Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 138 เลิกแล้วต่อกัน

ตอนที่ 138 เลิกแล้วต่อกัน

ตอนที่ 138 เลิกแล้วต่อกัน

จางเทียนเอนตัวพิงเบาะหลังและหลับตาลง

“พี่เขย ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ผ่านไปด้วยดีแต่ทําไมพี่ถึงดูไม่มีความสุขเลยล่ะ?” น้องชายภรรยาของจางเทียนถาม

จางเทียนนิ่งไปพักหนึ่งก่อนถอนหายใจแรง “เพราะฉันซื่อสัตย์ต่อทั้งพระพุทธเจ้าผู้หญิงที่ฉันรักพร้อมกันไม่ได้น่ะสิถ้ามีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ ใครบ้างจะอยากถูกมองว่าเป็นนักธุรกิจหน้าเงิน…”

*คําพูดนี้อ้างอิงมาจากองค์ดาไลลามะที่หกในฐานะดาไลลามะเขาไม่ควรมีกิเลสต่อเพศตรงข้ามเพื่อไม่ให้ผิดหลักศาสนาแต่เขากลับตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง

โครม!

จางเทียนยังพูดไม่ทันขาดคํา จู่ๆรถจี๊ปคนหนึ่งก็พุ่งมาเฉียวด้านขวาตัวรถที่เขานั่งจนรถไถลข้ามไปบนถนนอีกฝั่งที่เต็มไปด้วยหิมะไกลกว่าสามเมตรจึงจอดสนิท

“แม่งเอ๊ย!” น้องชายภรรยาของจางเทียนส่ายหัวมือ ตะครุบเข้าที่ด้ามปืนโดยสัญชาตญาณทันที

“ปัง!”

ประตูรถถูกคนด้านนอกกระชากเปิดออกเสี่ยวจิ๋วและลูกน้องอีกสามคนชักปืนจ่อไปทางคนที่นั่งในรถก่อนพูดเสียงราบเรียบ “พี่หัวโล้นบอกฉันว่าเขาไม่อยากทําแบบนี้ แต่นายบังคับให้เขาต้องทํา!”

จางเทียนตกใจสุดขีด

“ลงจากรถซะ!” เสี่ยวจิ๋วออกคําสั่งเสียงเข้ม

“เสี่ยวจิ๋ว ฉันไม่เข้าใจเลย ทําไมนายถึงทําแบบนี้?” ชายวัยกลางคนที่นั่งข้างจางเทียนกําหมัดแน่น “ลูกพี่จากไปแล้ว! นายเองก็ควรหาทางไป!”

“อย่าคาดคั้นฉัน! ออกมาเดี๋ยวนี้!” เสี่ยวจิ๋วพูดซ้ําด้วยน้ําเสียงเกรี้ยวกราด

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

โกดังสินค้าของบริษัทตระกูลหยวนที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองเฟิงเป่ย จางเทียนถูกผลักให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่ผุพังจวนหักทรงผมของเขากระเซิงไม่เป็นระเบียบ เขาจ้องหน้าชายหัวโล้นเงียบๆ ด้วยสายตาว่างเปล่า

“วันนี้ตอนบ่ายเราเพิ่งหารือกัน ตกเย็นมานายกลับที่ตัว มาเฟิงเป่ย” ชายหัวโล้นก้มหน้าต่ํา ทําให้อีกฝ่ายอ่านสีหน้า ของเขาไม่ได้ “นายรีบร้อนอะไรขนาดนั้น?”

จางเทียนยังคงนิ่งเงียบ

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้านายจะแยกตัวออกไปก็หวังว่าเราจะจากกันด้วยดี ไม่จําเป็นต้องหยิบปืนผาหน้าไม้มาสู้กัน” ชายหัวโล้นพูดเสียงแหบขณะเงยหน้าขึ้นจนเห็นดวงตาแดงกํา “ถึงนายไม่สนใจพวกเรา อย่างน้อยก็ควรนึกถึง ลูกพี่หยวนที่ถูกฝังในวันเดียวกันบ้างเขาทําอะไรให้ นายเจ็บแค้น?”

“เขาไม่เคยทําอะไรให้ฉันเจ็บแค้น แต่เขา”

“อย่าเอาเรื่องไอ้หยงตงมาอ้าง!” ชายหัวโล้นตะโกนลั่นอย่างโกรธจัด ดวงตาที่มองอีกฝ่ายเต็มไปด้วยแววคุกคาม “ใช้สมองโง่เง่าของแกทบทวนดูซะ! แล้วบอกมาว่าลูกพี่ หยวนทําอะไรให้แกเจ็บแค้นนักหนา?!”

จางเทียนนิ่งไปอีกครั้ง

“ตอนที่แกถอนการลงทุนออกไปฉันอุตส่าห์ไม่ยอมให้หยวนเค่อหักเงินของนายแม้แต่สตางค์เดียว! แต่แกกลับทรยศบริษัทของตระกูลหยวนและสมรู้ร่วมคิดกับนายหญิงที่สี่ทําให้มันเหลือแค่เปลือกเปล่า! ฉันยอมให้แกทําแบบนั้นไม่ ได้!” ชายหัวโล้นทุบโต๊ะโดยแรงพร้อมพูดทุกประโยคอย่างชัดถ้อยชัดคํา

หยวนเค่อที่นั่งอยู่บนลังสินค้าด้านข้างนิ่งฟังคําพูดของชายหัวโล้นโดยไม่ออกความเห็น

จางเทียนเอียงหัวเล็กน้อยขณะตอบคําถามของอีกฝ่าย “ก็ได้! ลูกพี่หยวนไม่เคยทําให้ฉันเจ็บแค้น แต่ฉันก็ไม่ได้ทําอะไรที่ผิดต่อเขาเหมือนกัน! สองปีที่แล้วตอนที่บริษัทถูกกดดันอย่างหนักเพราะฝ่ายการเงินทํากําไรได้ไม่ถึงหนึ่งแสนด อลลาร์ ใครเป็นคนช่วยให้เขาผ่านวิกฤตนั้นมาได้?! ไม่ใช่ฉันเหรอ!ตอนที่เขายังอยู่ถึงฉันไม่เห็นด้วยกับความคิด บางอย่างแต่ฉันรู้ดีว่าถึงคัดค้านยังไงก็คงไม่ได้ผล หลังจากนั้นฉันยังทําตามคําสั่งของเขาโดยดีแกไม่เห็นรึไง?!”

ชายหัวโล้นหยิบกล่องบุหรี่ออกมาอย่างฉุนเฉียว มือข้างที่ใช้จุดบุหรี่สั่นเทาด้วยความโกรธ

“เขาไม่เคยทําให้ฉันเจ็บช้ําน้ําใจ เขาไม่เคยทําอะไรแบบนั้นเลย!” จางเทียนตะโกนลั่น “ฉันทําผิดตรงไหน?! หนี้สินฉันก็จัดการจนไม่มีอะไรติดค้างให้พวกแกตําหนิ! ไม่ว่าคนในบริษัทจะเลือกทํางานให้หยวนเค่อต่อไปหรือเลือกออกมาติดตามฉันก็เป็นการตัดสินใจของพวกเขาฉันไม่เคยไปบีบ บังคับให้ใครเลือก! แล้วฉันก็ไม่ใช่ต้นเหตุที่ทําให้ตระกูลหยวนตกต่ําแบบนี้ มันเป็นปัญหาของบริษัทเอง! เข้าใจรึเป ล่า?!”

ชายหัวโล้นสูดลมหายใจเข้าลึก “จางเทียน ฉันไม่อยากเถียงกับนายถึงยังไงนายก็หลุดไปจากวงโคจรแล้ว เรามาทํา ข้อตกลงกันดีกว่า”

“ได้! ยังไงล่ะ?”

“ฉันจะยอมให้นายถอนการลงทุนไปให้หมดและพาลูกน้องของนายออกไปด้วย แต่ฉันมีเงื่อนไขสองข้อ…” ชายหัวโล้นสูดควันบุหรีก่อนพูดต่อ

“ข้อแรก…ฉัน เสี่ยวจิ๋วหรือหยวนเค่อจะซื้อหุ้นของนาย ทั้งหมดแล้วเราจะจ่ายเงินเป็นงวดไปตลอดสามปี ปีแรก จ่ายคืนยี่สิบเปอร์เซ็นต์ปีที่สองสามสิบเปอร์เซ็นต์ และปีสุด ท้ายห้าสิบเปอร์เซ็นต์ข้อสอง…ภายในสามปีนี้นายห้ามแตะ ต้องอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับยาเด็ดขาดและห้ามไล่ล่าผู้บริ หารทั้งระดับกลางและระดับสูงของบริษัทตระกูลหยวน ถ้านายฝ่าฝืนเงื่อนไขพวกเรามีสิทธิ์ไม่จ่ายคืนหนี้ในส่วนที่เหลือ จําไว้ให้ดีว่าตระกูลหยวนจะทําทุกวิถีทางเพื่อกําจัดนาย!”

“ฮ่าๆๆ!” จางเทียนหัวเราะเสียงดัง “ไอ้โล้น พอลูกพี่หยวนตายนายก็กลายเป็นนักธุรกิจหัวใสขึ้นมาเชียว! ทําไมแกไม่ฆ่าฉันที่นี่ซะเลยล่ะ? พอฉันตายนายจะได้พักผ่อ นอย่างสบายใจไม่ต้องเสียเวลามาตั้งเงื่อนไขบ้าบออะไรนี่ด้วย! ”

ชายหัวโล้นจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาคมกริบ “เฒ่าจางถ้าฉันไม่เห็นแก่ความเป็นพี่น้องของเราตลอดหลายปี คิดเหรอว่าฉันจะทําแค่สั่งให้คนจับตัวแกมาเจรจาที่นี่?!”

คราวนี้จางเทียนถึงกับพูดไม่ออก

“ฆ่าแกน่ะไม่ยากหรอก! ที่ยากคือการที่ฉันไม่ฆ่าแก เข้าใจไหม?!” ชายหัวโล้นทุบโต๊ะอีกครั้งก่อนโยนบุหรีลงพื้น “นี่เป็นทางออกเดียวของเรื่องนี้ แกเอาเงินที่ได้ไปสร้างกิจการได้เลย! แล้วเงินส่วนที่เหลือฉันจะจ่ายคืนให้ครบภายในสาม ปี เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ยอมให้แกทําลายบริษัทของตระ กูลหยวนเด็ดขาด!”

จางเทียนทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้โดยไม่สนใจอีกฝ่าย “แกฆ่าฉันตอนนี้เลยดีกว่า! ฉันไม่ยอมรับเงื่อนไขพวกนั้น ไม่ งั้นฉันจะอธิบายเรื่องนี้กับลูกน้องของฉันยังไง!?”

“แกคิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ?!” ชายหัวโล้นกําหมัดแน่นขณะถามกลับด้วยน้ําเสียงน่ากลัว

“แหงล่ะสิ!” จางเทียนชี้ไปทางหยวนเค่อที่นั่งอยู่ไม่ไกล“ถ้าแกคิดฆ่าฉันเพื่อไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนั้นก็ไม่มีอะไรต้อง พูดกันอีก!”

“ฉันจะถามแกเป็นครั้งสุดท้ายแกจะตกลงไหม?”

“ฉันไม่ยอมรับเงื่อนไขโง่ๆ นั่นเด็ดขาด! ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ!” จางเทียนยืนกรานคําเดิม

หยวนเค่อกระโดดลงจากลังที่นั่งอยู่และเดินไปหาจางเทียนทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “นี่ อย่างน้อยก็เห็นแก่พี่ชายของฉันที่ถูกฝังไปวันก่อนหน่อยไม่ได้เหรอ?”

“อย่าพูดถึงหยวนหัว!” จางเทียนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ฉันไม่ได้ติดค้างอะไรเขาซะหน่อย!”

โกดังตกอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่

ชายหัวโล้นมองหน้าจางเทียนอีกครั้งก่อนหยิบโทรศัพท์ออกมา “แกพูดถูก ฉันฆ่าแกด้วยมือตัวเองไม่ได้”

จางเทียนนิ่งอึ้งด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมรับดื้อๆ

“เสียงหยางลูกพี่ลูกน้องของแก นายหญิงคนที่สี่ของหยวนหัว และพวกผู้บริหารที่อยู่ข้างแก พวกเขาถูกคนของฉันควบคุมตัวอยู่ในตอนนี้” ชายหัวโล้นพูดเสียงสั่น “ถ้าแกยัง ปฏิเสธเงื่อนไข ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากฆ่าพวกเขาซะ!”

“แกกําลังขู่ให้ฉันกลัวจนยอมจํานนใช่ไหม?!” จางเทียนลุกขึ้นยืนพร้อมตะโกนลั่น สีหน้าของเขาน่ากลัวมาก

“ฉันเหมือนคนขู่ให้แกกลัวโดยไม่เอาจริงงั้นเหรอ?” ชายหัวโล้นตะคอกกลับพลางเขย่าโทรศัพท์ในมือ “แกต่างหากที่บังคับให้ฉันต้องทําแบบนี้ ฉันมีทางเลือกอื่นเหรอ? บอกสิ ว่าไม่งั้นฉันต้องทํายังไง!?”

จางเทียนกระสับกระส่ายจนร่างกายเกร็งไปทุกส่วน

“เงิน หรือชีวิตคน?! เลือกมา!” ชายหัวโล้นกดดันอย่างหนัก

จางเทียนหลับตาลงเพื่อทบทวนเรื่องนี้ โกดังตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน จากนั้นรอยยิ้มจึงผุดขึ้นที่มุมปากเขาหัวเราะเยาะในชะตากรรมของตัวเองก่อนพูดว่า “ฉันเข้า ใจแล้ว ตาเฒ่าหยวนเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวของแกสินะ ส่วนฉันเป็นได้แค่สิ่งของที่แกจะปล่อยให้หลุดจํานําเมื่อไหร่ก็ได้! ได้! ฉันยอมแพ้! ร่างหนังสือสัญญาให้ฉันเซ็นซะ!”

ชายหัวโล้นก้มหน้าลงครู่หนึ่งก่อนหันหลังกลับพร้อมตะโกนออกคําสั่ง “เสียวจิ๋ว ร่างสัญญา!”

ซึ่งเจียง

จุเหว่ยรีบเดินเข้าไปในห้องทํางานพร้อมเอกสารในมือขณะออกคําสั่ง “ส่งเอกสารพวกนี้ไปเฟิงเป๋ยผ่านระบบดิจิ ทัล เร็วเข้า!”

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Status: Ongoing

โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย…

‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง

ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม!

ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้…

ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท