ตอนที่ 270 ช่วงภัยพิบัติ
คืนนั้นภายในสํานักงานตํารวจ
ฟูเสี่ยวห่าวกระซิบกับฉินอวี่ขณะถือแก้วน้ําดื่ม “ผมเพิ่งคุยกับพี่เหลาเอื้อมาและขอให้เขาถามเรื่องนี้บนท้องถนน”
“ว่าไงบ้างล่ะ?” ฉินอวถามขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้
“คนที่อยู่ฝั่งเราสืบลึกไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว และพี่เหล่าเอ๋อก็ได้แค่ถามมาเท่านั้น” ฟูเสี่ยวห่าวพูดขณะขมวดคิ้ว “คือเสี่ยวจืออาจหายตัวไป แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ได้ฟันธง”
สีหน้าฉินอวี่ก็ไม่ได้ประหลาดใจมากนักเมื่อได้ยิน “ฉันเดานะ”
“ฉันรู้สึกว่าเปยเตอหยงโหดกว่าหยวนเค่อซะอีก”รู้เหว่ยพูดแทรก
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก” ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า
“หยวนเค่ออาจไร้ความปรานี้อยู่แล้วทุกย่างก้าวที่เขาเลือกคือการวางแผนในระยะยาว แต่เปยเตอหยงแตกต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง พูดตรงๆเฒ่าเปยยังเห็น ฉวีหยางหนิวเงินและหยางหนานเป็นเพื่อนของเขาอยู่ส่วนที่เหลือก็คือลูกน้อง”
“นั่นสิ” จี้เหว่ยพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ฉันยังงงเรื่องของจ่าวเปาและถังหยวนอยู่เลย” ฉินอวี่ ขมวดคิ้วแน่นพลางพูดเชิงวิเคราะห์ “ทั้งสองปลอมตัวเป็นผู้ซื้อจ่ายหนักถึงพวกเขาจะทําไม่สําเร็จแต่ก็ทําให้เปยเตอหยงระวังตัวขึ้นมากเลย ฉะนั้นคงใช้ลูกไม้แนวนี้เล่นงานพวกเฒ่าเปยไม่ได้แล้วล่ะ”
“แล้วไม่มีหลักฐานจากจ่าวเปาเหรอครับ?” ติงกั่วเซินถามจากด้านข้าง
“หลักฐานแค่นั้นอาจยังไม่เพียงพอ” ฉินออธิบายต่อ “เขาบันทึกวิดีโอการทําธุรกิจค้ามนุษย์กับเสี่ยวจือแต่ตอนนี้ไอ้หมอนี่ก็หายตัวไป ฉันว่าเฒ่าเปยต้องจัดการแล้วแน่นอน….บางทีหมอนั่นอาจตายไปแล้วก็ได้ มันเลยยากสําหรับเราที่จะไปงัดข้อกับพวกนั้นตอนนี้”
“ใช่” จี้เหว่ยเห็นด้วยกับฉินอวี่ “หลักฐานในมือจ่าวเปาคงจะแค่ทําให้เฒ่าเปยรู้สึกคันๆ เท่านั้นละมั้ง”
“แล้วเสี่ยวฟางล่ะ ได้จับตาดูเขารึเปล่า?” ฉินอวี่ถามทันที
“วันรุ่งขึ้นพอเกิดเรื่องถังหยวนเจ้านั่นก็หายไปเลย” รู้เหว่ยตอบทันที “แต่ทันทีที่จ่าวเปาออกไปเขาก็กลับเข้ามาทํางานตามปกติ”
ฉินอวี่ยิ้มขณะพูดด้วยสายตาเฉียบคม “งั้นก็จับตาดูเจ้า นั่นก่อน จากนั้นเสี่ยวห่าวกับเซินเซินก็ไปตรวจสอบเด็กแปดคนที่เสียชีวิตนอกเขต…แล้วพวกนายต้องส่งเรื่องให้แผนกไหนจัดการต่อ?”
“ต้องไปฝ่ายประมวลผลให้ผมไปเลยรึเปล่า” ฟูเสียวห่าวถาม
“ยังก่อน แผนกที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ต้องมีส่วนกับเฒ่าเปยแน่ถ้าติดต่อไปจิ้งจอกเฒ่าคงจะมีปฏิกิริยาอะไร”ฉินอวี่ส่ายหัว “ตรวจสอบทุกคนที่จัดการคดีนี้อยู่”
“เข้าใจแล้วครับ” ฟูเสี่ยวห่าวพยักหน้า
ฉินอวี่ค่อยๆ ลุกขึ้นปรบมือพลางพูด “ยังไงก็ตามเราจะมุ่งเน้นไปที่เฒ่าเปยและเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดถ้าคนนอกจะมาช่วยเราก็ต้องได้รับการคัดกรองอย่างเข้มงวด”
ทุกคนพยักหน้า
สิบนาทีต่อมา ฉินอวี่ ก้าวออกจากประตูพลางหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหม่าเหลาเอ๋อ “คือ…ฉันมีบางอย่างอยากให้นายทํา”
“หืม ว่ามาเลยลูกพี่ฉันต้องทําอะไรเหรอ?”
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองสัปดาห์แล้ว
หลังจากหิมะโปรยปรายห้าวันติด ถนนบางแห่งของพื้นที่โครงการจึงเริ่มเดินทางลําบากขึ้น
ห่างจากซ่งเจียงประมาณสามร้อยกิโลเมตร รถออฟโรดสี่คันและรถตู้ขนาดกลางอีกสองคันทั้งหมดผูกเชือกลากกันมาอย่างระมัดระวังจนถึงทางเข้าหมู่บ้าน
ทันทีที่รถดับเครื่องยนต์ชาวบ้านจํานวนมากก็ชะโงกออกมาดูท่ามกลางหิมะโปรยปรายด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ฉีหลินกระโดดลงจากรถออฟโรดก่อนตะโกน “พี่เฟิงที่อยู่ไหน?”
“ฉันกําลังไป”
ในบ้านที่ทรุดโทรม ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบรีบวิ่งออกมาหาฉีหลิน พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มาแจกของอีกละสิ?”
“อืม” ฉีหลินพยักหน้าก่อนหันกลับมาตะโกนสั่งคนด้านหลัง “เปิดท้ายรถคันที่สอง”
“โอเค” ชาเหมิงพยักหน้าและนําคนไปยังรถตู้คันที่สอง
“เหมือนเดิมนะพี่ ข้าวสองร้อยกิโลกรัม บะหมีสองร้อยกิโลกรัม” ฉีหลินหันกลับมามองอีกฝ่าย
“ตกลง” อาเฝึงมองไปที่ฉีหลินพลางพยักหน้า
ไม่กี่นาทีต่อมาชาเหมิงก็โยนบะหมีสี่ถุงใหญ่จากรถตู้ก่อนปัดมือแล้วตะโกนกลับมา “เจ้าสองคนนั้นมานี่หน่อยมาแบกบะหมี่เร็ว!”
ชาวบ้านละแวกนั้นเงียบและไม่มีใครขยับหรือพูดอะไร
ฉีหลินชะงักเมื่อสัมผัสบรรยากาศโดยรอบ เขาถามอาเฝ้งด้วยความสงสัย “บรรยากาศแบบนี้มันหมายความว่าไงเหรอพี่?”
อาเฟิงเกาหัวพลางพูด “เดือนนี้สภาพอากาศแย่มากหิมะตกลงมาแทบไม่หยุดเลยพวกเขาไม่มีงานทําเลยต้องอยู่แต่บ้านเท่านั้น”
ฉีหลินเงียบไป
ทุกครั้งที่ฉีหลินส่งสินค้า โดยทั่วไปเขาจะเตรียมอาหารประมาณครึ่งรถเข็นเพื่อแจกให้กับชาวบ้านในละแวกนั้น การทําสิ่งนี้ในนามบริษัทรักษาความปลอดภัยเหยากวางจะช่วยลดปัญหามากมายระหว่างทาง
แม้ว่าชาวบ้านสมควรที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจ แต่ถ้าใจดีเกินไปพวกเขาก็เอาแต่ได้และรอกินอย่างเคยชิน
นี่คือธรรมของชาติมนุษย์
ฉิหลินหันไปมองอาเผิง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูด “มาดูของนี่ก่อนสิพี่”
“อ๋อได้ส” เผิงเกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มทันที
หลังจากนั้นฉีหลินก็พาอาเฝึงไปที่ท้ายรถ ก่อนเอื้อมมือไปเปิดท้ายรถ“ไปเช็กของเองเลย”
อาเฝึงชะโงกดูภายในรถ เขาก็ไม่เห็นอาหารหรือเสบียงอะไรเลย มีเพียงกล่องปืนและอาวุธเท่านั้น
“นี่หมายความว่ายังไง?” อาเผิงถามอย่างงุนงงเล็กน้อย
“ฉันแจกอาหารตามทางไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเท่านี้แหละ” ฉีหลินถามด้วยเสียงเรียบ“พี่เอาพวกนี้ไปแทนได้ไหม?”
อาเฝึงจ้องไปที่ดวงตาฉีหลินก่อนเลียริมฝีปากของเขา
“ตกลงว่าพี่จะเอาไหม?” ฉีหลินขมวดคิ้ว
อาเฝังยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตบแขนฉีหลินเบาๆ “น้องชายฉันไม่ได้หมายความว่าจะไม่รับไว้”
ฉีหลินไม่ได้พูดอะไร
“นายก็เห็นว่าช่วงนี้หิมะตกตลอดเวลา คนที่นี่ทําอะไรไม่ได้ หิวโหยกันทุกวัน”สีหน้าอาเฝึงดูถ่อมตัวเล็กน้อยและไม่มีความโลภในสายตาของเขา
“งั้นเพิ่มข้าวอีกถุง”ฉีหลินตอบอย่างรวบรัด
เมื่ออาเผิงได้ยินดังนั้นเขาก็ดีใจมาก เพราะเขาคิดว่าฉีหลินคงจะไม่ให้ของเพิ่มไปจากเดิมแล้ว ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ เพิ่มดังนั้นใบหน้าเขาจึงเต็มไปด้วยความสุข “ขอบคุณนะ น้องชายนายเป็นคนดีจริงๆ”
“ดูแลกันไว้นี่แหละดี” ฉีหลินทิ้งคําพูดไว้ก่อนหันกลับไปสั่ง“ชาเหมิงขนข้าวมาอีกถุงหนึ่ง”
“โอเค” หลังจากพยักหน้า ชาเหมิงก็หันหลังกลับไปถือกระเป่าขึ้นรถ
ไม่กี่นาทีต่อมาอาเฝูงปรบมือเรียกทุกคนมารวมตัวกัน “มาเถอะจะแจกอาหารแล้ว ทุกคนเข้าแถวรอ!”
“ขอบคุณคุณฉีหลิน และบริษัทรักษาความปลอดภัยเหยากวาง”
ชาวบ้านตะโกนเสียงดังใส่ขบวนรถด้วยสีหน้าร่าเริง
ฉีหลินนั่งบนรถออฟโรดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรไปหาหม่าเหลาเอ๋อทันที
“ฮัลโหล? ยามาถึงแล้วเหรอ?” หม่าเหลาเอ๋อรอสินค้าฉีหลินอย่างใจจดจ่อ
“ฉันกังวลมากกว่านายอีก แต่เร่งให้เร็วกว่านี้ไม่ได้แล้วมะตกหนักมากและถนนก็เดินทางลําบาก” ฉีหลินตอบอย่างช่วยไม่ได้ “ขอเวลาอีกสามวัน…อีกสามวันจะไปถึงแน่”
“ได้ส” หม่าเหลาเอ๋อเข้าใจสถานการณ์ดี “แต่เร็วหน่อยล่ะของฉันจะหมดสต๊อกแล้ว”
“อืม รู้แล้วน่า”
“โอเค แค่นี้นะ ฉันยังมีเรื่องด่วนที่ต้องทําต่อ แต่ยังบอกใครไม่ได้”
“อืม ไปเถอะ”
หลังจบการสนทนาก็วางสายไป
ในรถ ฉีหลินหยิบวิทยุสื่อสารออกมาตะโกนออกคําสั่งเตือนให้ระมัดระวัง “หิมะตกหนักเกินไปคืนนี้พวกเราคงได้นอนพักกันในรถแทนนะ”
“รับทราบ!”
“รับทราบ!”
อีกด้านหนึ่ง หม่าเหลาเอ๋อกําลังขับรถเข้าไปในบริเวณถนนหนานหยางอย่างลับๆ