ตอนที่ 131 นี่แหละมิตรแท้ยามยาก
จางเทียนและคนอื่นๆ ต่างเอือมระอากับหยวนเค่อที่มัวแต่โศกเศร้าจนไม่ใส่ใจเรื่องอื่น ไม่ว่าพวกเขาจะแนะนํา ขั้นตอนการดําเนินงานหรือพูดอะไร ชายหนุ่มก็บอกให้ทุกคนประสานงานกับชายหัวโล้นโดยตรงแทน
การประชุมสิ้นสุดลงโดยไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน หยวนเค่อเดินออกจากห้องประชุมโดยมีพี่สามคอยประคองไม่ห่าง
จางเทียนทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“จะอย่างไรก็เถอะ ถ้าพวกเราหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ได้ แล้วเราจะจัดการเรื่องนี้ยังไงกันต่อ?” ชายอีกคนโพล่งขึ้นอย่างไม่สบายใจเช่นเดียวกัน
“ลืมไอ้หัวโล้นไปแล้วเหรอ? ปล่อยให้เขาจัดการทุกอย่างน่ะดีแล้ว” จงเทียนตั้งข้อสังเกต “พวกเรากลับกันเถอะ”
ทุกคนหันมองหน้ากันก่อนเดินออกจากห้องประชุมด้วยความหงุดหงิดที่สุมอยู่เต็มอก
ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา
จางเทียนคุยโทรศัพท์อยู่บนรถ น้ำเสียงของเขาเหนื่อยหน่าย “คุณติดต่อลูกชายคนรองของประธานสิ่งได้หรือยัง? ใช่ ผมพูดไม่ผิดหรอก ผมอยากให้คุณลองทาบทามเขาดู ถ้าเขาเต็มใจที่จะพบเราพรุ่งนี้ผมจะเดินทางไปเฟิงเปยทันทีเท่านี้ล่ะ!”
….
วันถัดมา
ตระกูลหยวนยุ่งอยู่กับการเตรียมงานศพของหยวนหัว ส่วนชายหัวโล้นทํางานหนักจนล้มป่วย ถึงอย่างนั้นเขายังกัดฟันอดทนและประสานงานกับเครือข่ายทั้งหมดของพวกเขาเพื่อกระจายข่าวการเสียชีวิตของหยวนหัว พร้อมกับปลอบโยนให้คนเหล่านั้นสงบลง
เวลาบ่ายโมง
ชายหัวโล้นกระแอมไอสองครั้งขณะทําท่าทางเป็นเชิงสั่งให้ลูกน้องเปิดประตู พอประตูเปิดออกจึงเห็นหยวนเค่อกําลังเดินนําภรรยาและลูกชายของหยวนหัวเข้ามาด้านใน
“ผมต้องขอโทษด้วย วันนี้ผมรู้สึกไม่สบายเหมือนกะโหลกจะระเบิด” ชายหัวโล้นรีบลุกขึ้นต้อนรับพวกเขาทันที “ไม่อย่างนั้นผมคงเดินทางไปรับคุณด้วยตัวเอง”
“โธ่…พี่ชาย เราจะทําอย่างไรดี..” ภรรยาของหยวนหัวร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า “ตาเฒ่าหยวนล่วงลับไปเสียแล้ว อนาคตของพวกเราจะเป็นอย่างไร?”
ชายหัวโล้นรีบก้าวไปประคองเธอเพื่อปลอบใจ “พี่สะใภ้ เข้ามาก่อนเถิด อย่ายืนร้องให้ตรงประตูเลย”
“คุณลุง!”
ขณะผู้ใหญ่กําลังสนทนา ลูกชายวัยสิบขวบของหยวนเค่อก็วิ่งมาคว้าแขนเสื้อของชายหัวโล้นและร้องโวยวาย
“หยวนเค่อ พาพี่สะใภ้เข้ามาในบ้านก่อนเถอะ” ชายหัวโล้นรู้สึกแย่ไม่น้อยเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองคน เขาปิดประตูและเชื้อเชิญทุกคนเข้ามาด้านใน
เขาต้องสรรหาคําพูดมากมายมาปลอมประโลมจนภรรยาและลูกชายของหยวนหัวสงบลง
“พี่สะใภ้ การตายของลูกพี่หยวนถือเป็นความผิดของผม” เขากล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ผมไม่ควรปล่อยให้เขาไปที่เกิดเหตุในวันนั้น พอเห็นพวกคุณเสียใจขนาดนี้…ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรทําหน้ายังไงดี”
หยวนเค่อหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ และก้มหน้าลงโดยไม่พูดอะไร
ภรรยาของหยวนหัวซับน้ำตาตัวเองขณะมองหน้าชายหัวโล้นด้วยดวงตาแดงก่ำ จากนั้นจึงสูดจมูกเล็กน้อยและพูดขึ้น “พี่โล้น ในเมื่อทุกอย่างเลยเถิดมาถึงจุดนี้ ฉันมีความจริงบางอย่างต้องบอกกับคุณ”
“ครับ เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่จําเป็นต้องมากพิธี”
แม้บางครั้งชายหัวโล้นมักวางอํานาจและเจ้าแผนการ แต่เขาก็จงรักภักดีต่อหยวนหัวอย่างจริงใจ
“คุณคงพอรู้ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาตาเฒ่าหยวนติดพันผู้หญิงอื่นหลายคน” น้ำเสียงของหล่อนสันเครือ มือสองข้างโอบลูกชายไว้ในอ้อมแขน “ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ผู้หญิงพวกนั้นไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวอะไร แต่ตอนนี้นังผู้หญิงทั้งหลายคงฉวยโอกาสดึงเส้นสายในบริษัทมาร่วมมือจัดการกับฉันและลูกชาย แล้วฉันต้องทํายังไงดี?”
ชายหัวโล้นตอบอย่างฉุนเฉียวทันทีที่ได้ยินคําพูดนั้น “พูดอะไรของคุณ? คุณเป็นพี่สะใภ้เพียงคนเดียวที่เรารู้จัก ส่วนเสี่ยวเชวียนก็เป็นลูกชายคนโตของตระกูลหยวน คํา พูดของคุณต้องมีน้ำหนักมากที่สุดสําหรับตระกูลหยวนของเราอยู่แล้ว”
“ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดีสิ” ภรรยาหยวนหัวตอบเสียงเศร้า ขณะมองหน้าอีกฝ่าย “คุณพอระแคะระคายเรื่องนี้บ้างไหม? วันก่อนที่ข่าวการตายของหยวนหัวมาถึงบริษัทมีคนในของเราพยายามหาทางติดต่อกับประธานสิ่งเป็นการส่วนตัวแล้ว!”
เสี่ยวจิ่่วที่ได้ยินดังนั้นพูดแทรกขึ้นด้วยความตระหนกทันที “มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอพี่สะใภ้?!”
“ฉันสาบาน!” หล่อนอุทาน “จางเทียนมีความเกี่ยวข้องกับนายหญิงคนที่สี่ของหยวนหัว ฉันบังเอิญรู้มาว่าพวกเขากําลังทํางานร่วมกันในเรื่องนี้”
ใบหน้าชายหัวโล้นเคร่งเครียดขึ้นทันที “พี่สะใภ้ คุณไม่ควรพูดเรื่องทํานองนี้สุ่มสี่สุ่มห้า”
“ถ้าฉันไม่มั่นใจคงไม่พูดหรอกคุณ!” หล่อนยืนกราน “ตาเฒ่าหยวนมีเส้นสายอยู่ในบริษัทหลงสิ่งพวกเขามักติดต่อกันอยู่เสมอ ฉันรู้มาจากเส้นสายของเขาว่าจางเทียนกําลังวางแผนนัดพบกับลูกชายคนรองของประธานสิง ข้อมูลทุกอย่างล้วนเป็นความจริง!”
ชายหัวโล้นตกตะลึง “จางเทียนจะทําแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
“แล้วทําไมเขาจะทําไม่ได้ล่ะ? เขาเคยหัวเสียเมื่อรู้ว่าหยวนหัวยืนกรานจะเลี้ยงดูหยงตง” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้หล่อนก็ร้องให้ออกมาอีกครั้ง “ทันทีที่หยวนหัวหายตัวไป เขาก็พาคนมารังแกเรา..ฉันจะบอกให้นะพี่โล้น ถ้าจางเทียนมีอํานาจในบริษัทเมื่อไหร่ เขาจะเริ่มทําการกวาดล้างครั้งใหญ่และกําจัดทุกคนที่รกหูรกตาทันที หรือไม่ก็อาจรวบรวมคนที่ไว้ใจได้มาใช้งานและสร้างบริษัทขึ้นซะเอง!”
ชายหัวโล้นหยิบกล่องบุหรี่ขึ้นมาเงียบๆ
“พี่โล้น คุณคือคนสนิทร่วมเป็นร่วมตายของหยวนหัว หลายปีที่ผ่านมาคุณเป็นคนเดียวในบริษัทที่เขาไว้วางใจ” หล่อนพูดต่อไปด้วยเสียงสะอื้น “ฉันหารือเรื่องนี้กับหยวนเค่ อก่อนแล้ว แต่กิจการของบริษัทนี้ซับซ้อนกว่าที่ฉันจะเข้าใจ เราไม่มีอํานาจใดๆ เลย…สู้มอบมันไว้ในมือของคนที่เราไว้ใจคงดีกว่า!”
ชายหัวโล้นตกตะลึงกับคําพูดเหล่านั้น เขาหันขวับไปหาอีกฝ่ายทันที “ พี่สะใภ้ คุณหมายความว่ายังไง?”
“ฉันอยากให้คุณขึ้นเป็นผู้นําบรรดาพี่น้องและจัดการกับธุรกิจของตระกูล และถ้าคุณกังวลว่าอาจมีเสียงสนับสนุนไม่เพียงพอ ฉันและหยวนเค่อพร้อมยืนเคียงข้างคุณ!” หล่อนตัดสินใจอย่างแน่วแน่
“ใช่แล้ว พี่ชายหัวโล้น คุณเหมาะสมที่สุดที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าคนใหม่ ส่วนผมจะทํางานในสํานักงานตํารวจต่อไป” หยวนเค่อกล่าวเสริม “ในเมื่อพี่ชายของผมไว้ใจคุณ ผ มก็เชื่อมั่นในตัวคุณเช่นกัน!”
ชายหัวโล้นหัวเราะในลําคอพลางจุดบุหรี่ขึ้นสูบก่อนหันไปหาคนทั้งสอง “คนสนิทร่วมเป็นร่วมตายงั้นเหรอ? ตราบใดที่ความสัมพันธ์ยังไม่ถูกทําลายลง ต่อให้คนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปก็ต้องเคารพเขาเช่นเดิม นั่นคือสิ่งที่มิตรแท้ควรจะเป็น! ผมเองก็ปรารถนาในเงินตราไม่น้อย ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่ถึงสิ่งที่เคยเป็นของลูกพี่หยวนจะวางกองตรงหน้าผมก็ไม่มีวันแตะต้องมันเด็ดขาด!”
“พี่ชาย ฉันพูดคําเหล่านี้ด้วยความจริงใจ ไม่ได้พยายามให้คุณ”
“พี่สะใภ้ ทางที่ดีคุณควรเกลี้ยกล่อมให้หยวนเค่อทํางานหนักแทนเสี่ยวจิ่ว ส่วนผมจะคอยสนับสนุนเขาเหมือนที่เคยสนับสนุนลูกพี่หยวนก่อนหน้านี้!” ชายหัวโล้นกล่าว “ผมไม่ขัดสนเรื่องเงินแล้วล่ะ กังวลก็แต่เรื่องกรรมที่จะตามสนองผมในสักวัน ถ้าจางเทียนอยากแยกตัวออกไปผมคงไม่ห้ามปราม แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาหักหลังพวกเรา ผมจะให้เขาชดใช้อย่างสาสม!”
….
เจียงโจว
ฉีหลินยืนอยู่ข้างโกโก้พลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะและพึมพําอย่างกระวนกระวาย “ทําไมเขายังมาไม่ถึงอีก?!”
พูดไม่ทันขาดคําเขาจึงเห็นรถยนต์สามคันขับตรงมาก่อนจอดเทียบบริเวณริมถนน
“ พวกเขามาแล้ว!” ดวงตาฉีหลินเป็นประกาย เขารีบวิ่งออกไปด้วยความร้อนรน
โกโก้กระชับผ้าพันคอให้แน่นขึ้นพลางพูดเสียงเข้มขรึม “เราไปดูกันเถอะ”
กลุ่มคนที่ติดตามโกโก้เดินตามเธอไปที่รถทั้งสามคัน
ประตูรถเปิดออกพร้อมแมวเฒ่าซึ่งเป็นคนแรกที่กระโดดลงมา ทันทีที่เขาเห็นฉีหลินก็อุทานอย่างตื่นเต้น “ว่าไง! ฉันคิดว่าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอนายแล้วซะอีก!”
ฉีหลินโผเข้ากอดแมวเฒ่าพลางตบไหล่อีกฝายแรงๆ จากนั้นจึงเดินอ้อมไปที่เบาะหลังของรถคันเดียวกันเมื่อเห็นฉินอวี่นอนนิ่งอยู่ข้างใน
“เขายังไม่ฟื้นอีกเหรอ?”
ฉินอวี่ที่นอนอยู่บนเปลหามยังคงหลับตาสนิทแต่พูดขึ้นว่า “ฉันฟื้นแล้ว แต่วิญญาณยังไม่กลับมาจากเฟิงเปย!”
“ให้ตายเถอะ! ไม่เป็นไรหรอกตราบใดที่ร่างกายของนายยังอยู่ครบ!” ฉีหลินผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก
หม่าเหล่าเอ๋อเดินแหวกมาจากด้านหลังกลุ่มคนพร้อมไม้ค้ำยัน เขากวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวงก่อนถามถึงอีกฝ่าย “เขาอยู่ที่ไหน? ทําไมไม่รับสายฉันเลย?”