Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 162 ความโกลาหล

ตอนที่ 162 ความโกลาหล

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 162 ความโกลาหล

ภายในห้องน้ำชา แสงไฟมืดสลัวจนเห็นแค่โครงหน้าของกันและกันเท่านั้น แม้จะนั่งใกล้กันพวกเขาก็ไม่สามารถเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้

หวู่เวินเซิ่งเดินเข้าไปในห้องเพื่อนําของบางอย่างมาแลกกับคนอื่น เขาเริ่มจับมือทักทายทุกคนก่อนนั่งลงตรงกลางของห้อง

“เฒ่าหวู่ คุณเลี้ยงลูกมายังไง? โตแล้วแต่ยังควบคุมไอ้จ้อนในกางเกงไม่ได้เลย”

“ฮ่าฮ่า มันอาจอยู่ในสายเลือดพวกเขา ผู้เฒ่าหวู่เป็นคนค่อนข้างใจกว้างและลูกชายเขาก็น่าจะเหมือนกัน!”

ทุกคนในนั้นจิบชาและเริ่มหยอกล้อหภู่เป็นเชิงกันยกใหญ่

หญ่เป็นเชิงลูบหัวอย่างช้าขณะตอบโดยไม่แสดงอาการโกรธเคืองแม้แต่น้อย “จริง ฉันต้องยอมรับว่าขอบกพร่องขึ้นใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉันก็คือความไร้อารยธรรมนี้แหละ ก็เลยไม่รู้จะสอนพวกลูกๆ ยังไง”

คนอื่นนิ่งเงียบเมื่อได้ยินถ้อยคําเหล่านั้น

หวูเวินเซิ่งจิบชาก่อนบ้วนน้ำลายลงพื้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงห้วน “ฉันจะพูดไม่อ้อมค้อม… ฉันพยายามใช้วิธีของฉันกับพวกนั้นเพื่อพาตัวเขาออกมาแล้ว แต่มันยังไม่ได้ผล”

“ลูกชายของคุณต้องจับมือกับพวกตระกูลหยวน ก็ไม่น่าแปลกที่จะไม่มีใครในรัฐพื้นทมิฬออกไปหาเขา” ชายวัยกลางคนด้านซ้ายกล่าว

“ไว้ค่อยคุยเรื่องนั้นเถอะ! เรามาพูดถึงผลประโยชน์ดีกว่า” หวู่เวินเซิ่งเงยหน้าขึ้นและตะโกนสั่ง “ยกกล่องเข้ามา!”

ลูกน้องสองคนที่ยืนอยู่ข้างประตูผลักประตูเปิดออกและกวักมือเรียกคนจากข้างนอกให้เข้ามา

เด็กหนุ่มสามคนรีบเดินเข้ามาพร้อมกล่องขนาดใหญ่ในมือ พวกเขาเดินไปกลางห้องเพื่อวางกล่องบนพื้นแล้วเปิดออก ด้านในเผยให้เห็นกองธนบัตรอยู่เต็มกล่อง

“อะแฮ่ม!”

หลังจากดึงความสนใจของทุกคนด้วยการกระแอมหวู่เวินเซิ่งจึงยืนขึ้น “ฉันมันคนไร้วัฒนธรรม ไม่เก่งเรื่องการประดิษฐ์ประดอยคําและไม่ใช่คนปากอย่างใจอย่าง จะเข้าประเด็นเลยนะ..ฉันมีเงินอยู่สามแสนดอลลาร์ ถ้าใครช่วยจัดการปัญหาของลูกฉันได้ก็มารับไปเลย!”

“เงอะงะซะจริง! เฒ่าหว่คุณน่ะขี้ขลาดเกินไป! ขนาดสวมเสื้อคลุมมังกรแล้วก็ยังทําตัวไม่ต่างจากนักเลงข้างถนนชายร่างกํายําในห้องแซวเขา

“ฮ่าๆๆ!” หวู่เวินเซิ่งหัวเราะกับคําพูดนั้น “ทุกคนในห้องนี้ต่างก็เป็นคนน่านับถือในฮ่งเจียง แต่มีใครนิพพานไปแล้วยัง? มีใครบ้าง?”

“ฮ่าๆๆ!”

ในห้องก็มีแต่เสียงหัวเราะ

ในคืนวันเดียวกัน

ขณะที่ฉินอวี่กําลังไปเฟิงเปย ก็มีนักกฎหมายชื่อดังคนหนึ่งในช่งเจียงมาถึงห้องเยี่ยมของเรือนจํา

หวู่เหย้าเดินโซซัดโซเซลากโซ่มานั่งลงบนเก้าอี้เหล็กด้วยสภาพไร้เรี่ยวแรงและมีรอยฟกช้ำเล็กน้อยตามตัว

“คุณโอเคอยู่ไหม?” ทนายถอดแว่นออกพลางถาม

“ขึ้นมาช้ากว่านี้ฉันคงม่องเท่งไปแล้วมั้ง!” หวู่เหย้าบ่น “แล้วฉันต้องทนอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหนกัน?”

“ก่อนหน้านี้คุณได้พูดอะไรไปรึเปล่า?” ทนายความถาม

“ไม่ได้พูดอะไรเลย” หวู่เหย้าส่ายหัว “คิดว่าฉันโง่รึไง?!”

“ดีแล้วครับ” ทนายเปิดสมุดเล่มเล็กที่เขาพกมา “ฟังผมพูดดีๆ นะ”

“พูดมา” หวู่เหย้าลูบรอยฟกช้ำที่แขน

“คืนนั้นคุณเสนอเงินสองพันดอลลาร์เพื่อจะมีอะไรกับผู้ตายที่ชื่อเวิ่งเหม่ย แล้วเธอก็ตอบตกลง” ขณะทนายความเริ่มสร้างเรื่องราวใหม่ให้ หวู่เหย้าก็นั่งฟังอย่างเงียบๆ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

จู้เหว่ยมาถึงเรือนจํา เขากระทืบเท้าและตะโกนใส่นายเวรที่รับผิดชอบจับตาดูหวู่เหย้า “ไม่ได้เรื่อง! พวกแกมัวทําอะไรอยู่?! ฉันไม่ได้บอกรึไงว่าต้องจับตาดูเจ้านั้นเป็นพิเศษและอย่าให้ใครเจอหน้ามันจนกว่าอัยการจะตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการ?!”

“โธ่..พี่! ผมจะทําอะไรได้ละ?” เจ้าหน้าที่ตํารวจตอบด้วยความหงุดหงิด “พี่ก็รู้ดีว่าจําเลยมีสิทธิพบทนายขณะคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณานะ!”

จี้เหว่ยจ้องคนพวกนั้นด้วยสีหน้าโกรธจัดโดยไม่มีท่าทีว่าจะสงบลง

“ผมเข้าใจว่ามันยากสําหรับพี่ แต่งานของเราก็ไม่ง่ายเหมือนกัน!” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าว “เขาเพิ่งมาได้ไม่ถึงวันก็มีสายโทรเข้ามาไม่หยุดเลยแม้แต่นาทีเดียว! รู้ไหม เมียผมได้กระเช้าเยี่ยมกลับบ้านไปแล้วตั้งสามอัน!”

พอรู้ว่าเจ้าหน้าที่พวกนี้เองก็ถูกกดดันอย่างมาก จู้เหว่ยจึงสูดหายใจเฮือกใหญ่เพื่อสงบสติลงก่อนถามต่อ “แล้วพวกนายมีวิดีโอบันทึกการพูดคุยของเขากับทนายไหม?”

“ไม่มีเลย”

“อะไรนะ? ทําไมล่ะ?!”

“มีเหตุผลหลายข้อเลยที่ผมอธิบายได้ อยากฟังเรื่องไหนก่อนละครับ?” เจ้าหน้าที่ตํารวจตอบอย่างช่วยไม่ได้

“บ้าเอ๊ย!” จี้เหว่ยสบถ “ช่างเถอะ! ด้วยหลักฐานที่เรามีอยู่แค่ทนายคนเดียวจะทําอะไรได้?!”

เช้าวันต่อมา

ตํารวจไทยกลุ่มของฉินอวี่เริ่มการสอบสวนหวู่เหย้าครั้งแรกอย่างเป็นทางการ

“ในคืนที่เกิดอาชญากรรม แกจะข่มขืนเวิ่งเหม่ยใช่…”

“ใครบอกว่าฉันจะข่มขืนเธอ?!” หวู่เหย้าแทรกทันทีก่อนจะหาวเสียงดัง “เราตกลงราคากันแล้ว ฉันจะให้เธอสองพันดอลลาร์และเธอก็เต็มใจเข้ามาในห้องเก็บของกับฉัน…”

“เหลวไหล! มีคนเห็นแกฉุดกระชากแกมบังคับให้เธอเข้าไปในห้องนั้น!”

“พวกนั้นเห็นฉันถอดเสื้อผ้าของเธอไหมล่ะ?” หวู่เหย้าตอบอย่างเย็นชา

ตํารวจไทยหมดหนทาง เขาจึงชี้หน้าหวู่เหย้าและขู่ “แกไม่รอดหรอก! เราพบเนื้อเยื่อผิวหนังของแกในเล็บของผู้ตาย…นั่นก็แสดงว่าแกต้องทําอะไรที่เธอไม่ยินยอมแน่ๆ!”

“พวกแกไม่เข้าใจเหตุการณ์ตอนนั้น” หวู่เหย้าให้การอย่างไม่สะทกสะท้าน “สิ่งที่ฉันพูดไปคือความจริง คืนนั้นฉันกําลังจะหยอกเธอเล่น จู่ๆ สามีเธอก็บุกเข้ามาเจอเรา เขาโกรธมากจนเข้าไปทําร้ายเธอ…ไอ้ฉันก็เป็นคนที่ทนเห็นผู้ชายทุบตีผู้หญิงไม่ได้จึงพยายามหยุดพวกเขาและยื้อยุดฉุดกระชากกัน ฟังนะ..ฉันแค่เป็นคนกลางในการทะเลาะกันของพวกเขา ฉันไม่ได้ทําร้ายพวกเขา ไม่ได้ทําอะไรเลย!”

“แล้วเรื่องลายนิ้วมือของนายบนขวดไวน์แตกล่ะ?! อธิบายมาสิ!” ตํารวจไทยตะโกนใส่เขาด้วยความโมโหหลังจากได้ยินคําแก้ต่างเหล่านั้น

“เหอะ!” หวู่เหย้าหัวเราะก่อนมองตาตํารวจไทยแล้วถามกลับไป “ขวดแก้วแบบนั้นมันก็มีไว้เก็บไวน์ไม่ใช่รึไง? มันแปลกนักเหรอที่ลูกค้าอย่างฉันจะดื่มไวน์…คนดื่มไวน์ก็ต้องมีลายนิ้วมือบนขวดไวน์สิจ๊ะ”

ตํารวจไทยนิ่งอึ้ง

“เวิ่งเหม่ยถูกสามีทุบตีหลายครั้ง ในความโกลาหลนั้นเธอจึงควบคุมตัวเองไม่ได้ ฉันเห็นกับตาว่าเธอคว้าขวดไวน์ไปฟาดหัวสามีตัวเอง…สามีก็เตะเสยหน้าของเธอด้วยความโกรธมันทําให้เธอแทงขวดไวน์แตกเข้าที่คอของอีกฝ่าย” หวู่เหย้าพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เธอทําฉันกลัวจนเกือบฉี่รดกางเกงเลย!”

“คําแก้ต่างแค่นี้คิดเหรอว่าแกจะรอดไปได้”

“ไว้เจอกันตอนบ่ายนะ” หวู่เหย้าพูดสวนไปทันที “ฉันเหนื่อย..ออกไปกันได้แล้ว ชุ่ว!”

ตอนบ่าย

กองบัญชาการตํารวจโทรมายังสํานักงานตํารวจนครบาลรัฐพื้นทมิฬให้ดําเนินการประกันตัวหวู่เหย้าออกไป

ตอนแรกสํานักงานตํารวจนครบาลรัฐพื้นทมิฬปฏิเสธคําขอโดยใช้ข้ออ้างว่าอัยการได้เข้ามาเกี่ยวข้องแล้วจึงยังประกันตัวไม่ได้

อีกชั่วโมงต่อมาอัยการก็แจ้งตํารวจนครบาลรัฐพื้นทมิฬเป็นการส่วนตัวว่าหวู่เหย้าเป็นสมาชิกสภาเขตเจียงหนาน ดังนั้นเขาจึงได้รับอนุญาตให้ประกันตัวก่อนการพิจารณาคดีของศาลแม้ว่าจะยังมีการจํากัดการเดินทางของเขาก็ตาม

ทันทีที่มีการจึงโทรไปหาฉินอวี่ทันที

ลุงตั้งที่คอยจับตาดูคดีนี้มาตลอดจึงเดินทางไปสํานักงานตํารวจนครบาลรัฐพื้นทมิฬด้วยสีหน้าโกรธและไม่เข้าใจปะปนกัน

สี่โมงเย็น

ฉินอวี่เดินหน้าซีดเซียวมากับนายตํารวจฝึกงานคนใหม่ที่พวกเขาต้องพากลับไปยังสํานักงานตํารวจนครบาลรัฐพื้นทมิฬ เขาเดินเข้าไปในห้องทํางานของผู้กํากับหลีด้วยความโกรธจัด

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Status: Ongoing

โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย…

‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง

ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม!

ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้…

ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท