พวกคนที่ฉินอวี่คุมอยู่แต่ละคนต่างโหดเหี้ยมกันทั้งนั้น อีกอย่างหัวโจกอย่างหม่าเหลาเอ๋อกับฉีหลินก็เป็นคนที่ร่วมเป็นร่วมตายมากับแมวเฒ่าด้วย ไม่ถึงแม้แต่นาทีเดียวตํารวจดวงซวยทั้งสามนายกถูกกระทืบจนเกือบตายหมดแล้ว ถ้านอนอยู่กับพื้นแล้วไม่เกิดอาการชักกระตุกก็ช็อกไปเลย
แข้งขาของฉินอวี่ไม่ค่อยแข็งแรงจึงไม่มีวิธีที่จะเอาคืนหัวหน้าตํารวจได้ ทําได้แค่ถือท่อเหล็กเอาไว้แล้วฟาดไปที่กบาลของอีกฝ่าย
หัวหน้าตํารวจที่บนหัวโชกไปด้วยเลือดนอนกลิ้งอยู่บนพื้นหิมะ ขณะที่กําลังจะลุกขึ้นมาก็ถูกคนเตะให้ล้มลงทันที สภาพสะบักสะบอมเหมือนหมาป่าที่ถูกล่าตัวหนึ่ง
“พวกแก….พวกแกทําแบบนี้เพราะคิดจะทุจริตใช่ไหม? ฉันต้องฟ้องเรื่องของพวกแกให้ถึงหูผู้กํากับการของชางจีแน่นอน!” หัวหน้าตํารวจเอามือกุมหัวแล้วตะโกนโวยวายอยู่ตรงนั้น ฉินอวี่ออกแรงตีจนเหงื่อไหลท่วมไปทั้งตัว เขาก้มลงไปและใช้เท้าแหยไปที่ตัวของหัวหน้าตํารวจแล้วพูดว่า “ส่งมันกลับไปที่ซ่งเจียงเดี๋ยวนี้!”
“แม่งเอ๊ย ฆ่ามันให้ตายไปก็สิ้นเรื่อง” ในใจของจู้เหว่ยเกิดความเคียดที่ยากจะอธิบาย เขายกขาขึ้นแล้วเตะไปที่หัวของหัวหน้าตํารวจสองสามที่
“จับตัวไปเลยดีไหม” ฉีหลินเดินมาเกาะไหล่พลางกระซิบข้างหูฉินอวี่ “แบบนี้จะทําให้ผู้กํากับหลี่ทํางานได้ยากหรือเปล่า?”
“ไม่หรอก จับตัวมันไป” ฉินอวี่ตอบกลับไปอย่างแน่วแน่ก่อนชี้นิ้วไปที่หน้าของหัวหน้าตํารวจแล้วด่าทอว่า “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่งไม่ว่าจะแมวเฒ่าหรือเสี่ยวไท่ กูจะให้ถึงตายห่าอยู่ในซ่งเจียงแน่!”
“จับตัวไป” หม่าเหลาเอ๋อโบกมือส่งสัญญาณให้กับลูกน้องที่อยู่ข้างหลังไปหนึ่งที่
ผ่านไปยี่สิบนาที
ฉินอวี่กลับมาถึงทางเดินของโรงพยาบาล ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของผู้กํากับหลี่ดังขึ้นพอดี
“ฮัลโหลครับ?” ผู้กํากับหลี่รับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
“ผู้กํากับหลี่ครับ ผมคือหวังจ๋อตง เป็นผู้กํากับการของสํานักงานตํารวจเขตอันผิง ผมอยากจะถามสักหน่อยว่าทําไมพวกคุณถึงต้องใส่ความเท็จกับ…”
“แกแสดงละครกับฉันให้มันน้อยๆหน่อย!” ผู้กํากับหลี่ตัดบทแล้วพูดอย่างโกรธแค้นว่า “พวกเราจับตัวผู้ต้องสงสัยอย่างหวังปิงได้ เธอได้ให้การสารภาพว่าหัวหน้าของพวกนายรับเงินใต้โต๊ะและสมรู้ร่วมคิดกับพวกมันเพื่อหลอกล่อให้ผู้กํากับหลไปทําคดีที่ไท่จวง”
พอฝ่ายตรงข้ามได้ยินคําพูดนี้แล้วก็อึ้งนิ่งไปทันที
“ใส่ความเท็จหรอ?! งั้นพรุ่งนี้ก็รอให้สารวัตรตํารวจมาหาคุณ แล้วคุณก็ค่อยไปสาธยายเรื่องไม่มีแก่นสารกับพวกเขาก็แล้วกัน”
“ในเมื่อเขาเป็นผู้ต้องสงสัยยังไงก็ต้องให้เราเป็นฝ่ายสอบปากคําสิ พวกนายมีสิทธ์อะไรมาจับคนไป?”
“แกใช้สมองคิดก่อนจะพูดกับฉันหน่อยนะ คดีของหวังชิงกับหวู่เหวินเพิ่งเกิดขึ้นในเมืองซ่งเจียง แล้วหัวหน้าตํารวจคนนี้ก็ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวด้วย นั่นก็แสดงว่าเขาก็คือผู้สมรู้ร่วมคิด ฉันก็ต้องมีสิทธิ์ที่จะเอาตัวของเขากลับไปพิจารณาคดีที่ซ่งเจียงอยู่แล้ว แล้วฉันก็สงสัยด้วยว่าหัวหน้าตํารวจคนนี้อาจจะเป็นแค่ตัวละครประกอบ ดัง นั้นฉันจะเจาะลึกคดีนี้ให้ถึงที่สุด” ผู้กํากับหลี่ตะโกนพูดอย่างเด็ดขาด “ถ้ามีอะไรไม่พอใจก็ไปฟ้องร้องที่สถานีตํารวจซะ ฉันไม่อยากจะเสวนากับคนอย่างพวกแก”
พอพูดจบ ผู้กํากับหลีก็ตัดสายโทรศัพท์ทิ้งทันที
พอทุกคนในทางเดินเห็นอารมณ์ที่โมโหและไม่ปกติของผู้กํากับหลี่แล้ว ก็แทบจะไม่มีใครกล้าหายใจแรงๆ เลยทีเดียว
ค่ำคืนที่ยาวนานผ่านพ้นไป
เวลาเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ผู้กํากับหลี่และเฉินอวี่ที่ยังไม่นอนกําลังจะเดินทางไปสอบถามอาการกับทหารจ่า แล้วประตูห้องพยาบาลก็ถูกเปิดออกพอดี
“สะ….สวัสดีครับหมอ อาการของหลี่ฟูกุ้ยเป็นยังไงบ้างครับ” ผู้กํากับหลี่รีบพุ่งเข้าไปถามทันที
“คนไข้รอดชีวิตและพ้นขีดอันตรายแล้วครับ” คุณหมอพูดเสียงเบา
พอหลี่ซีได้ยินแบบนี้ ทันใดนั้นจึงมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนหน้าทันที “ดี! ดี! เป็นแบบนั้นก็ดี”
เพิ่งจะพูดจบไป ก็มีพยาบาลวิ่งขึ้นมาจากข้างล่างแล้วตะโกนเสียงดังว่า “
คุณหมอกัวคะ การฝ่าตัดอีกเคสนึงก็เสร็จสิ้นแล้วค่ะ”
“อาการเป็นยังไงบ้าง?” แพทย์ทหารถามกลับไป
“ไม่ค่อยดีค่ะ ท้ายทอยของคนไข้ชื่อเสี่ยวไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและมีเลือดออกจากหูข้างขวาจํานวนมาก…ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวค่ะ” พยาบาลรายงานด้วยเสียงเบาว่า “รองศาสตราจารย์ด้านกายภาพบําบัดได้วินิจฉัยเบื้องต้นว่าถึงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่เขาอาจเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตสมอง ระดับการฟื้นในอนาคตเมื่อเทีย บกับคนปกติแล้ว อยู่ที่ประมาณหกสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
“หมายความว่ายังไง?” พอจู้เหว่ยได้ยินก็เดินเข้ามา “อะไรคือหกสิบเปอร์เซ็นต์? เขาต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราเหรอ?”
“มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเจ้าชายนิทราครับ” หมอทหารส่ายหน้าแล้วพูดอธิบายว่า “การฟื้นตัวได้หกสิบเปอร์เซ็นต์ สามารถบอกได้ว่าอาจจะมีผลกระทบกับทักษะด้านการพูดและการได้ยิน แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการสันนิษฐานเบื้องต้นเท่านั้น ยังต้องฝ้าระวังสังเกตการณ์การฟื้นตัวอีกที่นึงครับ”
จู้เหว่ยได้แล้วยินก็นิ่งไป “ถ้า…ถ้างั้นก็เท่ากับว่าเขาเป็นคนพิการไปแล้วหรอครับ?”
แล้วทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไร
“หมอครับ ยังพอมีวิธีบ้างไหม? ช่วยรักษาเด็กคนนี้หน่อยเถอะ!” เฒ่ากลี่รีบหันกลับไปพูดว่า “อย่างน้อยหมอก็ช่วยส่งตัวไปโรงพยาบาลที่ดีๆ ให้หน่อยก็ได้ใช้ชื่อของผมกับผู้กํากับได้เลย!”
“รองศาสตราจารย์แพทย์ของเราก็มีความสามารถมากเช่นกัน เขาเป็นหมอเฉพาะทางด้านสมองอีกด้วย ในเมื่อเขาวินิจฉัยโอกาสออกมาแบบนี้แล้ว ผมว่า…การย้ายโรงพยาบาลก็ไม่ได้ช่วยอะไร” หมอทหารตอบกลับอย่างหดหู่ “โรงพยาบาลค่ายทหารชางจีของเราถูกจัดให้อยู่สามอันดับแรกของเขตพิเศษที่เก้าด้วยเช่นกัน”
ผู้กํากับหลี่แสดงท่าทางที่หมดปัญญา จึงหันหน้าไปพูดกับฉินอวี่ว่า “นายไปพักผ่อนเถอะ ขาดเหลืออะไรก็บอกฉันได้”
ในใจของฉินอวี่รู้สึกอึดอัดไม่น้อย เพราะตั้งแต่ที่เขาเข้ามาเป็นผู้กํากับคนที่ช่วยเหลืองานเขามากที่สุดทั้งสามคนก็คือเสี่ยวไท่ จู้เหว่ย และกวานฉี ชีวิตของทุกคนเพิ่งจะไปได้ดีได้ไม่ทันเท่าไหร่ คนหนึ่งกลับเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งก็มีอาการสาหัสทางสมอง
ฉินอวี่อยากจะปกป้องเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขามา แต่ความสามารถของเขาในตอนนี้ยังอ่อนแอมาก อย่าว่าแต่ไปปกป้องชีวิตคนอื่นเลย แม้แต่เรื่องความปลอดภัยของชีวิตตัวเองยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เจ้าหน้าที่ตํารวจ โจร อันธพาล และพวกที่ใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนน ความจริงแล้วนอกจากสถานภาพที่ต่างกัน พวกเขาล้วนมีเส้นทางเดินทางเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดไร้ซึ่งความปลอดภัย อยู่ในเส้นทางที่อันตรายถึงชีวิต บางทีถ้าพวกเขาเผลอตัวไปก็อาจเสียชีวิตไปได้ทันที แม้ว่าแมวเฒ่าจะมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งในบางพื้นที่ แต่ก็เกือบจะปลิดชีพตัวเองทิ้งไปแล้ว
ใกล้เที่ยง ภายในห้องทํางานของเฒ่าเปยซึ่งตั้งอยู่บริเวณชานเมืองซ่งเจียง
ชายชราผมขาวสวมเสื้อผ้าหลวมโพรกและแว่นสายตานั่งจ้องจอแท็บเล็ตในมือนิ่งเงียบ
บนโซฟาฝั่งตรงข้าม หยวนเค่อค้อมศีรษะลงขณะดันถ้วยน้ำชาไปตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง “เฒ่าเปย ชาพร้อมแล้ว”
ชายชรายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบพลางพูด “หวังปิงรู้มากเกินไป”
“แต่เธอถูกจับ คงเคลื่อนไหวไม่ได้ไปพักใหญ่” หยวนเค่อตอบทันควัน
เฒ่าไปเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ปีนี้นายอายุสามสิบแล้วหรือยัง?”
“ยังอีกหลายปีครับ” หยวนเค่อตอบหลังจากตกตะลึงกับคําถามนั้นไปครู่หนึ่ง
“ฉันคิดว่านายแข็งแกร่งยิ่งกว่าหรู่เวิ่นเพิ่งและเฒ่าหยวนสมัยยังหนุ่มๆ เสียอีก” เฒ่าเปยแสดงความคิดเห็นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ตอนที่สองคนนั้นอายุเท่านาย พวกเขายังไม่มีเป้าหมายหรืออะไรเป็นชิ้นเป็นอันด้วยซ้ำ”
“คุณชมผมเกินไปแล้วล่ะ” หยวนเค่อยกหม้อชงชาขึ้น
“หวังปิงรู้จักคนมาก เรื่องยังต้องวุ่นวายกว่านี้อีกแน่นอน” จากนั้นชายชราจึงสั่งกับหยวนเค่อว่า “ในเมื่อเธอถูกจับแล้วจะตายก่อนทําการสืบสวนไม่ได้ นายลองคิดหาวิธีดูหน่อยกัน”
“ผมจะพยายาม” หยวนเค่อพยักหน้าตอบ
“เอ่อ จริงด้วย… แล้วไอ้หลานชายของหวู่เวินเซิ่งนั่นล่ะ?” เฒ่าเปยตั้งคําถามอีกครั้ง
หยวนเค่อนิ่งไปก่อนตอบว่า “ผมเข้าใจความหมายของคุณแล้ว”
“อืม” อีกฝ่ายพยักหน้า “นายไปเถอะ ฉันจะนอนกลางวันสักหน่อย”
บริเวณหมู่บ้านไท่จวงในชางจี
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีบาดแผลเต็มตัวเดินโซซัดโซเซเข้าไปในบ้านของชาวบ้านด้วยสภาพสะบักสะบอมพลางตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ “มีใครอยู่ไหม?…ช่วย…ช่วยเอาน้ำให้ผมดื่มหน่อย ผมขอร้องพวกคุณล่ะ”
พอสิ้นเสียงก็มีชายชราและเด็กหนุ่มสองคนเดินออกมาจากบ้าน
ชายหนุ่มดีใจสุดขีดขณะรีบเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือทันที “คุณตาครับ เจ้าหนู…ช่วยเอาน้ำให้ฉันดื่มหน่อย ฉะ…. ฉันขอร้องล่ะ”
เด็กหนุ่มและชายชราหะนมองหน้ากัน ฉับพลันสายตาก็จ้องมองไปที่นาฬิกาของชายแปลกหน้าผู้นี้ทันทีด้วยความโลภ รวมถึงแหวนที่สวมอยู่ที่มือข้างซ้ายของเขาด้วย
ชายหนุ่มรู้สึกว่าสายตาของสองคนนี้ไม่ชอบมาพากลจึงรีบถอยหลังไปทันที
ผ่านไปสามสิบนาที
บนตัวของเขาเหลือแค่กางเกงบางๆ ตัวเดียว ไม่มีเสื้อ ซ้ำร้ายยังต้องเดินเท้าเปล่าอยู่บนพื้นหิมะ
ไม่นานนักเขาก็หนาวจนผิวหนังซีดไปหมดทั้งตัว พอร่างกายทานทนไม่ไหวก็ล้มตึงลงไปหมอบราบกับพื้นทันที เขาพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลําบากขณะพูดตัดพ้อเสียงสั่นเครือ “นะ.. ในโลกนี้ยะ…ยังมีคนดีหลงเหลืออยู่อีกไหม?”