Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 174 เหนี่ยวไกปืน
รถยนต์คันหนึ่งมาจอดข้างอาคารสองชั้นซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีทางเหนือของซ่งเจียงหวู่เวินเซิ่งเดินออกจากรถก่อนกันไปสั่ง “ไม่ต้องมาด้วยหรอก รอในรถนั้นแหละ”
“ได้ครับ” หลานชายของหวู่เวินเซิ่งตอบ
หวู่เวินเซิ่งจัดทรงเสื้อผ้าก่อนเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เขาเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้อง
เจ็ดนาทีต่อมา ภายในห้องชั้นสอง
ชายหัวโล้นวัยกลางคนในชุดนอนแคะจมูกพลางเอ่ยถาม “ชาไหม?”
“ไม่ล่ะ พอคุยเรื่องงานจบฉันก็ไปแล้ว” หวู่เวินเซิ่งกล่าวขณะนั่งลงบนโซฟา เขาเงยหน้ามองชายคนนั้น “ไม่สบายเรอะ?”
“โรคปอดบวมน่ะ แต่ไข้ก็ลดแล้ว” ชายวัยกลางคนตอบขณะไอเล็กน้อยเขานั่งตรงข้ามกับหวู่เวินเซิ่งก่อนถาม “แล้วงานศพเสร็จพิธีแล้วเหรอ?”
“อืม เสร็จเรียบร้อยแล้ว” หวู่เวินเซิ่งหยิบกล่องบุหรี่ออกมาเขาถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทุกวันนี้ทําไมนายถึงยังอยู่ในเขตพื้นทมิฬนี้อยู่ล่ะ?”
“เสียดายน่ะ มันคงจะเสียเปล่าถ้าปล่อยให้แฟลตนี้ว่างหลังซื้อมันมา ที่บ้านก็มีปัญหามากเกินฉันเลยขี้เกียจกลับไป” ชายวัยกลางคนตอบ
หวู่เวินเซิ่งสูดควันบุหรี่ก่อนจะตอบอย่างจริงจัง “เฒ่าเหยียน ตอนนี้เราเหลือสินค้าอยู่ในคลังเท่าไหร่?”
“มีไม่มาก” ชายวัยกลางคนตอบหลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เราน่าจะขายทีเดียวทั้งห้าอันเลย”
“ติดต่อพวกแผนกขายให้พยายามขายมันให้หมดโดยเร็วที่สุด” หวู่เวินเซิ่งสั่ง
เฒ่าเหยียนขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคําพูดเหล่านั้น “นายตั้งใจจะลงตลาดยาร่วมกับหยวนเค่อจริง ๆ เหรอ?”
“ไม่ใช่แค่นั้น” หวู่เวินเซิ่งตอบพร้อมกับถอนหายใจ “การตายของหวู่เหย้ามีบางอย่างที่ซับซ้อน เราสนิทกับหยวนเค่อเกินไป อาจทําให้คนในสํานักงานตํารวจสงสัย ตอนนี้เราไม่ควรทําตัวเด่นเกินไป”
“เฮอะ!” เฒ่าเหยียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งปล่อยให้หลู่เหย้าควบคุมธุรกิจปืน นายก็บอกไม่เป็นไรถ้ามีฉันคอยแนะนํา แต่ดูสิแค่ปีเดียวเขาก็ไม่ฟังใครสักคนเลย!”
“ฉันคิดว่าเรื่องนี้เกิดจากไอ้เด็กต้าจินถือวิสาสะติดต่อพวกค้าอาวุธเถื่อน และเอาชื่อบริษัทไปจัดจําหน่ายสินค้าพวกนั้นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว นี่เป็นพฤติกรรมที่ต้องได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง! แต่หวู่เหย้าดันเลือกที่จะช่วยมันจนเรื่องกลายเป็นแบบนี้ เฮ้อ…น่าเศร้าจริงๆ”
หวู่เวินเซิ่งมองเฒ่าเหยียนเป็นเวลานานก่อนพยักหน้าเห็นด้วย “อืม…นายพูดถูก ฉันให้ความสําคัญกับหลู่เหย้ามากเกินไป”
“จริงๆ ฉันไม่ควรพล่ามเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนที่เพิ่งเสียลูกชายไปอย่างนาย” เฒ่าเหยียนไอเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “แต่ยังไงนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ของระบบไม่ใช่แค่หวู่เหย้าเท่านั้น เมื่อรุ่งเรืองเรามักเย่อหยิ่งจนลืมระวังหลังตัวเองพอไม่มีหมากให้เดินศัตรูก็พร้อมจะแทงข้างหลังเราเสมอ”
“ฉันเข้าใจสิ่งที่นายจะสื่อ” หวู่เวินเซิ่งตอบ
เฒ่าเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจอีกครั้ง “ก็ไม่เลวนะถ้าจะลงตลาดยาด้วย เราโดดเด่นมากในการแข่งขัน หลายคนบอกว่าไม่มีเขตไหนสร้างรายได้มากเท่ากับเราในช่วงสองปีมีเพียงเราเท่านั้นที่ทํากําไรในเจียงหนานได้มากจริงๆ”
“ใช่แล้ว” หวู่เวินเซิ่งพูดขณะสูดควันบุหรี่เข้าไป “พอจับฆาตกรพวกนั้นได้ ฉันจะไปตกลงกับหยวนเค่อนายเองก็จัดระเบียบบริษัทใหม่และเตรียมพร้อมสําหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตซะ”
“ได้เลย”
“พักผ่อนให้เพียงพอ ฉันไปก่อน” หวู่เวินเซิ่งทิ้งบุหรี่ไว้และลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวฉันออกไปส่ง”
“ไม่เป็นไร ข้างนอกมันหนาว นายอยู่ในนี้แหละ” หวู่เวินเซิ่งโบกมือก่อนเดินไปที่ประตู
เฒ่าเหยียนยืนข้างโซฟาตะโกนถามทันที “ซางเฉียวคนของสภานิติบัญญัติ กําลังจะจัดงานวันเกิดในเดือนนี้ นายว่าเราควรส่งไปเท่าไหร่ดี?”
หวู่เวินเซิ่งอึ้ง “เขาบอกนายเองเลยเหรอ?”
“ใช่” เฒ่าเหยียนตอบ
“งั้นก็สองแสนละกัน” หวู่เวินเซิ่งคิดหนักก่อนจะตอบ “ซางเฉียวขัดขวางถนนการค้าที่ฉันเสนอให้รัฐเจียงหนานก่อนหน้านี้ แต่พอเขาบอกกับนายเป็นการส่วนตัวเรื่องวันเกิด ฉันว่า…”
“โอเค เดี๋ยวฉันจัดการให้”
“อย่าลืมจดไว้ในสมุดบัญชีล่ะ” หวู่เวินเซิ่งสั่ง
“เข้าใจแล้ว”
“โอเค งั้นฉันไปแล้วนะ” หวู่เวินเซิ่งพูดก่อนจะเดินลงบันไดไป
สิบห้านาทีต่อมา บนถนน
หวู่เวินเซิ่งนั่งเท้าคางอยู่ในรถ เขากําลังครุ่นคิดเรื่องบริษัท
หลานชายชําเลืองมองเขาผ่านกระจกมองหลัง “คุณลุง ทําไมดูเครียดจังครับ?”
“เฮ้อ” หวู่เวินเซิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฒ่าเหยียนเหมือนจะมีมุมมองบางอย่างเกี่ยวกับบริษัทเรา”
หลานชายชําเลืองมองเขาผ่านกระจกมองหลังอย่างสงสัย
“หลายปีมานี้หว้เหย้าได้ลงทุนกับบางอย่าง และฉันก็มั่วแต่วุ่นอยู่กับเรื่องตําแหน่งทางการเมือง ก็เลยละเลยความรู้สึกของเฒ่าเหยียน” หวู่เวินเซิ่งพูดอย่างเด็ดขาด “ฉันว่าอีกไม่ถึงปีเฒ่าเหยียนจะถอนหุ้นกับเราเพื่อไปทําธุรกิจเอง”
“เขาจะกล้าเหรอ?” หลานชายปฏิเสธทันที “เขาจะเป็นเศรษฐีเหยียนได้ยังไงถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเรา? เขาก็แค่จะออกไปเพราะบริษัทเราประสบปัญหาเท่านั้น!”
หลังจากได้ยินคําพูดเหล่านั้นหวู่เวินเซิ่งมองหลานชายด้วยสายตาผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
บนชั้นสองของแฟลต
เฒ่าเหยียนกลับไปที่ห้องนอนของเขาและกดโทรออก
“สวัสดีครับพี่เหยียน”
“โทรหามือปืนข้างนอก บอกพวกเขาว่าฉันมีสินค้าที่จะขายให้โดยด่วน” เฒ่าเหยียนสังอย่างเฉยเมย “ลดสามสิบเปอร์เซ็น ถ้าพวกเขาเขาสนใจก็ให้เข้ามาในเมืองในอีกสองวันเพื่อรับสินค้า
“เข้าใจแล้ว”
“โอนเงินสองแสนจากบัญชีธนาคารมาให้ฉันด้วย ฉันต้องใช้มันโดยด่วน
“ให้ผมเขียนบันทึกว่ายังไงดีครับ?”
“ใบหนึ่งเขียนเป็นธุรกรรมปลอม และอีกใบหนึ่งเป็นเงินทุน” เฒ่าหยางตอบ
“ได้ครับ”
“แค่นี้นะ” เฒ่าเหยียนวางสาย
เขาถอดเสื้อผ้าก่อนเดินเข้าไปอาบน้ำโดยเร็วหมายจะงีบหลับในตอนบ่าย
ชั้นแรกของตึก
คนขับรถของเฒ่าเหยียนกําลังนั่งดูสตรีมเมอร์สาวอย่างใจจดจ่อบนโซฟา
“พลั่ก!”
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก ชายสวมหน้ากากซุนหงอคงเดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนอีกสี่คน
คนขับรถมองพวกเขาด้วยความตื่นตระหนก “นะ…นี่พวกนาย ”
ชายสวมหน้ากากยกปืนพกเก็บเสียงขึ้นและหันปลายกระบอกไปที่ศีรษะของคนขับรถ
“ดะ…เดี๋ยวก่อน พวกแกเป็นคะ”
“กึก!”
ยังไม่ทันได้พูดจบชายสวมหน้ากากก็เหนี่ยวไกเสียแล้ว
เลือดกระเซ็นติดผนัง คนขับเอนหลังพิงโซฟาทั้งที่ดวงตายังเบิกโพลงอย่างนั้น
ในห้องน้ำชั้นสอง เฒ่าเหยียนได้ยินเสียงบางอย่างจากชั้นล่าง แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงตะโกนเสียงดัง “เห้ย! ชั้นล่างเอะอะโวยวายอะไรกัน?!”
ชายสวมหน้ากากที่ได้ยินเสียงรีบโบกมือไปที่บันไดอย่างรวดเร็ว “ไปชั้นสอง!”
หลายนาทีต่อมา
เฒ่าเหยียนร้องด้วยความตื่นตระหนก “พวกแกมาทําไม? จะเอาเงินเหรอ? ฉันมีเงินนะ งะเงินสองหมื่นอยู่ในลิ้นชักใจเย็นค่อยๆ คุยกัน…”
“ปัง! ปัง!”
เสียงปืนดังขึ้นสองนัดเพราะคราวนี้คนเหล่านั้นไม่ได้ใช้ปืนเก็บเสียง