Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 245 การปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว

ตอนที่ 245 การปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 245 การปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว

ตอนที่ 245 การปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว

โกดังเขตหนานยางรัฐพื้นทมิฬ

เปยเตอหยงเอามือไขว้หลังพลางสั่งอย่างเด็ดขาด “ตระกูลหยวนเป็นคนสั่งสินค้าครั้งนี้ พวกนายคิดราคาตามในใบเสร็จก็พอ”

“พี่เปย ถ้าอย่างงั้นสินค้าล็อตนี้เป็นการขายในถิ่นของเราเองแล้ วจะยังสามารถส่งออกไปที่อื่นได้อยู่เหรอ?” ชายหนุ่มวัยกลางคนเอ่ยปากถาม

เปยเตอหยงครุ่นคิดสักพักก่อนจะถามกลับ “อย่าไปทับเส้นทางของตระกูลหม่าก็พอ แต่เดี๋ยวจะมีคนจากพวกเขามารับสินค้าจากเรา พอเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนส่งออกเองซะหน่อย นายเข้าใจแล้วหรือยัง?”

“ฮ่าๆ ผมเข้าใจแล้ว” ชายร่างบึกบึนพยักหน้า

“รีบแบ่งเร็วเข้าถ้าแบ่งเสร็จแล้วก็ล็อกโกดังด้วย” ฉวี่หยางตะโกนเสียงดัง

“โอเค พวกนายจัดการเถอะฉันกลับก่อนละ” เปยเตอหยงทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนหันหลังจากไป

“เดี๋ยวก่อนพี่เปย!”

ฉวี่หยางตะโกนเรียกตามหลังก่อนจะวิ่งตามไป “สองวันก่อนเราเพิ่งจะเจรจากับหม่าเหลาเอ๋อไปแล้วจู่ๆเราก็มาปล่อยสินค้าออกไปข้างนอกแบบนี้ อีกอย่างยังขายให้กับคนตระกูลหยวนอีกด้วย อีกฝ่ายเขาจะไม่…”

“ฉันก็รอให้พวกมันมีปฏิกิริยาก่อนไงล่ะ” เปยเตอหยงพูดตัดบททันที “หม่าเหลาเอ๋อให้ฉันแค่สี่สิบเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่เหรอ? งั้นฉันก็ให้มันได้เห็นดีกันหน่อยไงล่ะ ฉันอยู่ในรัฐพื้นทมิฬมานานตั้งเท่าไหร่ ให้มันได้รู้ซะบ้างว่าฉันมีอํานาจแค่ไหน ฉันไม่กลัวว่ามันจะไม่รู้หรอก…แค่กลัวว่ามันจะมองไม่เห็นมากกว่า พวกแกทํายอดขายให้ฉันดีๆล่ะ ดีที่สุดขอให้ขายหมดภายในสี่ถึงห้าวันนี้ให้ได้”

ฉวี่หยางลังเลอยู่นานพลางขมวดคิ้ว “ความหมายของผมก็คือเราร่วมมือกับตระกูลหยวนง่ายๆ แบบนี้มันจะดูชะล่าใจเกินไปหรือเปล่า? ก่อนหน้านี้หวี่เหวินเพิ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอขนาดนั้น แต่พอผ่านไปไม่ถึงสองวันก็ล่มสลายไปซะแล้ว ข้างนอกมีข่าวลือกันมาว่าที่เฒ่าหวี่ยังกลับมาฮ่งเจียงไม่ได้ก็เป็นเพราะฝีมือของหยวนเค่อ”

“หยวนเค่อมันฆ่าแม่ของตัวเองแล้วเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ? ฉันอยากจะเก็บเงินแต่ก็ไม่ได้เพื่อจะมีชีวิตอยู่กับเธอสักหน่อย” เปยเตอหยงตอบกลับอย่างไม่ได้สนใจ “อย่าคิดมากขนาดนั้นเลย ทํางานให้เสร็จก็พอ”

“โอเค” ฉวี่หยางครุ่นคิดสักพักและไม่ได้พูดอะไรต่อ

สิบนาทีผ่านไป

ขณะที่เปยเตอหยงนั่งอยู่ในรถ เขาก็ยกหูโทรศัพท์ถามด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด “นายพูดว่าอะไรนะ?”

“เกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างทางกับเด็กพวกนั้นระหว่างไปส่งของที่เมืองชางจีทําให้ตายยกคัน” อีกฝ่ายตอบกลับ “รถถูกพบอยู่นอกเขตโดยคนที่อยู่ในทีมป้องกันร่วม”

“แล้วคนที่นายจัดแจงไว้ล่ะ?” เปยเตอหยงถามกลับ

“พวกเขาคงเห็นว่าคนตายแล้วและกลัวจะโดนลูกหลงเลยผลักรถลงไปข้างทาง ส่วนตอนนี้พวกนั้นหนีไปแล้ว” ปลายสายอธิบาย “ผมถามคนของทีมป้องกันร่วม พวกเขาบอกว่าเรื่องอาจจะเกิดขึ้น เพราะผู้ตายได้รับแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์มากเกินไป”

“เป็นไปได้ยังไง?!” เปยเตอหยงถามด้วยสีหน้ามึนงง “ได้รับแก๊สคาร์บอกมอนอกไซด์มากเกินไปงั้นเหรอ อะไรกัน? คนขับรถสองคนนั้นมันจุดบุหรี่ในรถรีไง?”

“เปล่าหรอก คนของทีมป้องกันร่วมบอกว่าตอนที่เห็นรถในถังน้ํามันรถไม่มีน้ํามันเหลืออยู่แล้ว อีกอย่างแอร์ในตู้บรรทุกได้มีคนเอาผ้าไปอุดเอาไว้และยังไม่ได้เปิดช่องอากาศอีกด้วย” อีกฝ่ายอธิบาย “เพราะฉะนั้นผลวินิจฉัยเบื้องต้นจึงระบุว่าคงเป็นเพราะรถไม่ได้ดับเครื่องและแอร์ก็ยังเปิดเอาไว้อยู่ เพราะฉะนั้นการหมุนเวียนของอากาศเลยเกิดก๊าซพิษ แต่รถบรรทุกปิดมิดชิดเกินไป คนของเราจึงตายอยู่ในนั้น”

เปยเตอหยงได้ยินจึงกุมขมับไม่พูดไม่จาอยู่นาน ก่อนจะกัดฟันแล้วด่าทอ “ฉันบอกให้นายหาคนที่ทํางานดีๆหน่อย นายกลับให้ ไอ้เวรสองตัวนี้มาเดินงาน นายรู้ไหมว่าถ้าเราส่งเด็กพวกนั้นไปถึงชางจีได้แล้วเราจะได้เงินกันตั้งเท่าไหร่? ในโครงการลับเราจะได้หัวละหมื่นสอง! แม่งเอ๊ย ตายไปตั้งเจ็ดถึงแปดคน แบบนี้ขาดทุนไปตั้งเท่าไหร่ นายเคยคิดไหม?”

อีกฝ่ายเงียบไป

เปยเตอหยงมองไปนอกหน้าต่างอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเงียบไปสักพักแล้วเอ่ยถาม “แล้วคนของทีมป้องกันร่วมพวกนั้นว่ายังไงกันบ้าง?”

“เป็นเรื่องแปลกที่คนจะตายนอกเขตพื้นที่โครงการหลายๆคนแบบนี้” อีกฝ่ายตอบกลับทันที “ทางแนวป้องกันได้ทําบันทึกไว้แล้วก็ลากรถไป พอฝังคนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงทิ้งรถไปและไม่ได้ ทําการสอบสวนต่อ เหอะๆ เรื่องแบบนี้ยังตรวจสอบไม่ได้ แล้วจะมาดูแลเรื่องในเขตพื้นที่โครงการได้ยังไงกัน?”

“ถ้างั้นก็กําชับคนของทีมป้องกันร่วมด้วย เพราะถึงยังไงรถก็ถูกลากไปแล้ว” เปยเตอหยงพูดกําชับ

“ได้ ไม่ต้องห่วง ผมรู้ว่าต้องทํายังไงต่อ”

“รีบหาคนมาแทนให้ฉันให้เร็วที่สุดทางชางจีเร่งจนฉันจะเป็นบ้าอยู่แล้ว!” เปยเตอหยงขมวดคิ้วขณะด่า “แล้วแกก็จําใส่กะลาหัวของแกเอาไว้ด้วยว่าการขาดทุนในเขตพื้นที่โครงการเป็นเรื่องปกติ เรื่องนี้ฉันเข้าใจได้ แต่ถ้าเป็นความสะเพร่าของคนแล้วเกิดเรื่องแบบไอ้เวรสองตัวนั่นเราต้องห้ามให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก และถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแกก็เตรียมตัวลาออกได้เลย”

“พี่เป็นคนบอกเองว่าไม่ให้เราอยู่แนวหน้าเราเลยไม่กล้าทําเรื่อง พวกนี้รอบเขตซ่งเจียง ไม่งั้นหนทางคงไม่ยาวไกลขนาดนี้ อีกอย่างเราคงไม่เจอเรื่องพวกนี้บ่อยๆหรอก” อีกฝ่ายตอบอย่างท้อใจ “ถ้างั้นต่อไปก็ให้ฉันทําในเขตรอบๆดีกว่า”

“ไม่ได้” เปยเตอหยงส่ายหน้า “ถึงจะได้ราคาสูงหน่อยก็ห้ามทําในเขตพื้นที่ตัวเองเด็ดขาด”

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”

“อืม งั้นก็ตามนี้ รีบจัดการให้เสร็จด้วยล่ะ” เปยเตอหยงทิ้งท้าย เอาไว้ก่อนจะตัดสายไป โดยในใจไม่ได้นึกถึงเด็กที่ตายอย่างทรมานพวกนั้นเลยสักนิด เขาคิดแค่ว่าจะถ่วงเวลากับทางชางจีได้ยังไง

เวลาสามทุ่มตรง

ในโกดังถนนเถ้าธุลี หลิวจื่อซูนั่งอยู่ที่โต๊ะทํางานและกําลังก้มหน้าดูนิยายเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับวันสิ้นโลก

มีเครื่องมือวิทยุสื่อสารทั้งหมดสี่สิบห้าสิบเครื่องแขวนเป็นสามแถวอย่างเป็นระเบียบอยู่ตรงกําแพงทางด้านซ้าย

ความวุ่นวายเกิดเนื่องจากมีเสียงเครื่องมือวิทยุสื่อสารจากแผนกหนึ่งดังขึ้น “โกดัง! เรียกฝ่ายโกดัง”

หลิวจื่อซูนิ่งไปก่อนจะหันตัวไปหยิบเครื่องมือสื่อสารลงมาพลางขมวดคิ้ว “รับทราบ ว่ามา”

“พี่ซู มีคนมาแย่งลูกค้าระหว่างทาง”

“แย่งลูกค้าเหรอ? คนของฝั่งตระกูลหยวนเหรอ?” หลิวจื่อซูถาม พลางยืดตัวตรง

“ไม่ใช่ ช่วงนี้เรากับทางเค่อหยวนได้ทําการขายของใครของมัน ทุกคนต่างไม่ล้ําเส้นกัน” เด็กหนุ่มในสายขมวดคิ้วพลางตอบ “เป็นพวกของทางหนานหยาง คนของเปยเตอหยงกําลังขายเด็กอยู่ โผล่มาจากไหนไม่รู้จํานวนเยอะเลยล่ะ”

“คิดว่าใช่ไหมล่ะ?” หลิวจื่อซูขมวดคิ้ว

“พี่ สินค้าทางเดินนี้ก็มีอยู่แค่นั้นแต่วันนี้กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กะทันหันแบบนี้ พี่ว่าผิดปกติไหมล่ะ?”

“นายแน่ใจนะว่ามันกําลังแย่งลูกค้าอยู่? มันล้ําเส้นมาเขตแดนเราด้วยเหรอ?” หลิวจื่อซูถามอย่างจริงจัง

“ไม่ได้ล้ําเข้ามาในเขตเราหรอก แต่พวกมันไปติดต่อกับลูกค้าของเราให้ไปซื้อสินค้าในที่ของมัน” ลูกน้องที่วางยาอยู่ด้านล่างรีบอธิบาย “เพราะพวกเราขายสินค้าจํานวนจํากัด แต่ทางเปยเตอหยงกลับไม่มีข้อแม้ ถ้าพี่อยากได้เท่าไหร่มันก็กล้าขาย ฉะนั้นพวกพ่อค้าเล็กๆ เลยไปหาพวกมันกันหมด”

หลิวจื่อซูครุ่นคิดสักพัก “นายไปบอกพวกของเราว่าอย่าเพิ่งเคลี่อนไหวมั่วซัว เดี๋ยวฉันจะโทรไปคุยกับเบื้องบนก่อน”

“โอเค”

สิบนาที่ผ่านไป

มีสายโทรเข้ามาหาฉินอวี่ เขาตั้งใจฟังหม่าเหลาเอ๋อพูดจนจบก่อนที่สีหน้าของเขาจะตึงเครียดและตอบกลับแบบส่งๆ “เรื่องข้างล่างถ้าเป็นผลประโยชน์กับเรานายก็ทําไปเถอะ ถ้าเกิดเรื่องใหญ่อะไรก็ยังมีฉันคุมอยู่”

“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว” หม่าเหลาเอ๋อตอบรับจากนั้นจึงตัดสายทันที

ขณะเดียวกัน

ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในเมือง จ่าวเปาได้เจอกับเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนที่ไม่ได้เจอกันมานานจึงยิ้มพลางถาม “นายคงยุ่งมากสินะ เหอะๆ ฉันรอนายมาตั้งครึ่งวันแล้ว”

“ขอโทษจริงๆ นอกเขตเกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ ฉันแวะไปถ่ายรูปนิดหน่อย” เพื่อนร่วมชั้นตอบกลับด้วยความรู้สึกผิด

“เรื่องอะไรเหรอ?” จ่าวเปาถามด้วยความสงสัย

“ในรถบรรทุกคันหนึ่งมีเด็กตายตั้งเจ็ดถึงแปดคนน่ะ ตายทั้งเป็นเลยล่ะ ฉันรู้ข่าวเลยไปแอบถ่ายภาพมา” เพื่อนร่วมชั้นถอด เสื้อตัวเก่าๆออกพลางตอบกลับ

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9

Status: Ongoing

โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย…

‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง

ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม!

ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้…

ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท