Special District 9 ตอนที่ 167 สองพี่น้อง
ฉินอวี่นั่งครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ ลังเลว่าควรจะพูดข้อมูลอาเสี่ยวที่เขารู้มาดีหรือไม่เพื่อทีมจะได้มีมูลเหตุในการสืบสวน
ความจริงฉินอวี่รู้สึกขอบคุณอาเสี่ยวที่ช่วยกําจัดสัตว์ร้ายอย่างหวู่เหย้า เพราะถึงยังไงหวู่เหย้าก็เป็นตัวปัญหาในภูมิภาคเจียงโจวและเป็นบุคคลอันตราย เขาต้องเข้าไปพัวพันด้วยแม้ว่าทั้งสองไม่เคยพบกันแต่ไม่มีเหตุผลที่ต้องคิดแทนอีกฝ่าย
หลิวเป่าเฉินยืนมองฉินอวี่หน้ากระดานดําก่อนพูด “รองผู้บัญชาการหมวดฉิน นายก็ควรร่วมมือด้วย เราต้องการกําลังคนทั้งหมดเพื่อไขคดีนี้ ฉันหวังว่ากลุ่มสามจะมีความกระตือรือร้นมากขึ้นและปรับความเร็วให้เข้ากับหมวดนี้ได้นะ”
ฉินอวี่เมื่อได้ยินคําพูดจากหลิวเป่าเฉินว่ากลุ่มพวกเขาไร้ความสามารถทําให้ฉินอวี่รู้สึกรังเกียจอย่างมาก “ผู้บัญชาการหมวดหลิวผมไม่เข้าใจเรื่องที่คุณพูดเรื่องความสําเร็จผมว่าหน่วยสามไม่ได้ตามหลังหมวดสี่เลยนะ คุณไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”
หลิวเป่าเฉินจ้องฉินอวี่เขม็งก่อนออกคําสั่งอีกครั้ง “ฉันจะให้คนหน่วยสองส่งรายละเอียดคดีลักลอบขนปืนให้นายโดยเร็วที่สุด และหน่วยสามคงจะเสนอแนวทางการไขคดีระหว่างการประชุมของเราในวันพรุ่งนี้ได้นะ”
“ไม่มีปัญหาครับ” ฉินอวี่ตอบพลางพยักหน้า
“นี่คือทั้งหมดของวันนี้ เลิกประชุมได้”
หลังพูดจบหลิวเป่าเฉินก็หันหลังออกจากห้องประชุม
จี้เหว่ยเกาจมูกขณะหันไปพูดกับฉินอวี่ “มาดามหลิวนั้นชอบโยนขี้มาให้เราอยู่เรื่อยเลย คอยดูเถอะ! ถ้าเราไขคดีนี้ได้ มาดามมั่นคงจะเอาเครดิตทั้งหมดให้ตัวเอง แต่ถ้าล้มเหลวหน่วยสามนี่แหละที่จะต้องรับหน้า!”
“ทําในหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดและค่อยขัดขวางเมื่อเราพร้อมจะออกไปเท่านั้น” ฉินอวี่ตอบอย่างเด็ดขาด “คนแบบนั้นก็แค่ชวนเราทะเลาะเรื่องโง่ๆเท่านั้นแหละ อย่าลดตัวไปทะเลาะกับเขาเลย”
“งั้นเดี๋ยวผมจะไปเอาแฟ้มคดีจากหน่วยสองแล้วกัน” จู้เหว่ยพยักหน้า
“ให้ตายสิเกือบลืมไป!” ขณะฉินอวี่กําลังลุกขึ้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้
“มีอะไรเหรอหัวหน้า?” จู้เหว่ยถาม
“พอเกิดเรื่องลุงตั้งฉันลืมเด็กฝึกงานสองคนนั้นไปเลย!” ฉินอวี่อุทานขณะรีบเก็บของตาเหลือกลาน “ฝากนายจัดการเรื่องนี้ไปก่อนแล้วกัน ฉันจะไปเยี่ยมเด็กฝึกงานสองคนนั้นก่อน”
“ไม่มีปัญหา!”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เด็กหนุ่มสองคนอายุยี่สิบต้นๆ ในหอพักสํานักงานตํารวจกําลังคุยกันอยู่บนเตียง ทันใดนั้นประตูหอพักก็ถูกเปิดจากด้านนอก
ฉินอวี่เดินเข้ามาในชุดเครื่องแบบพร้อมเรียกหา “ติงกั๋วเซิน ฟูเสี่ยวห่าว!”
“ครับผม!”
“ครับผม!”
เด็กหนุ่มสองคนตะลึงครู่หนึ่งก่อนเด้งลุกขึ้นยืนพร้อมกัน อย่างกระฉับกระเฉงและยกมือท่าวันทยหัตถ์ “รองผู้บัญชาการหมวดฉิน!”
ฉินอวี่เป็นคนไปรับเด็กฝึกงานใหม่มาจากเฟิงเปย ดังนั้นพวกเขาทั้งสามคนจึงเคยพบกันแล้ว
“ฮ่าๆ ไม่ต้องเคร่งครัดกับฉันขนาดนั้นก็ได้” ฉินอวี่พูดพลางโบกมือ “ผ่อนคลายหน่อย”
ทั้งสองลดมือลง ฟูเสี่ยวห่าวผายมือไปที่เตียงของเขา “เชิญนั่งก่อนสิครับ รองผู้บัญชาการหมวดฉิน”
ฉินอวี่ก้มศีรษะลงเพื่อนั่งลงบนเตียงสองชั้นของฟูเสี่ยวห่าว “พวกนายทั้งสองคนก็นั่งด้วยสิ”
“ครับ”
ทั้งสองพยักหน้าก่อนจะนั่งตรงข้ามกับฉินอวี่ โดยหลังพวกเขาตั้งตรงอย่างสมบูรณ์แบบ
“เราไม่มีเวลาคุยกันบนรถไฟเลย” ฉินอวี่หยิบบุหรี่ไฟฟ้าออกมาสูบก่อนจะถามอย่างเป็นกันเอง “พวกนายมาจากที่ไหนกันบ้างล่ะ?”
“ผมมาจากเฟิงเปยครับ”ติงกั๋วเซินรูปร่างค่อนข้างอวบ ผิวขาวใสและมีใบหน้าโดดเด่น ไม่แปลกหากจะเดาว่าเป็นหนุ่มเรียบร้อย
“แล้วนายล่ะ?” ฉินอวี่หันไปถามฟูเสี่ยวห่าว
“ผม..ผมมาจากเขตชานเมืองของเฟิงเป่ย” ฟูเสี่ยวห่าวก้มหน้าก้มตาพูดเพราะอายกับภูมิหลังที่ต่ําต้อยของตน
ฉินอวี่สูดควันบุหรี่อีกครั้งก่อนถามด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร “นายสามารถเรียนโรงเรียนตํารวจได้ ฉันว่าครอบครัวนายทําได้ดีจริงๆ แล้วทําไมนายถึงเลือกเส้นทางอันตรายแบบนี้ล่ะ?”
“พ่อของผมบอกว่าการเป็นตํารวจนั้นชีวิตจะสบาย ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงินใช้” ติงกั๋วเซินพูดด้วยท่าที่โฉ่งฉ่าง “เพราะพวกเขายินดีจ่ายให้ผม จึงไม่มีเหตุผลใดที่ผมจะไม่เลือกเรียน”
ฟูเสี่ยวห่าวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปตอบฉินอวี่ “ส่วนของผมคิดง่ายๆ ที่อยากเป็นข้าราชการก็เพื่อจะมีโอกาสไต่เต้าสูงขึ้นไป”
“นายเป็นคนตรงไปตรงมาดีนะ ฮ่าๆๆ” ฉินอวี่รู้สึกประหลาดใจกับคําตอบของฟูเสี่ยวห่าวก่อนหัวเราะออกมา
“ไม่มีอะไรที่ผมต้องโกหก” ฟูเสี่ยวห่าวตอบขณะมือวางบนต้นขาของเขาอย่างเรียบร้อย เขาพูดต่อด้วยคําพูดตรงไปตรงมาแบบเดิม “เด็กพื้นเพยากจนอย่างพวกเราไม่มีเส้นทางที่ใครปูไว้ให้ เราจึงต้องสร้างทางของตัวเองไปข้างหน้าเท่านั้นแหละครับ”
“พูดมีเหตุผล” ฉินอวี่พยักหน้า “โอเค จากนี้ไปนายสองคนจะต้องติดตามฉันไว้ หน่วยของฉันไม่มีกฏเกณฑ์มากมายหากพวกนายต้องการอะไรก็เรียกฉันได้เสมอ”
“รบกวนด้วยนะครับรองผู้บัญชาการหมวดฉิน” ฟูเสี่ยวห่าวตอบด้วยน้ําเสียงที่สุภาพและให้เกียรติ
“แล้วเราจะเริ่มงานเมื่อไหร่ครับรองผู้บัญชาการหมวดฉิน” ติงกั๋วเซินถาม
ฉินอวี่ลุกขึ้นยืน “ตอนนี้เรามีคดีดูแลอยู่พอดี ไปใส่เครื่องแบบซะและไปถามหาคนชื่อรู้เหว่ยแถวพื้นที่ทํางานทั่วไป”
“ครับผม!”
“ครับผม!”
ทั้งสองพยักหน้า
“ไว้ค่อยหาเวลาไปกินข้าวร่วมกัน พวกนายจะได้ทําความรู้จักกับคนอื่น” ฉินอวี่กล่าวเสริมพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
เขาหันกลับและเดินออกจากห้อง แต่ทันใดนั้นเองก็สังเกตเห็นถ้วยสีชมพูที่คลุมด้วยขนมิ้งสีเหลืองวางอยู่บนเตียงของติงกั๋วเซิน
ติงกั๋วเซินเห็นสิ่งที่ฉินอวี่กําลังดูอยู่ใบหน้าของเขาจึงแด ง…ทันที
ฉินอวี่ตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอื้อมมือไปหยิบถ้วยใบนั้น “ถ้วยแปลกๆ ของนายนี้ไว้ใช้ทําอะไรกัน?”
“รองผู้บัญชาการหมวดฉิน วางลงเถอะครับ!” ติงกั๋วเซิน รีบคว้าสิ่งนั้นกลับ “คือ… นี่ไม่ใช่ถ้วยครับ”
“อ้าวเหรอ แล้วมันคืออะไร?” ฉินอวี่ถาม
“ฮ่าๆๆ!” ฟูเสี่ยวห่าวยืนดูอยู่ก็หัวเราะออกมา “นั่นคือเมียของเขาเองครับ สิ่งที่เขาใช้ตอนกลางคืนเพื่อระบายความใคร่นะ!”
ฉินอวี่พอฟังประโยคนั้นจบก็รีบเช็ดมือบนเสื้อของติงกั๋วเซิน พลางแสดงความคิดเห็น “รสนิยมน่าสนใจดี…นายชอบสีเหลืองเหรอ?”
ติงกั๋วเซินหน้าแดงก็ตอบอย่างสุภาพว่า “ใช่..ครับ”
“ยังจะมาใช่อะไรอีกล่ะ?!รีบเก็บเข้าที่ซะ!” ฉินอวี่พูดไม่ออก “ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมมาดามหลิวจ้องจับผิดทีมสามตลอด มีปัญหาจริงๆด้วย! นายต้องกําจัดพฤติกรรมแบบนี้ ออกไปนะ!”
“ฮ่าๆๆ!” ฟูเสี่ยวห่าวหัวเราะจนท้องแข็ง
เมืองซ่งเจียง
อาเสี่ยวที่เพิ่งอาบน้ําเสร็จเดินไปนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น
“มีเรื่องแล้วนะ” ชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดอย่างเกียจคร้าน
“เรื่องรูปของฉันเหรอ?” พี่เสี่ยวถามอย่างใจเย็น
“ใช่แล้ว” ชายร่างใหญ่ตอบ “มีแต่รูปนายทั้งนั้น”
อาเสี่ยวหยิบกล่องบุหรี่ขึ้นมาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูด “อยู่นี่ไม่ได้แล้ว เก็บของซะ เราต้องรีบไป”
“ได้เลย”
“ความจริงแล้วเราไม่ควรปล่อยให้หลู่เหย้าตายไปเฉยๆแบบนี้” อาเสี่ยวกล่าวขณะสูดควันบุหรี่ จากนั้นจึงหันไปสั่งเพื่อนร่วมทีม “แต่ตอนนี้พวกเราต้องหาที่กบดานกันก่อน ปล่อยให้พวกตํารวจทําคดีไป พอเรื่องทุกอย่างซาลงแล้ว เราค่อยเริ่มดําเนินการกันต่อ”
“เดี๋ยวฉันเข้าไปตรวจสอบให้เอง…” ชายร่างใหญ่เอนตัวเข้าไปกระซิบข้างหูอาเสี่ยว