Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 159 ไม่มีชีวิตใคร สําคัญไปกว่าชีวิตตนเอง

ตอนที่ 159 ไม่มีชีวิตใคร สําคัญไปกว่าชีวิตตนเอง

Special District 9 ตอนที่ 159 ไม่มีชีวิตใคร สําคัญไปกว่าชีวิตตนเอง

ภายในห้องสอบสวน

ฉินอวี่หันไปถามเล่อเล่อ “แกรู้ถึงความสัมพันธ์ของฉันกับหยวนเค่อรึเปล่า?”

เล่อเล่อเหงื่อตกและมองไปที่ฉินอวี่ขณะยั้งปากตัวเอง

“หภู่เหย้ากับหยวนเค่อจับมือร่วมธุรกิจกัน ฉันจึงเลยทําคดีนี้เพื่อโจมตีพวกนั้นอย่างไม่มีทางเลือก ฉันไม่สนหรอกนะว่าจะต้องจ่ายด้วยอะไรบ้าง?!”

ฉินอวี่เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนก่อนเตือนอย่างชัดเจน “รู้ไว้เถอะว่านี้ไม่ใช่คดีแพ่งธรรมดาแต่เป็นการเปิดฉากปะทะอย่างเป็นทางการ ถ้านายยังโง่ยืนหยัดอยู่ข้างพวกนั้นก็ได้! แต่นายจะเป็นผู้เสียสละคนแรกในการเดิมพันครั้งนี้ จะเลือกแบบไหนก็คิดเอาเองแล้วกัน”

“แกมีหลักฐานรึเปล่าล่ะ? จะจับฉันแค่เพราะแกเจอศพไอ้สองคนนั่นงั้นเหรอ?!” เล่อเล่อรวบรวมความกล้า “ใช่ว่าแกจะจับฉันได้คาหนังคาเขาซะหน่อย!”

“ถ้าไม่มีคนเห็นพวกแกกําลังลงมือฝังศพแกคิดว่าพวกฉันจะเจอได้ยังไงล่ะ?” ฉินอวี่เยาะเย้ยกลับ

เล่อเล่อนิ่งอึ้งไปทันทีที่ได้ยินคําพูดนั้น

“แกไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ วันหน้าวันหลังเวลาเริ่มทําอะไรอธิษฐานเผื่อไว้บ้างก็ดีนะ ว่าถ้ามีคนอื่นบังเอิญเห็นเหตุการณ์จะไม่เปิดปากพาดพิงมาถึงตัวแก!” ฉินอวี่เดินไปด้านข้างเล่อเล่อพลางเอามือลูบผมอีกฝ่ายก่อนกระชากผมออกมาทันที

ฉินอวี่ขยุ้มเส้นผมอีกฝ่ายและพูดเสียงราบเรียบ “งั้นถ้าฉันโปรยเส้นผมพวกนี้ลงบนเสื้อผ้าของผู้ตายแล้วให้แผนกนิติเวชตรวจสอบดีเอ็นเอจนสาวมาถึงแกล่ะ? สงสัยจริงๆ ว่ามันพอจะทําให้แกถูกตัดสินลงโทษประหารไหมนะ?”

“แกจะใส่ร้ายฉันเหรอ?” เล่อเล่อพูดเย้ยหยัน “เฮอะ! แกว่าเจ้านายฉันจะยอมให้มันเกิดขึ้นรึไง?”

“ความจริงไม่จําเป็นต้องทําถึงขั้นนั้นหรอก?” ฉินอวี่โยนเส้นผมที่ติดมือมาลงพื้นด้วยท่าทีรังเกียจก่อนโน้มตัวไปประจันหน้ากับเล่อเล่อ “พวกฉันเจอก้นบุหรี่จํานวนมากตกอยู่ข้างรอยยางที่เกิดเหตุ และเหมือนว่าจะมีคนถ่มน้ำลายแถวๆ หลุมศพแต่ไม่ซึมหายเพราะถูกสภาพอากาศแช่แข็งแกคิดว่าแคใส่ถุงมือเพื่อไม่ให้ทิ้งลายนิ้วมือแล้วจะรอดไปได้งั้นเหรอ? ”

เล่อเล่อผงะเมื่อได้ยินคําพูดเหล่านั้น

“ถ้าคิดจะเงียบไว้ก็เชิญ…จะได้ไม่เสียเวลา ฉันจะส่งแกไปให้แผนกนิติเวชเพื่อทําการทดสอบตอนนี้เลย! มาพนันกันไหมล่ะ? ถ้าฉันไม่พบร่องรอยอะไรเลยฉันจะปล่อยแกไปทันทีและจะไม่ไปถามพยานคนอื่นด้วย ฟังดูเป็นไง?” ฉินอวี่เลิกคิ้ว

เล่อเล่อกําหมัดแน่นแต่ยังกระอักกระอ่วน

“อ๋อ…แกคงกําลังนึกถึงขวดไวน์แตกที่วันนั้นลืมเอากลับไปด้วยใช่ไหม?” ฉินอวี่ถามอีกครั้ง

ดวงตาของเล่อเล่อเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว

“คงไม่ต้องบอกแกแล้วใช่ไหมว่าใครคือเจ้าของลายนิ้วมือบนขวดไวน์นั่น?” ฉินอวี่พูดขณะจิ้มนิ้วลงบนหน้าอกของอีกฝ่าย “ถึงแกไม่พูดอะไรฉันก็มีหลักฐานแน่นหนาแล้วล่ะ”

เล่อเล่อกลืนน้ำลายลงคออีกใหญ่

“ทุกคนต่างเป็นมนุษย์มีความคิดและเลือดเนื้อเหมือนกัน ทําไมต้องไปยอมเสียสละให้ขยะพวกนั้นด้วย? คุ้มแล้วเหรอ?” ฉินอวี่ตบเก้าอี้โลหะ “ฉันจะให้แกเป็นพยานเพื่อเปลี่ยนหลักฐานเกี่ยวกับมันและจะช่วยผ่อนผันโทษให้แกเอง สาบานได้ว่ายังไงนายก็ไม่ได้รับโทษสถานหนักแน่ๆ แต่ขึ้นนายยังคิดต่อต้านละก็…บอกได้เลยว่ายังมีหลักฐานพร้อมเล่นงานพวกแกอีกเยอะ!”

“ละเล่นงานเหรอ?”

“คดีนี้เกิดตั้งแต่สี่เดือนก่อนจึงยากที่จะคาดเดาเวลาเสียชีวิตที่แท้จริงของเหยื่อ…” ฉินอวี่มองเล่อเล่อและยิ้มมุมปาก “ฉันจะเขียนลงในแฟ้มคดีว่าผู้หญิงคนนั้นขาดใจตายก่อนจะถูกโยนลงหลุม และฉันพูดได้เลยว่าเธอถูกฆ่าตายในรถด้วย!”

เล่อเล่อสะดุ้งเมื่อได้ยินคําพูดเหล่านั้นก่อนพูดด้วยเสียงสั่นเทา “แกมั่นดีแต่ขู่เท่านั้นแหละ!”

“ชะตาของแกนะอยู่ในกํามือฉัน” ฉินอวี่พูดเสียงเรียบ “บอกแล้วว่าคดีนี้คือสงครามระหว่างฉันกับหัวหน้าของแก ไม่ใช่เพราะใครหน้าไหนทั้งนั้น! ถ้าแกคิดขัดขวาง…ชะตากรรมเดียวที่รอแกอยู่ก็คือเป็นแพะรับบาปไปซะ”

เล่อเล่อมองฉินอวี่ด้วยสายตาเลิ่กลั่ก ศีรษะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเพราะความกังวลและกลัวแทบเสียสติ

“คิดดูให้ดีล่ะ ฉันขอตัวไปนอนก่อน” ฉินอวี่พูดพลางตบหัวของอีกฝ่ายก่อนเดินออกจากประตูไป “ถ้าคิดว่าจะมีใครมาช่วยแกออกไปหรือมาส่งข่าวอะไรสักอย่างตอนที่แกกําลังถ่วงเวลาอยู่ก็คิดใหม่ซะเถอะ บุคคลสําคัญจากสํานักงานตํารวจมอบหมายงานนี้ให้กับพวกฉัน อยากรู้จริงๆ ว่าอํานาจที่มีอยู่แค่น้อยนิดของไอ้หมู่เหย้าจะมากพอจัดการกับเรื่องนี้ไหม?”

หลังพูดจบฉินอวี่จึงเดินจากไป

เล่อเล่อก้มหน้าและยกมือเกาหัวอย่างแรงขณะที่มีกุญแจมือล็อกอยู่จนเกิดเสียงโลหะกระทบกันไปมา

ประมาณสิบนาทีต่อมาในพื้นที่ทํางานส่วนกลาง

จู้เหว่ยเช็ดคราบมันออกจากมุมปากและถามว่า “ได้ผลไหม?”

“คงไม่ต้องไปสอบปากคํามันแล้วล่ะ” ฉินอวี่กล่าว “ด้วยคําขู่ถึงตายต่อหน้าฉันว่าไอ้เด็กนั่นจะไม่อยู่ทนจนถึงพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ มันไม่ได้เป็นญาติกับหวู่เหย้าแต่แค่สนิทกันเท่านั้น”

“ตราบใดถ้ามันยอมทําตาม หมากของเราที่วางไว้ก็คงพร้อมจะรุกฆาตพวกหวู่เหย้าได้แล้ว” จู้เหว่ยสั่นขาขณะพูด

“มีกุญแจรถอยู่ในกระเป๋าของเล่อเล่อ หารถคันนั้นเจอหรือเปล่า?” ฉินอวี่ถาม

“เจอแล้วครับ” จู้เหว่ยตอบพร้อมพยักหน้า “ผมส่งคนของเราไปตรวจสอบยางเพื่อเปรียบเทียบกับรอยยางรถยนต์ที่เราพบในที่เกิดเหตุ ผมยังมีรุ่นน้องจากแผนกนิติเวชไปตรวจสอบภายในรถด้วย”

“เอาเถอะ วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว กลับไปพักผ่อนซะ วันพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่” ฉินอวี่เอนตัวไปด้านหลังพลางบิดขี้เกียจก่อนตบมือหนึ่งครั้ง ” ปล่อยตัวมันไป!”

“เยี่ยมเลย! ผมจะบอกนายเวรคืนนี้ให้จับตาเล่อเล่ออย่างใกล้ชิดเพื่อดูว่ามันจะอดหลับอดนอนรึเปล่า”

“ดีมาก” ฉินอวี่พยักหน้า

เช้าวันรุ่งขึ้นเวลาเจ็ดโมงสามสิบนาที

เจ้าหน้าที่สี่นายพาเล่อเล่อไปทางประตูหลังโดยเอาผ้าปิดตาเขาไว้เพื่อพาตัวไปยังแผนกนิติเวช

ยังไม่ทันขึ้นรถเล่อเล่อก็ทรุดลงอย่างกะทันหันล้มลงกับพื้นหิมะ “ฉะ…ฉันไม่ไป..”

“แกเลือกได้ด้วยเหรอ?”

“ไม่..ฉันจะไม่ไปแผนกนิติเวช! บอกฉินอวี่ว่า…ฉันยอมพูดแล้ว!” หลังจากใช้เวลาทั้งคืนโดยไม่ได้นอนหลับพักผ่อนร่างกายของเขาจึงทรุดโทรมแทบดูไม่ได้

สี่ชั่วโมงต่อมา

ฉินอวี่ซึ่งถือบันทึกคําสารภาพของเล่อเล่อหันไปพูดกับจู้เหว่ย “ตอนนี้เราเคลื่อนไหวได้แล้วล่ะ หลังจากออกหมายจับเราจะพามันไปที่แผนกนิติเวช ถ้าลายนิ้วมือบนขวดเป็นของมันจริงเราก็มีหลักฐานเพียงพอแล้วที่จะดําเนินคดีกับเจ้านั่นได้”

“รับทราบ!” จู้เหว่ยกล่าวพร้อมพยักหน้า

ณ ส่วนหนึ่งของเมือง

หลังอาเสี่ยวอาบน้ำเสร็จเขาจึงนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวมาเอนตัวลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นพลางเอ่ยถาม “กี่วันแล้ว?”

“สามวัน” ชายร่างใหญ่ที่กําลังอ่านข่าวทางอินเทอร์เน็ตตอบ

“เฮอะ! สามวันแล้วไอ้ต้าจินคนนั้นยังไม่โผล่หัวมาเลย” อาเสียวพูดก่อนหันไปจุดบุหรี่ “มันคงคิดว่าเราจะแค่ขู่อย่างนั้นสินะ!”

“งั้นเราจะทํายังไงต่อดี?” ชายหัวโล้นร่างใหญ่ที่นั่งอ่านนิยายอยู่ตรงทางเข้าห้องนอนถาม

“เราต้องตามหามัน” อาเสียวสูดควันบุหรี่ก่อนพูดอยู่อย่างใจเย็น

“ตอนนี้เลยเนี่ยนะ? นายคิดดีแล้วเหรอ?” ชายร่างกํายําถาม

“ฉันคิดว่าเราเสียเวลามากพอแล้วกับเรื่องเล็กน้อยในเจียงหนาน” อาเสี่ยวยืนขึ้น “ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปล่อยให้พวกมันอยู่อย่างสุขสบาย ไปกันได้แล้ว”

“ไม่ต้องหรอก”

ชายร่างกํายําก้มลงหยิบกระสอบกระสอบทรายออกมาจากใต้โต๊ะ “แค่ฉันคนเดียวก็พอแล้ว”

ถนนเถ้าธุลี

หวู่เหย้ายืนคุยโทรศัพท์โดยเอามืออีกข้างล้วงกระเป๋าเสื้อ เส้นผมสีแดงพัดปลิวไปตามลมไปตามลม “หยวนเค่อ ตอนนี้คุณถึงคฤหาสน์เริงรมย์หรือยัง? งั้นถ้าถึงแล้วค่อยโทรกลับหาผมละกัน ผมว่าจะไปผ่อนคลายสักหน่อย แล้วเจอกันนะครับ”

“หว่อ…วี้หว่อ”

ขณะนั้นเองรถตํารวจสองคันที่เปิดไซเรนขับตรงมาจากทางแยกด้วยความเร็วสูงเบรคชะลอความเร็วอย่างกะทันหัน ฉินอวี่เอื้อมไปคว้าซองปืนของเขาโดยสัญชาตญาณก่อนออกคําสั่ง “รีบปฏิบัติการเดี๋ยวนี้เลย! เข้าใจไหม? จัดการให้เร็วที่สุด!”

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Status: Ongoing

โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย…

‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง

ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม!

ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้…

ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท