฉันแม้แต่สตางค์เดียวนะ”
ชายร่างกํายํานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจในที่สุด “มีปัญหาไม่ชอบเงินหรือยังไง?”
“ในโลกนี้ยังมีผู้คนและงานที่สําคัญกว่าเงินอยู่” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนสอดมือไว้ในกระเป๋าเสื้อและเดินจากไป
เวลาเที่ยงของวันต่อมา ณ สนามฝึกทหาร
ฉินอวี่เปิดประตูพร้อมตะโกนเสียงดังว่า “เตรียมตัวให้พร้อม! ฉันจะส่งข้อความไปเดี๋ยวนี้!”
ภายในเขตเมือง
เสียงโทรศัพท์ของหยงตงดังขึ้น เขาก้มศีรษะเพื่อมองดูข้อความที่มีเพียงประโยคเดียว
“ฉันกําลังไป”