Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 145 ไหล่กว้างของชายหนุ่ม

ตอนที่ 145 ไหล่กว้างของชายหนุ่ม

Special District 9 ตอนที่ 145 ไหล่กว้างของชายหนุ่ม

เซียงเซียงโกรธจนแทบเสียสติ เมื่อเห็นพี่จางทุบตีแม่อีกครั้ง เธอจึงไม่คิดลังเลที่จะโต้ตอบ เพราะสิ่งที่เซียงเซียงต้องการทํามากที่สุดในตอนนี้คือการฆ่าไอ้สวะตรงหน้าด้วยขวดเบียร์ที่ถือในมือ

ถึงแม้ว่าพี่จางจะเมามากแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงเป็นชายฉกรรจ์ข้างถนนที่มักชอบใช้ความรุนแรงและวิธีชกต่อยในการแก้ไขปัญหาอยู่ดี เมื่อเขาเห็นเซียงเซียงพุ่งเข้ามาจึงก้าวถอยหลังสองก้าวก่อนยกเท้าขวาถีบเธอเต็มแรง

“ตึง!”

เซียงเซียงล้มลงกระแทกพื้น ในขณะนั้นเองเท้าขวาของพี่จางก็ปรากฏให้เห็นบาดแผลขนาดใหญ่

“เซียงเซียง!” เจ้ฮัวตะโกนเสียงดังพร้อมกระเสือกกะสนออกจากถูกรัดกุมจากพี่จางเพื่อช่วยเซียงเซียง

“นังเด็กเปรต! แกกล้าแทงฉันเหรอ? แกอยากรู้ไหมว่าที่จริงแล้วฉันเป็นใคร! ฉันเป็นพ่อของแกไงล่ะ!” พี่จางพูดด้วยน้ําเสียงโกรธสุดขีด เขายกเท้ากระทืบเซียงเซียงด้วยความโมโห “ฉันจะฆ่าแก เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก!”

เจ๊ฮวรีบเข้าไปปกป้องลูกสาวจากการถูกกระทืบก่อนจ้องพี่จางพร้อมตะโกนด้วยความแค้น “ไอ้สัตว์นรก! แกกล้าทําลูกได้ไง?!”

“เอาเงินมาเดี๋ยวนี้!” พี่จางคํารามพร้อมชกเข้าที่ใบหน้าเจ้ฮัว “แกอยากลองดีนักใช่ไหม?!”

“ฉันไม่มี! แกอยากได้ข้าวของอะไรก็เอาไปเลย! แต่อย่ามาทําร้ายลูกฉัน!” ตอนนี้เจ๊ฮัวยอมแพ้ เธอกอดลูกสาวพร้อมร่ําไห้ “หยุด! หยุดตีลูก!”

พี่จางหอบหายใจพร้อมจ้องเจ๊ฮัวด้วยความโมโหครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก “ไม่มีเงินเหรอ? ได้! พาลูกสาวของแกไปขายตัวคืนหนึ่งสิ ฉันจะหาลูกค้าให้มันเอง ที่นี้แกจะได้เงินตั้งสามพันดอลลาร์เชียวนะ แกเอามาแบ่งให้ฉันสองพัน ส่วนที่เหลือฉันยกให้!”

“ไม่มีทาง!”

“แกจะหวงพรหมจรรย์ไปทําไม? นังนี้จะไปทําอะไรอย่างอื่นได้? ยังไงมันก็ต้องสานต่อกิจการของแกอยู่ดี! แกควรขอบคุณฉันต่างหาก! ถ้าไม่มีฉันแกจะโกยเงินจากลูกค้าได้เยอะขนาดนี้เหรอ?” พี่จางถามพลางถ่มน้ําลายใส่หน้าเจ้ฮัว “อย่าคิดลองดีกับฉันเข้าใจไหม?”

“ฝันไปเถอะ! ต่อให้ฉันต้องตาย…ฉันก็ไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้น!” เจ๊ฮัวกรีดร้องพร้อมกอดเซียงเซียงแน่น “จะไม่มีใครหน้าไหนได้แตะต้องลูกสาวฉันเด็ดขาด!”

“ทําไมสมองกลวงๆของแกไม่ซึมซับอะไรบ้าง?!” พี่จางคําราม “ฉันจะบอกแกเป็นครั้งสุดท้าย…”

“ปล่อย!”

ทันใดนั้นเจ้าเขี้ยวรูปร่างผอมแห้งเดินเข้ามาในห้องและตะโกนไปทางพี่จางอย่างเย็นชา

พี่จางหันกลับไปมองขณะเอ่ยถามด้วยน้ําเสียงชวนขนลุก “แกว่าอะไรนะ?”

“ฉันบอกให้แกปล่อย!” แม้จะเตี้ยกว่าชายวัยกลางคน แต่ ตอนนี้พี่จางนั่งยองอยู่บนพื้นทําให้เจ้าเขี้ยวประจันหน้าพี่จางอย่างจัง

“ไสหัวไป ไอ้เด็กนรก!” พี่จางผลักเจ้าเขี้ยวไปด้านข้าง จากนั้นก็หันกลับไปพูดกับเจ๊ฮัว “แก”

สายตาเย็นชาฉายแววจากฝั่งของห้อง เจ้าเขี้ยวยกปังตอขึ้นก่อนฟันลงอย่างไม่ลังเล

“ฉัวะ!”

พี่จางไม่ทันระวังตัวจึงถูกฟันเข้าที่ใบหน้าด้านขวา เขาจับบาดแผลพร้อมร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด “เวรเอ๊ย! แกฟันฉันเหรอ?”

เจ้าเขี้ยวเข้าโจมตีอย่างป่าเถื่อนโดยเล็งเป้าหมายและฟันปังตอไปยังข้อมือของพี่จางอีกครั้ง

“ไอ้เด็กเวร ไอ้สารเลว!” พี่จางตอบกลับทันทีพร้อมกับลุกขึ้นและยื่นแขนขวาไปด้านหน้าก่อนพุ่งทะยานไปคว้ามือเจ้าเขี้ยวเพื่อต่อสู้

เจ้าเขี้ยวจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง เขาก้าวถอยหลังสามก้าว เพื่อสร้างระยะห่างระหว่างกันก่อนเอียงปังตอไปด้านข้าง และฟันไปยังหน้าท้องของพี่จางอย่างรวดเร็ว

“ฉัวะ!”

ปังตอฟันเข้าตัวพี่จางเป็นครั้งที่สาม ตอนนี้เสื้อเชิ้ตของเขาฉีกขาดพร้อมเลือดสาดกระเซ็นออกจากหน้าท้อง

เจ้าเขี้ยวเบี่ยงตัวหลบไปด้านซ้ายก่อนเงื้อมือขึ้นและฟันลงมาอย่างไม่ยั้งมือ

“ฉัวะ!”

“ฉัวะ!”

บาดแผลปรากฏเต็มตัวพี่จางภายในเวลาเพียงสามวินาที แต่เขาก็ยังพยายามรวบรวมความกล้าและกระโดดไปข้างหน้าด้วยความโกรธแค้นที่โหมกระหน่ํา แต่เจ้าเขี้ยวนั้นว่องไวกว่าจึงสามารถถอยออกไปหลายก้าวก่อนยกบังตอขึ้นสูง

เจ้าเขี้ยวเบิกตากว้างพร้อมตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “เข้ามาสิ ไอ้สารเลว!”

พี่จางกัดฟันแน่นแต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เนื่องจากเขาไม่มีอาวุธในมือและไอ้เด็กเปรตที่อยู่ตรงหน้าคือนักสู้ตัวฉกาจเลยทีเดียว

เมื่อเห็นว่าพี่จางเกิดความลังเล เจ้าเขี้ยวจึงใช้ปังตอฟันไปที่เขาอีกครั้ง

พี่จางพยายามคว้าปังตอเอาไว้ แต่เขาไม่เร็วพอจึงโดนปังตอฟันอีกสองถึงสามครั้ง สุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนีหางจุกตูด

เจ้าเขี้ยวยังคงวิ่งตามพี่จางออกไปพร้อมถือบังตอในมือ และไล่ฟันแผ่นหลังของพี่จางอีกหลายครั้ง

“กริ้ง!”

พี่จางขี้เมาเดินโซเซไปยังประตูหน้าร้านก่อนล้มลงบนบันไดทางเข้า เขาจับใบหน้าตนเองด้วยความเจ็บปวดขณะลุกยืนขึ้นและวิ่งหนีไป

เจ้าเขี้ยวไล่ตามพี่จางไปจนถึงทางเข้า เขาหอบหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนตะโกนจนสุดเสียง “ไอ้เวร! ถ้าแกกล้ากลับมาอีก ฉันจะสับแกเป็นชิ้นๆ!”

พี่จางหันกลับมาและตะโกนเสียงดัง “ไอ้เด็กเปรต แน่จริงก็รออยู่ที่นี่สิวะ!”

“ถ้าฉันยังอยู่ที่นี่แกจะทําอะไรได้? บนถนนนี้ไม่มีใครไร้ประโยชน์เท่าแกแล้ว!” เจ้าเขี้ยวอาจยังเด็ก แต่เขาตะโกนไล่อีกฝ่ายด้วยการดูถูก “ฉันจะรอแกอยู่ที่นี่!มาดูกันว่าแกจะมีปัญญาทําอะไรได้บ้าง!”

หลังจากพูดจบ เจ้าเขี้ยวจึงกลับเข้าไปในร้านพร้อมพูด “น้ากับเซียงเซียงเป็นอะไรไหมครับ?”

ภาพของชายหนุ่มผู้ถือบังตอในมือฉายซ้ําไปมาในห้วงความคิดของเซียงเซียงที่นอนอยู่บนพื้น เธอเหลือบมองรูปร่างผอมบางของเขา ภาพเหล่านี้ถูกประทับเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจเธออย่างไม่รู้ตัว

“มันไปหรือยัง?” ในที่สุดเจ๊ฮัวก็หลุดจากความสับสน เธอจึงลุกขึ้นและเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว

“ไปแล้วครับ” เจ้าเขี้ยวตอบกลับพร้อมพยักหน้า

“ปิดประตูเดี๋ยวนี้ มันต้องกลับมาแน่!” เจ๊ฮัวกล่าวอย่างรีบร้อน

เจ้าเขี้ยวเอ่ยปากขณะอะดรีนาลีนยังคงพลุ่งพล่านจากการไล่ตะเพิดพี่จางจนสําเร็จ “ถ้ามันกลับมาแล้วไงเหรอครับ? ยังไงซะมันก็เป็นแค่นักเลงข้างถนน แต่ถ้ามันกลับมาจริงๆ ผมจะไล่ฟันมันเอง ไม่ต้องกลัวหรอกครับ!”

เจ๊ฮวยังคงจําช่วงเวลาที่เจ้าเขี้ยวทําให้พี่จางดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดได้ และมีช่วงหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าเด็กคนนี้ดูน่าเชื่อถือมากกว่าผู้ชายคนอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเธอได้ยิน คําพูดเมื่อครู่ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ํา

“เชื่อฉันแล้วปิดประตูซะ เราจะไปซ่อนตัวที่บ้านเชี่ยเอ๋อกัน” เจ๊ฮัวออกคําสั่ง

ทุกคนในร้านต่างหวาดกลัวว่าพี่จางจะพาลูกน้องนักเลง กลับมาแก้แค้น ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเก็บของภายในร้านและหนีออกไปพร้อมเด็กสองคนอย่างรวดเร็ว

แต่สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือพี่จางผู้น่ารังเกียจไม่ได้พาลูกน้องกลับมาแก้แค้น แต่เขาเลือกที่จะโทรหาตํารวจแทน

ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ตํารวจสองถึงสามนายจากสํานักงานตํารวจรัฐพื้นทมิฬได้บุกเข้าไปในบ้านเชี่ยเอ๋อก่อนเอ่ยถามเจ้าเขี้ยว “นายเป็นคนทําร้ายพี่จางใช้ไหม?”

เจ้าเขี้ยวกะพริบตาก่อนเชิดหน้าขึ้นพร้อมพูด “มันคือการป้องกันตัวครับ”

“มากับฉัน!” เจ้าหน้าที่ตํารวจจับคอเสื้อเจ้าเขี้ยวก่อนหันไปพูดกับคนอื่นๆ “เก็บของ พวกคุณต้องไปสํานักงานตํารวจกับผมด้วย!”

บ้านเลขที่แปดสิบแปด

ฉินอวี่มองหลินเหนียนเล่ยก่อนพูดเย้าแหย่ “ดูเหมือนว่าเธออ้วนขึ้นนะ”

“เฮ้ย ระวังปากด้วย!” หลินเหนียนเลยตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเย็นขณะที่ลําคอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอกระทืบเท้าด้วยความขุ่นเคืองก่อนสบถ “ให้ตายเถอะ ผนังห้องของฉันมีรูแน่.เมื่อคืนยังนอนสบายอยู่เลย แต่ทําไมพอตื่นขึ้นมาขี้ตาของฉันก็มีแต่หิมะหนาเกาะอยู่เต็มไปหมด ฉันเกือบกลายเป็นไอติมแช่แข็งแล้วไหมล่ะ!”

“เธอแค่ไม่มีผู้ชายไว้กอดคลายหนาว” ฉินอวี่ตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ

หลินเหนียนเล่ยเหลือบมองฉินอวก่อนเผยรอยยิ้มพร้อมถาม “สารภาพมา! นายซื้อผ้าพันคอไปให้ใคร?”

ฉินอวี่งุนงงชั่วครู่ แต่ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น

“แป๊บหนึ่งนะ” ฉินอวี่กล่าวพร้อมโบกมือก่อนรับสาย “ว่าไงพี่เหว่ยเกิดอะไรขึ้น?”

“ลูกชายนายถูกจับ” จู้เหว่ยเอ่ยตอบ

“หา?!” ฉินอวี่ตกตะลึง

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Status: Ongoing

โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย…

‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง

ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม!

ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้…

ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท