Special District 9 ตอนที่ 182 ภายนอกแข็งแกร่งแต่ภายในกลับสั่นไหว
กลางดึกภายในโรงพยาบาลสังกัดสํานักงานตํารวจ
ฉินอวี่เพิ่งจัดการกับแผลซี่โครงในคลินิกจี้เหว่ยก็รีบเข้ามาหา
“หัวหน้า เป็นไงบ้างครับ?” จี้เหว่ยมาถึงหน้าประตูก็โพล่งถามทันที
“อ๋อ…ไม่มีอะไรร้ายแรงก็แค่รอยถลอกไม่ได้เย็บอะไร”หมอที่คุ้นเคยกับทุกคนดีพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ยังไงก็ห้ามโดนน้ําและอย่าหักโหมล่ะ”
“อ๋อครับ ขอบคุณนะหมอ”ฉินอวี่ตอบอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไร
“ออกไปคุยกันเถอะ” ฉินอวี่ลุกขึ้นขณะชวนทุกคน
หลังจากนั้นสิบนาที
หลินเหนียนเลยและเสี่ยวมีนั่งรอที่ม้านั่งทางเดินขณะฉินอวีและตู้เหว่ยกําลังเดินลงบันไดมาและคุยกันไปด้วย
“พอเราไปถึง ไอ้คนฝั่งตรงข้ามก็วิ่งหนีไปทันทีที่เอ็มอยู่ห่างกับผมไม่กี่ก้าวและผมก็วิ่งไปดักพวกนั้นได้ทัน” รู้เหว่ยพูดด้วยความหงุดหงิน “พวกมันมีเยอะเกินไป”
ฉินอวี่ถูคราบเลือดแห้งบนฝ่ามือแล้วถาม “แล้วทั้งคู่ล่ะ?”
“คนหนึ่งถูกแทงเจ็ดแปดแผล อีกคนถูกยิงซ้ํา” จี้เหว่ยตอบ
“ศพล่ะอยู่ที่ไหน?”
“ผมส่งไปห้องเก็บศพของสถานีตํารวจ” จี้เหว่ยถอนหายใจ “ให้ตายเถอะอีกนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น!ถ้าผมไปเร็วกว่านี้คงจะรอดกันบ้าง สองคนนั้นเป็นตัวเชื่อมโยงหลักฐานที่สําคัญมากในการสู้กับตระกูลหญ่”
ฉินอวี่เงยหน้าพูด “ตอนนี้เฒ่าหวี่คงคิดแล้วล่ะว่าที่ลูกชายถูกฆ่าอาจมีเหตุผลซับซ้อนกว่านั้น”
“เราจะโดนเพ่งเล็งด้วยเหรอ?” จี้เหว่ยถาม
“อืม เรื่องนี้ต้องมีคนใหญ่คนโตอยู่เบื้องหลังแน่” ฉินอวี่หันไปกระซิบ “สื่อเองก็ถูกแทรกแซงด้ว เหนียนเลยที่ได้รับผิดชอบทํารายงานคดีนี้ก็เพิ่งได้กลับบ้านหลังจากถูกข่มขู่”
“ใครมันอยากเล่นงานตระกูลหญ่ถึงขั้นจะใช้สื่อโจมตีเลยเนี่ย?” จี้เหว่ยงงงวย
“ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังและพยายามบงการคดีนี้” ฉินอวีพูดขณะคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อย่าห่วงเลยในเมื่อมีคนที่จ้องเล่นงานหรูเวินเซิงเราก็แค่จับตาดูสถาน การณ์อยู่ห่างๆ ก็พอ”
“แล้วสองศพนี้ล่ะครับ จะเขียนรายงานว่ายังไงดี?”
“เขียนตามปกติเลย” ฉินอวีกระซิบ “รายงานตามเบาะแสแต่ขั้นตอนสุดท้ายระบุว่าถูกฆ่าปิดปาก”
“โอเค ได้เลย” จี้เหว่ยพยักหน้า
“ไปเถอะ ฉันไปก่อนนะ” ฉินอวีดึงประตูเปิดออกและเดินออกจากบันได
บนม้านั่งหลินเหนียนเลยทําความสะอาดคราบเลือดตามใบหน้าและผมในห้องน้ํามาแล้ว เธอดูตื่นตระหนกและกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มาก
“ผมมาช้าไปไหม?” ฉินอวี่ถาม
หลินเหนียนเลยลุกขึ้นและถามกลับไปทันที “นายเป็นไงบ้าง?”
“โชคดีหน่อยได้แผลถลอกเลยไม่ได้เย็บอะไร” ฉินอวีเหลือบมองนาฬิกา“ถ้าเธอไม่เป็นไรฉันจะกลับไปก่อนนะมีบางอย่างต้องไปจัดการที่สํานักงานตํารวจ”
“อืม” หลินเหนียนเลยพยักหน้า
“กลับไปอาบน้ําอุ่นๆ จิบไวน์สักหน่อยและนอนหลับให้สบายนะเดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง” ฉินอวี่มองอีกฝ่ายที่ท่าทางอ่อนล้าเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบา“เรื่องคืนนี้ก็ไปบอกหัวห น้าเธอด้วยสิเขาต้องช่วยดันเธอให้เลื่อนขั้นง่ายๆ เลยใช่ไหม?”
หลินเหนียนเลยตื่นตัวขึ้นมา “เข้าใจแล้ว”
“ถ้าเข้าใจแล้ว ฉันก็ไปก่อนนะ” ฉินอวี่ทิ้งคําพูดแล้วหันหลังกลับไป
หลินเหนียนเลยมองอีกฝ่ายเดินออกไปครู่หนึ่งก่อนตะโกน “เสี่ยวอ!”
“หม?”
“ขอบคุณนะ!” หลินเหนียนเล่นพูดอย่างจริงจัง
“ที่ผ่านมาฉันอาจจะทําเป็นเล่น” ฉินอวี่ยิ้มและขยิบตาขวาใส่หลินเหนียนเลย “แต่ฉันก็อยากขอบใจเธอจริงๆนะที่กลายมาเป็นเรื่องจริงของฉัน”
หลินเหนียนเล่ยประหลาดใจ ขณะมองฉินอวีและตู้เหว่ยเดินไปที่ลิฟต์
“เขาพยายามจะหาเรื่องนอนกับเธอแน่ๆ” เสี่ยวมีกระซิบอย่างจริงจังจากด้านหลัง
หลินเหนียนเลยหันไปมองเธอด้วยสีหน้าเอือมระอา “เธอนี้หมกมุ่นกับเรื่องพรรค์นี้ทุกวันได้ยังไงนะ?”
ชั้นบนสุดของคฤหาสน์เริงรมย์
หยวนเค่อยืนครุ่นคิดขณะทอดสายตาไปยังวิวล่างหน้าต่างในตอนกลางคืน
หลังจากเรื่องที่เหยียนคังถูกฆ่าอย่างกะทันหันเขาจึงคิดหนักว่าจะต้องมีผู้มีอํานาจในฮ่งเจียงคอยหนุนหลังคนเหล่านั้นเพื่อต้องการโค่นล้มหรูเวินเซิงแน่ๆ ดังนั้นหากพวก เขายังอยู่ด้วยกันก็หมายความว่าอาจต้องเผชิญหน้ากับพวกนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เพื่อเปิดฉากการกระจายสินค้าในเจียงหนานให้ดําเนินไปอย่างราบรื่น แต่ถ้าต้องถอยห่างจากหวูเวินเซิงนั่นจะ คุ้มหรือเปล่า?
หยวนเค่อลังเลอย่างมาก เพราะเขาต้องการบรรลุผลสําเร็จอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างความหน้าเชื่อถือในหมู่บรรดาพ นักงานของบริษัทของเขาและอีกด้านหนึ่งเขากลัวว่าหรู่เป็นเพิ่งจะลากเขาให้ตกกระไดพลอยโจนไปด้วย
เมื่อต้องเสี่ยงในช่วงสําคัญแบบนี้ทําให้เขาหวนนึกถึงพี่ชายที่ล่วงลับไปจึงเกิดความรู้สึกเศร้าหมองในใจเล็กน้อย
หยวนหัวอาจไม่ใช่ผู้นําที่ดีที่สุด แต่เวลามีเขาอยู่ด้วยหยวนเค่อไม่เคยรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ ไม่ว่าพายุจะใหญ่เพียงไหนพวกเขาก็จะช่วยกันฝ่าไปได้
แม้จะรู้สึกว่าพี่ชายจะหัวโบราณและดื้อดึงเกินไปแต่พอไม่มีเขาอยู่หยวนเค่อก็ตระหนักว่าเขาอาจคิดผิดเพราะหยวนหัวมักจะมองทางออกอีกด้านได้เสมอ
หยวนเค่อถอนหายใจและหันกลับมามองรูปของเขาที่ถ่ายคู่กับพี่ชายบนโต๊ะยิ่งทําให้รู้สึกบีบรัดหัวใจดวงตาเริ่มแดงกํา
“ก๊อก ก๊อก!”
ขณะที่ดูรูปถ่ายอยู่นั้นเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“เข้ามา!”
หยวนเค่อก้มหน้าเช็ดน้ําตาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งจึงเปลี่ยนสีหน้าทันที
เสี่ยวจิ๋วผลักประตูเข้าไปและส่งยิ้มกว้าง “เสร็จแล้ว”
“ลําบากหน่อยสินะ พี่เก้า” หยวนเค่อตบไหล่ของเสี่ยวจิ๋ว
“เจ้านาย ไม่ต้องสุภาพกับรุ่นพี่นักหรอก”เสี่ยวจิ๋วตอบด้วยการเล่นสํานวน
“ไม่ใช่รุ่นพี่หรอกแต่สุภาพกับพี่คนที่เก้าของฉันต่างหาก” หยวนเค่อตอบอย่างมั่นคง
เสี่ยวจิ๋วยิ้มและก้าวไปกดน้ําเพื่อดื่มหนึ่งแก้ว “จะไปเจอหวูเวินเซิ่งแล้วใช่ไหม?”
“ฉันกําลังจะไปแล้ว แต่หลิวเปาเฉินโทรมาบอกว่ามีเรื่องสําคัญจะพูดด้วยก็เลยรอเขาที่นี่” หยวนเค่อตอบขณะนั่งบนโซฟา
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
“เข้ามา” หยวนเค่อตะโกนอีกครั้ง
หลิวเปาเฉินก็ผลักประตูเข้ามาทันทีพร้อมกับยิ้ม “เสี่ยวจิ๋วล่ะ?”
“ฉันอยู่นี่” เสี่ยวจิ๋วพยักหน้าให้หลิวเปาเฉินขณะถือแก้วน้ํา
“มีเรื่องอะไรด่วนเหรอ?” หยวนเค่อถาม
หลิวเปาเนินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนก้มลงนั่งตรงข้ามกับหยวนเค่อ “ตอนนี้อะไรสําคัญที่สุด?”
“ยังจะถามอีกเหรอ?” เสี่ยวจิ๋วตอบแทรก “ไม่เป็นไรฉันเฉจอเล่ยจื่อแล้วพอรู้มาบ้างว่าใครอยู่เบื้องหลังการเคลื่อน ไหว”
หลิวเปาเฉินยิ้มทันทีเมื่อได้ยิน “หยวนเค่อผมอาจจะไปพบเล่ยจือในอีกไม่กี่วันนี้”
หยวนเค่อถึงกับตะลึงนิ่งไป