Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 239 ไร้แรงกระตุ้น
ตอนที่ 239 ไร้แรงกระตุ้น
สถานีโทรทัศน์ออนไลน์ ในแผนกข่าวด้านกฎหมาย
จ่าวเปาโบกมือให้กับทุกคนแล้วจึงเริ่มพูดบรรยายแบบไม่มีสคริปต์นานเกือบครึ่งชั่วโมง สืบเนื่องตั้งแต่ก่อนยุคศึกสงครามอิรักจนถึงยุคหลังศักราชที่เกิดความวุ่นวายขึ้นในเก้าเขต มีนักข่าวมากฝีมือได้ตายในเส้นทางการทําข่าวต่างๆไปหลายคน จากนั้นเขาได้สาธยายอย่างเป็นจริงเป็นจังให้ทุกคนฟังไปรอบหนึ่ง สไตล์การพูดบรรยายของเขาก็คือการพูดเกินจริงไว้ก่อน ไม่สนใจว่าใครจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ แต่จะให้ความรู้สึกว่าฉันเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดอะไรทํานองนั้น
หลังจากที่การบรรยายจบลงเวลาพักตอนเย็นก็ได้จบลงไปด้วยเช่นกัน พนักงานด้านกฎหมายนับสิบคนต่างพากันด่าทอก่อนจะเดินจากไป
ในสํานักงาน จ่าวเปายืนพูดอยู่ข้างโต๊ะของหลินเหนียนเล่ย “เดี๋ยวเธอช่วยมาที่ห้องทํางานฉันหน่อยนะ”
“ทําไมเหรอ?” หลินเหนียนเล่ยถาม
“มีเรื่องน่ะ” จ่าวเปาวางมาดความเป็นเจ้านายก่อนจะทิ้งท้ายเอาไว้แล้วหันหลังเดินออกไป
ยี่สิบนาทีผ่านไป
หลินเหนียนเล่ยกินอะไรรองท้องไปหน่อย ก่อนจะผลักประตูเข้ากองบรรณาธิการไป
“นั่งตามสบายได้เลยนะเล่ยเล่ย” จ่าวเปายิ้มพลางพูดทัก
“เหอะๆ เมื่อกี้ตอนอยู่ข้างนอก ฉันนึกว่าคุณไม่รู้จักฉันซะอีก” หลินเหนียนเล่ยยิ้มพร้อมตอบกลับ
“ใช่ที่ไหนกัน ข้างนอกคนเยอะเกินไป ถ้าฉันแสดงออกว่าสนิทกับเธอคงไม่ดีสักเท่าไหร่” จ่าวเปาเดินเข้ามาอธิบาย
“คุณยังกลัวว่าจะดูไม่ดีอีกอยู่เหรอ?” หลินเหนียนเล่ยสงสัย “ตอนงานส่งท้ายปีพ่อของคุณเพิ่งจะแนะนําไปว่าคุณเป็นลูกชายของเขา เดี๋ยววันศุกร์หน้าคุณก็ต้องมาเป็นบรรณาธิการแล้ว ช่างเป็นบุญตาจริงๆ!”
“ฉันมีความสามารถอยู่แล้ว ไม่เห็นจําเป็นต้องหลบซ่อนตรงไหนเลย” ข้อที่ดีที่สุดในตัวของจ่าวเปาก็คือความมั่นใจ ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่กล้าใส่ชุดสูทสีชมพูแบบนั้นหรอก
“อืม ฉันรู้ว่าคุณมีความสามารถ สรุปแล้วคุณเรียกฉันมาด้วยเรื่องอะไรล่ะ?”
“เล่ยเล่ย ที่จริงแล้วฉันหาโอกาสที่จะอธิบายเรื่องวันนั้นกับคุณมาโดยตลอด…”
“คุณหยุดพูดเรื่องนี้ได้รึยัง?” หลินเหนียนเล่ยกลอกตา “ตอนนี้ในหัวของฉันมีแค่คําที่ฉันกับแมวเฒ่าบอกไว้สี่คําเท่านั้น”
“สี่คําไหนล่ะ?”
“น่าตื่นเต้นจัง!”
จ่าวเปาได้ยินแล้วจึงกัดฟัน “นั่นมันเป็นเหตุแค่ข่าวลือ เธอฟังฉันอธิบายก่อน…”
“ไม่อยากฟัง” หลินเหนียนเล่ยพูดแทรก “ท่านบก. ในเวลางานแบบนี้เราคุยกันแค่เรื่องงานกันจะดีกว่า ถึงท่านจะไม่กลัวข่าวซุบซิบนินทา แต่ฉันกลัว”
จ่าวเปามองหลินเหนียนเล่ยและทําได้แค่ตอบกลับอย่างหมดปัญญา “เอาเถอะ ถ้าอย่างงั้นเรามาคุยเรื่องงานกันมา คุณนั่งก่อนสิ”
“ค่ะ” หลินเหนียนเล่ยได้ยินแล้วจึงนั่งลงบนโซฟา
จ่าวเปากลับไปที่โต๊ะทํางานก่อนจะยื่นมือไปหยิบกระเป๋าเอกสารของตัวเอง จากนั้นจึงหยิบเอกสารปักใหญ่ออกมา “วันพุธและวันพฤหัส ทั้งสองวันนี้ฉันได้ดูใจความสําคัญของงานใหม่อีกรอบหนึ่ง แต่ฉันไม่เห็นแรงกระตุ้นอะไรสักเท่าไหร่เลย!”
“แรงกระตุ้นอะไร?” หลินเหนียนเล่ยขมวดคิ้วพลางถาม
จ่าวเปานําเอกสารวางไปบนโต๊ะแล้วจึงพลิกไปพูดไป “ช่องแรก.ข่าวสําคัญในเดือนมีนาคม สัมภาษณ์อาชญากรทั้งสามคน แล้วให้เป็นข่าวยอดนิยมสักสองอาทิตย์ ช่องที่สอง….ตามถ่ายทําข่าวการจับกุมแก๊งค้ายาโดยร่วมมือผู้กํากับของเขตไคหยวน ช่องที่สาม แถลงข่าวเกี่ยวกับการปลดเจ้าหน้าที่ทีมกฎหมาย จากเดิมสิบห้าคน เหลือเพียงสิบคน…”
“คุณอ่านพวกนี้เพื่ออะไร หมายความว่ายังไง?” หลินเหนียนเล่ยถามแทรก
“ความน่าตื่นเต้นล่ะ ความน่าตื่นเต้นอยู่ไหน?!” จ่าวเปานํานึกเอกสารทั้งปีกโยนลงบนโต๊ะแล้วจึงวิจารณ์ “ไม่ได้เรื่องเลยสักนิด!”
“ความหมายของคุณก็คือ…?”
จ่าวเปาได้ยินก็ยืนขึ้นก่อนจะหักนิ้วโป้ง “การสัมภาษณ์อาชญากร เธอบอกฉันมาหน่อยว่าทําแบบนี้แล้วได้อะไร? คิดอยากถ่ายทํา เพื่อให้คนเห็นอาชญากรได้กลับตัวกลับใจ ปรับปรุงตัวและสร้างเรื่องล้างสมองบ้าๆนั่น มันควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกรมตํารวจสิ เธอมาให้พวกที่ทําข่าวด้านกฎหมายอย่างเรา ทําไปทําไม แล้วก็ยังมีเรื่องการถ่ายทําการจับแก๊งค้ายาด้วย.นี่ไม่ได้เป็นการมัดมือชกหรอกเหรอ? ตํารวจเขาได้กวาดล้างพวกค้ามนุษย์ไปหมดแล้ว เหลือแค่จับกุมเท่านั้น เราไปถ่ายทําแล้วได้อะไร? ห้ะ! เพื่อให้คนสรรเสริญเยินยอผู้กํากับของไคหยวนเหรอ? ในสคริปต์ยังบอกอีกว่าจะให้ฝาอันตรายไปด้วยแล้วจากนั้นก็ถ่ายทําไปจนจบ มันไม่ไร้สาระเกินไปหน่อยเหรอ? เธอคิดจะให้นักข่าวตามไปถ่ายทําด้วยแบบนี้ ไม่คิดว่ามันจะอันตรายบ้างรึไง?”
หลินเหนียนเล่ยมองจ่าวเปาด้วยความทําตัวไม่ถูก
“แล้วยังมีอีก ตอนนั้นทีมกฎหมายก็ทําได้ดี ทําไมจู่ๆถึงปลดล่ะ? หมายความว่ายังไงกันแน่? ทําไมไม่จับกระแสข่าว มัวแต่มาทําข่าวตามสคริปต์แบบนี้ ทําไมไม่ทําเป็นรายการบันเทิงไปเลยล่ะ?” จ่าวเปาโมโหจนแววตาดุร้ายเหมือนหมาป่าตัวใหญ่ “ฉันไม่ทําเรื่องไร้สาระพวกนี้หรอก ฉันจะทําเรื่องที่มันน่าสนใจหน่อย จับคดีที่เป็นกระแสแล้วเจาะลึกคดีที่น่าสนใจ”
ก่อนหน้านี้หลินเหนียนเล่ยนึกว่าจ่าวเปาเป็นคนที่ชอบสร้างภาพ แล้วพูดให้ตัวเองสูงส่ง แต่ถือว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เลวร้ายอะไร ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่เขาตะคอกไปแล้ว หลินเหนียนเล่ยจึงรู้สึกว่าเขาก็เป็นคนมีความคิดคนหนึ่ง
“หน้าที่ของระบบกฎหมายคือการรักษาการดําเนินงาน เพื่อความสงบของสังคม แล้วเธอรู้ไหมว่าหน้าที่ของนักข่าวอย่างเราคืออะไร?” จ่าวเปาหันไปมองหลินเหนียนเล่ยก่อนจะเอ่ยปากถาม
“คืออะไรเหรอ?” หลินเหนียนเล่ยถามเขากลับ
“ก็คือการเห็นปัญหาของคนในสังคมไง” จ่าวเปาตอบสั้นๆได้ใจความ “เพราะฉะนั้นพวกไม่ควรจะแสดงเรื่องราววีดิโอนําชีวิตที่ไร้เดียงสาพวกนั้นให้กับฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกรมตํารวจหรอก”
“ฉันเห็นด้วยกับความคิดของคุณ” หลินเหนียนเล่ยพยักหน้ารัว
“ฉันไม่ให้แผนงานนี้ผ่านแน่นอน” จ่าวเปาตอบกลับ “ฉันจะหาอะไรใหม่ๆ ที่ทําให้คุณมีแรงกระตุ้นมากขึ้น”
“เช่นห้องน้ําในห้องพักของจอยพาเลซใช่ไหม” หลินเหนียนเล่ยถามกลับ
จ่าวเปานิ่งไป
“ฮ่าๆๆ!” หลินเหนียนเล่ยหัวเราะชอบใจ “แค่ล้อคุณให้หัวเราะหน่อยน่ะ ถ้าคุณพาพวกเราทําข่าวที่น่าสนใจได้ ฉันอยู่ฝั่งคุณแน่นอน”
“เล่ยเล่ย ถ้าเธอคลุกคลีกับฉันไปสักระยะหนึ่งเธอก็จะรู้ว่าที่จริง แล้วฉันเป็นคนเก่งคนหนึ่ง…”
“ฉันไปก่อนละ ถ้าคุณมีแผนใหม่ก็มาปรึกษาหารือกับฉันได้” หลินเหนียนเล่ยทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะหันตัวแล้ววิ่งกลับไปทันที
“นี่ เธอกลับมาก่อน กลับมารู้จักตัวตนของฉันก่อนสิ” จ่าวเปาตะโกนเสียงดัง
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์
หม่าเหลาเอ๋อลงทุนด้วยเงินสามหมื่นหยวนเพื่อจัดตั้งกับบริษัทที่มีชื่อว่าเทียนเฉิงการค้า ชื่อนี้แมวเฒ่าเป็นคนคิดขึ้นซึ่งเป็นคําที่อ่านง่ายติดปากและมีความหมายดีอีกด้วย
ก่อตั้งบริษัทเสร็จเรียบร้อยแล้ว สถานที่ทํางานตั้งอยู่ในถนนเถ้าธุลี แต่ตอนเปิดกิจการเป็นการจัดงานที่ค่อนข้างเล็ก ทั้งฉินอวี่และแมวเฒ่าก็ไม่ได้มาร่วมงานด้วย มีเพียงหม่าเหลาเอ๋อที่เชิญคนสนิทมาร่วมงานสังสรรค์ แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าบริษัทแห่งนี้มีตํารวจอยู่เบื้องหลัง และคนที่อยู่เบื้องหลังก็คือพวกของผู้กํากับหลี่และฉินอวี่
หลังเปิดกิจการได้สามวัน
หม่าเหลาเอ๋อจึงเริ่มขับเคลื่อนธุรกิจ เขาติดต่อเพื่อนอย่างลุงหม่าที่เคยทําความรู้จักในถนนเถ้าธุลีแห่งน้ําไว้ และทําการนัดพบปะจิบไวน์ที่จอยพาเลซคลับเพื่อประกาศถึงการกลับมาของตระกูลหม่า จุดเริ่มต้นของสงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว!