บทที่ 152 เยือนจักรวรรดิ 2 (1)
“ถ้าเช่นนั้นให้กระผมเดินทางล่วงหน้าไปจักรวรรดิก่อนเลยหรือไม่?”
“อืม..แผนที่ข้าคิดไว้จะสอดคล้องกับแผนที่องค์ชายรัชทายาทเตรียมไว้พอดี..ดังนั้นเจ้าสามารถออกเดินทางได้ทันที”
องค์ชายรัชทายาทได้ป่าวประกาศให้ทราบไปทั่วกันว่าจะเสด็จเยือนจักรวรรดิ ไม่มีเหตุผลที่จะปกปิดมันไว้เพราะการกระทำของเขาจะทำให้พลเมืองแห่งอาณาจักรโรมันเชื่อว่าเขาเป็นเป็นองค์ชายที่พร้อมเรียกหาความยุติธรรมให้กับอาณาจักรและคิดถึงประชาชนมากเพียงใด
“กระผมเข้าใจแล้ว”
คาร์ลจบการสนทนาไว้เพียงเท่านี้เมื่อเห็นบิลอสเข้าใจในสิ่งที่เขาบอกโดยไม่เอ่ยถามสิ่งใดเพิ่มเติม
พวกเขาทั้งสองวางแผนที่จะพบกันอีกครั้งในเมืองหลวงของจักรวรรดิเพื่อร่วมดื่มและสนทนากันให้ยาวนานกว่านี้
เป็นเพราะในตอนนี้พวกเขาต่างมีภารกิจหลายอย่างที่ต้องไปจัดการให้เรียบร้อย
คาร์ลรีบเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์เฮนิตัสทันที ก่อนอื่นเขาต้องจัดการเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านแฮร์ริสก่อนที่เผ่าเสือจะเดินทางมาถึง
“บาเซ็น..ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“ขอรับท่านพี่!”
‘บาเซ็น’น้องชายที่คาร์ลไม่ได้เห็นหน้าค่าตามาพักใหญ่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการหมู่บ้านแฮร์ริสร่วมกับเขาด้วย แม้ว่าเคานต์เดอรัชจะเอ่ยปากให้คาร์ลเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแต่เคานต์เดอรัชก็ส่งบาเซ็นเข้ามาช่วยเหลือคาร์ลอยู่ดี
‘เมื่อบาเซ็นได้เป็นท่านเคานต์คนต่อไปแล้ว..ฉันก็จะทำหน้าที่คอยรายงานเรื่องต่างๆให้เขาได้ทราบแบบนี้เช่นกัน’
คาร์ลวางแผนที่จะไม่ทำสิ่งใดมากนักแต่ก็ควรมีสิ่งที่จะต้องรายงานให้กับบาเซ็นทราบเช่นกัน เขารู้สึกสบายใจที่มีบาเซ็นมาจัดการเรื่องนี้ให้
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คาร์ลดูร่าเริงเมื่อยื่นเอกสารรายงานให้กับบาเซ็น
“นี่เป็นเอกสารที่พี่รวบรวมข้อมูลเอาไว้ให้”
“ขอบคุณขอรับ..น้องจะตั้งใจช่วยงานท่านพี่อย่างเต็มที่”
“ช่วยงาน?..ท่านพ่อไม่ได้บอกให้เจ้ามาช่วยงานพี่หรอกนะ..ท่านพ่อบอกให้เราทำงานด้วยกันต่างหาก”
คาร์ลถอนหายใจให้กับสิ่งที่บาเซ็นเอ่ย การที่เคานต์เดอรัชส่งบาเซ็นมาช่วยเขาก็เป็นเพราะกังวลว่าคาร์ลจะจัดการเรื่องต่างๆได้ไม่ถูกต้อง
‘หมายความว่าบาเซ็นได้รับความไว้วางใจให้ดูแลงานด้านบริหารและจัดการเรื่องต่างๆของอาณาเขต’
ถ้าพูดให้เห็นภาพชัดขึ้นก็ต้องบอกว่าสถานะของบาเซ็นในการเป็นผู้สืบทอดตระกูลมีความมั่นคงมากขึ้น
บาเซ็นมองพี่ชายของตนที่จิบน้ำชาด้วยด้วยท่าทางผ่อนคลายหลังจากยื่นแฟ้มเอกสารให้เขาเรียบร้อยแล้วก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ท่านพี่”
“มีอะไรหรือ?”
บาเซ็นได้เปิดอ่านรายละเอียดในเอกสารที่คาร์ลเตรียมไว้ให้ กลุ่มผู้อพยพรายใหม่เป็นกลุ่มคนผู้สูญเสียบ้านอันเป็นที่รักไป นอกจากนี้พวกเขายังเป็นชนเผ่าเสืออีกด้วย คาร์ล เฮนิตัสได้นำกลุ่มคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้กลับมายังอาณาเขตของพวกเขา บาเซ็นรู้สึกทึ่งกับความมีน้ำใจและการตัดสินใจอันเด็ดขาดของพี่ชายตนเอง
“ท่านพี่..น้องกำลังตั้งใจอย่างหนักเพื่อเรียนรู้งานต่างๆของอาณาเขต..น้องเชื่อว่าในอาณาเขตเรายังมีจุดเด่นอีกมากมายนอกเหนือไปจากหินอ่อน..ดังนั้นน้องวางแผนที่จะพัฒนาอาณาเขตของเราให้แข็งแกร่งและเจริญยิ่งขึ้น”
คาร์ลชอบความคิดของบาเซ็นที่ดูมีความเป็นผู้นำและกระตือรือร้นในการทำเงินเข้าสู่ดินแดน
“ดี..พี่จะเป็นกำลังใจให้เจ้าเอง”
“ขอบคุณขอรับ!..น้องจะพยายามทำให้สำเร็จ..น้องจะทำให้ท่านพี่ได้เห็นอย่างแน่นอน!”
ใบหน้าที่เคร่งขรึมของบาเซ็นเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นในทันที
“ไม่ต้องทำให้พี่เห็นหรอกน่า”
“ไม่ได้ขอรับ!..น้องจะแสดงให้ท่านพี่ได้เห็นว่าน้องเป็นคนที่มีประโยชน์สำหรับอาณาเขตของเรา”
คาร์ลมองไปยังบาเซ็นด้วยความตกใจ บาเซ็นเงียบเสียงลงทันทีเมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นของคาร์ล
‘ข้าคิดว่า..ข้าช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนักเมื่อเทียบกับคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวท่านพี่’
ความคิดนั้นทำให้สีหน้าของบาเซ็นสลดลงก่อนที่เสียงของคาร์ลจะลอดเข้ามาในหัวของเขา
“เจ้าพูดเรื่องอะไรของเจ้า!?..บาเซ็น เฮนิตัส..คือคนที่มีส่วนสำคัญในอาณาเขตของเรา..เจ้าห้ามคิดเช่นนี้อีก!”
คาร์ลรู้สึกงุนงง จะมีอาณาเขตใดบ้าง?ที่มีว่าที่ผู้ปกครองอาณาเขตที่ดีเฉกเช่นบาเซ็น? คาร์ลส่ายมือน้อยๆเพื่อไม่ให้บาเซ็นพูดไร้สาระออกมาอีก เขาเหลือบมองมือของบาเซ็นที่กำแฟ้มเอกสารไว้แน่น
“ขอรับ!..น้องจะตั้งใจทำงานให้หนัก!”
บาเซ็นเอ่ยตอบอย่างหนักแน่นก่อนเดินออกจากห้องหนังสือคาร์ลไป คาร์ลมองดูแผ่นหลังที่ค่อยๆลับหายไปอย่างพึงพอใจ หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน
ราอนคลายเวทย์ล่องหนออกและเอ่ยถามคาร์ลขึ้นทันที
“มนุษย์”
“อะไร?”
“เจ้าคิดจะเป็นผู้ปกครองอาณาเขตหรือเปล่า?”
“…เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่?..อย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนี้อีก”
ราอนเงยหน้ามองเพดานห้องด้วยความสับสนแต่คาร์ลเลือกที่จะไม่คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปเพราะมันทำให้เขาอดขนลุกไม่ได้
อย่างไรก็ตามราอนที่รีบกลับมาใช้เวทย์ล่องหนอีกครั้งยังคงเซ้าซี้เอ่ยถามเขาอีกครั้งเมื่อคาร์ลมุ่งหน้าไปหาเคานต์เตสวิโอแลน
~ มนุษย์!..ผู้ปกครองอาณาเขตต้องทำอะไรบ้างเหรอ?..ต้องออกเดินทางบ่อยหรือไม่?~
‘ทำไมหมอนี่ถึงเป็นแบบนี้นะ?’
คาร์ลไม่สนใจใจราอนและพุ่งความสนใจไปยังเคานต์เตสวิโอแลนที่ยังคงเกล้าผมเรียบร้อยโดยไม่ยอมให้เส้นผมหลุดออกมาสักเส้น
“ดูลูกผอมลงไปมากเลยนะคาร์ล..ลูกกำลังจะเดินทางไปจักรวรรดิพร้อมกับองค์ชายรัชทายาทงั้นหรือ?”
“ขอรับ..ดูเหมือนพระองค์อยากให้ลูกไปช่วยหาเบาะแสเกี่ยวกับระเบิดพลังเวทย์”
ร่างของคาร์ลสั่นเล็กน้อยเมื่อสบตาเข้ากับสายตาเพ่งพินิจของวิโอแลน เธอเอ่ยถามคาร์ลอีกครั้ง
“องค์ชายไม่ได้สั่งให้ลูกทำงานยากๆใช่มั้ย?”
“อืม..ไม่ยากเท่าไหร่ขอรับ”
“อย่างนั้นรึ?”
เคานต์เตสวิโอแลนเริ่มยิ้ม
“ถ้าเช่นนั้น..แม่ก็โล่งอก”
‘อะไรนะ?’
คาร์ลไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกขนลุกเมื่อมองไปที่วิโอแลน เขาซ่อนความสับสนของตนเอาไว้เมื่อเริ่มพูด
“ตอนนี้ท่านแม่ให้มุลเลอร์หยุดพักใช่มั้ยขอรับ?”
‘มุลเลอร์’ ครึ่งคนแคระครึ่งสัตว์อสูรเผ่าหนู คาร์ลได้ข่าวมาว่ามุลเลอร์ได้หยุดพักผ่อนในคฤหาสน์แห่งนี้หลังจากสร้างเรือเสร็จ เคานต์เตสผู้รับผิดชอบดูแลงานประติมากรรมและงานก่อสร้างของอาณาเขตจ้องไปที่ลูกเลี้ยงของตนก่อนจะเริ่มพูด
“แม่จะส่งเขาไปที่หมู่บ้านแฮร์ริส”
เธอเข้าใจเจตนาของคาร์ลได้อย่างง่ายดาย
“ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือขอรับ”
“ไม่เป็นไรหรอก..แม่ต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว”
คาร์ลจบการสนทนากับเคานต์เตสวิโอแลนอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้ากลับไปยังห้องหนังสือ เมื่อมาถึงก็เจอกับลิลลี่น้องสาวคนเล็กของเขาที่มายืนรออยู่หน้าห้อง
~ มนุษย์!..น้องสาวของเจ้าดูแข็งแรงมากเลย!~
‘ใช่..เธอเป็นแบบที่ราอนพูด’
ตอนนี้ดาบของลิลลี่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม เธอมีดาบยาวเหน็บอยู่ที่เอวในขณะที่ด้านหลังก็มีดาบอีกอันเหน็บอยู่เช่นกัน เธอดูน่าเกรงขามมาก
“ท่านพี่!”
คาร์ลลูบศีรษะของลิลลี่เบาๆเมื่อเธอเดินมาถึงตัวเขาแล้ว
“เจ้าดูพัฒนาขึ้นเยอะเลย”
ลิลลี่ยิ้มเขินๆเมื่อได้รับคำชมจากคาร์ล เมื่อเทียบกับคาร์ลที่มีผิวขาวละเอียดเพราะไม่ชอบออกแดดสำหรับลิลลี่นั้นผิวกลับดำคล้ำราวกับฝึกฝนภายใต้แสงแดดตลอดเวลา เธอยังดูสูงเมื่อเทียบกับอายุของเธอ คาร์ลสามารถสัมผัสได้ถึงความพยายามที่เธอใส่เข้าไปด้วย
“ลิลลี่..เจ้ากลายเป็นคนที่แข็งแรงที่สุดในบรรดาพี่น้องเราแล้วล่ะ”
ลิลลี่พยักหน้ารับคำอย่างกระตือรือร้น
“น้องจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อคอยปกป้องอาณาเขตของเรา!”
“เยี่ยม!”
คาร์ลเอ่ยชมลิลลี่จากใจจริง
“พี่รู้ว่าเจ้าต้องทำได้..ดาบคู่ก็ดูเหมาะกับเจ้าดีนี่”
“อืม..อาจารย์ของน้องบอกไว้ว่าการป้องกันนั้นยากกว่าการโจมตี..ดังนั้นน้องจะเป็นอัศวินผู้เรียนรู้วิธีป้องกันที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้ได้!”
ถึงแม้ลิลลี่จะยังเด็กแต่เธอก็ได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ชายของเธอได้ทำไว้ โดยเฉพาะสิ่งที่พี่ชายคนโตของเธอผู้นี้ได้ลงมือทำ นอกจากอาจารย์ของเธอจะเล่าเรื่องพี่ชายทั้งสองของเธอให้ฟังแล้วเขายังสอนเธออีกเรื่องด้วย
‘ลิลลี่เมื่อครั้งที่อาจารย์ทำหน้าที่เป็นอัศวินอยู่ในอาณาเขตเล็กๆแห่งหนึ่ง..มีสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่อาจารย์ได้เรียนรู้’
‘มันคืออะไรหรือเจ้าคะ?’
‘ประตูจะต้องแข็งแกร่ง’
‘ประตู?’
‘ใช่..มันคือประตู..หากประตูแข็งแกร่งมันก็จะสามารถปกป้องทางเข้าอาณาเขตเพื่อไม่ให้ใครสามารถเข้ามารุกรานได้..ดังนั้นคนที่อยู่ด้านในก็จะไม่รู้สึกกลัว’
‘ถ้าเช่นนั้น..ข้าควรเป็นอัศวินที่ทำหน้าที่เหมือนประตูเหล่านั้นหรือเจ้าคะ?’
“ใช่..เจ้าจะต้องกลายเป็นประตูที่แข็งแกร่งกว่ากำแพงปราสาท”
ลิลลี่แบ่งปันสิ่งนี้ให้กับพี่ชายคนโต
“น้องจะต้องเป็นอัศวินที่เปรียบเสมือนประตูให้ได้!”
คาร์ลชะงักเมื่อนึกสงสัยในสิ่งที่เธอกำลังพูดก่อนจะพยักหน้าช้าๆเมื่อคิดว่าเด็กย่อมมีจินตนาการที่สดใสเสมอ
“อืม..พยายามเข้าล่ะและอย่าหักโหมตัวเองเกินไป”
“เจ้าค่ะ!”
คาร์ลยืนมองลิลลี่ที่เดินจากไปพร้อมความตื่นเต้นเต็มใบหน้าก่อนจะเปิดประตูเข้าสู่ห้องหนังสือของตน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“…ฟรีเซีย..ไม่เจอกันนานเลยนะ”