บทที่ 185 นายน้อย ท่านนี่มัน…. 4 (1)
ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้อง
อันโตนิโอก้มมองมือที่กำแน่นของตนเองก่อนจะคลายออกช้าๆ เขาจ้องไปที่ฝ่ามืออันว่างเปล่าของตนเองและตระหนักได้ถึงบางอย่างจากการพูดคุยในครั้งนี้
เขาคิดได้อย่างไรว่าที่คาร์ลเรียกร้องให้มีการพูดคุยกันในครั้งนี้ก็เพราะคาร์ลกำลังจะใช้ประโยชน์จากอำนาจที่เขามีเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวคาร์ลเอง?
อันโตนิโอรู้สึกว่ามีหน้ากากอยู่บนฝ่ามือของเขา ชื่อของหน้ากากนั้นคือ ‘ขุนนาง’ นี่เขาเองก็กำลังสวมหน้ากากเป็นขุนนางที่ดีอยู่ใช่หรือไม่?
เขาเงยหน้ามองคาร์ลและเอ่ยขึ้น
“ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ให้เราเปิดประตู?”
ความกังวลในใจของเขาเริ่มปรากฏเมื่อตั้งคำถามนี้แก่คาร์ล
‘จงเปิดประตูสู่จักรวรรดิหากทางอาณาจักรโรมันต้องการ’
มันเป็นประโยคที่ค่อนข้างอันตรายหากเข้าใจไปในทางที่ผิด มันอาจตีความได้ว่าอาณาจักรโรมันกำลังจะประกาศศึกกับจักรวรรดิ
“นายน้อยอันโตนิโอ”
อย่างไรก็ตามคาร์ลกลับตั้งคำถามกับอันโตนิโอแทน
“ท่านกังวลว่าองค์ชายรัชทายาทจะทำสงครามกับจักรวรรดิงั้นรึ?”
อันโตนิโอคิดเช่นนั้นจริงๆ เขากังวลว่าองค์ชายรัชทายาทจะทำสงครามกับจักรวรรดิและอาณาจักรอื่นๆ เขามองเห็นมุมปากของคาร์ลยกสูงขึ้น
“ข้าคิดว่าตัวเองพูดค่อนข้างชัดนะ”
คาร์ลจึงทวนประโยคก่อนหน้าอีกครั้ง
“หากเมื่อใดที่อาณาจักรของเราต้องการ”
ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาทแต่เป็นอาณาจักร ทั้งสองอย่างนี้มีความหมายต่างกัน
อย่างไรก็ตามอันโตนิโอไม่สามารถมองเห็นความต่างนั้นได้จนคาร์ลต้องขยายความให้เขาฟัง
“ตระกูลกิลล์ต่างทำงานอย่างหนักเพื่ออาณาจักรของเรา..ท่านเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”
‘ทำงานเพื่ออาณาจักรของเรา’
ประโยคเหล่านี้ก้องอยู่ในใจของอันโตนิโอ ท่าทางของเขาเริ่มเปลี่ยนไปและสีหน้าก็ดูเครียดขึ้นกว่าเดิม
ต้องมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นจนทำให้อาณาจักรโรมันต้องเปิดประตูสู่ชายแดนจักรวรรดิ มันย่อมหมายความว่าจักรวรรดิกำลังทำสิ่งที่น่ากลัวจนอาณาจักรโรมันไม่สามารถนิ่งเฉยได้
‘เมื่อใดที่อาณาจักรของเราต้องการ’ ความหมายของมันไม่ได้หมายถึงความต้องการของเหล่าเชื้อพระวงศ์เท่านั้นแต่มันรวมถึงความต้องการของเหล่าขุนนางและประชาชนทั้งหมดอีกด้วย
‘..จักรวรรดิคิดจะทำสิ่งใด?’
ตระกูลกิลล์รับผิดชอบดูแลภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่มีอาณาเขตติดกับจักรวรรดิมากที่สุด แม้ว่าเขาจะเป็นทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลแต่อันโตนิโอก็คิดไม่ออกว่าจักรวรรดิวางแผนทำสิ่งใดจนอาจทำให้เกิดสถานการณ์รุนแรงเช่นนั้นได้
เขาเอ่ยเรียกคาร์ลทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองขาดข้อมูลสำคัญจนอาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ในอนาคต
“นายน้อยคาร์ล–”
“ท่านต้องคิดให้ออกเอง”
อันโตนิโอจึงไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าจักรวรรดิคิดทำสิ่งใดเมื่อคาร์ลเอ่ยตัดบทเช่นนี้ เขาไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ จุดอ่อนของเขาที่อยู่ในกำมือคาร์ลทำให้เขาต้องระวังตัวอย่างหนักในการซักถามหรือพูดสิ่งใดออกไป
นอกจากนี้มันยังดูเหมาะมากกว่าหากให้ตระกูลกิลล์เป็นผู้หาคำตอบในเรื่องนี้เอง
อาจเป็นไปได้ที่เขาจะหาคำตอบว่าจักรวรรดิคิดทำสิ่งใดด้วยตัวเองหรือไม่ก็หาตัวเลือกอื่น
“…ถ้าเช่นนั้นข้าอาจทูลถามองค์ชายรัชทายาท”
เขาต้องการหาคำตอบจากคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าดยุก อันโตนิโอมองไปที่คาร์ลซึ่งพยักหน้ายอมรับในสิ่งที่เขาพูด เขาตัดสินใจที่จะสืบข้อมูลของจักรวรรดิอย่างลับๆและปรับปรุงการป้องกันชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ให้รัดกุมมากขึ้น
นั่นคือสิ่งที่คาร์ลต้องการ
เขาต้องการให้อันโตนิโอเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องการให้อันโตนิโอสืบข้อมูลของจักรวรรดิเช่นกันและที่สำคัญที่สุดเขาต้องการให้อันโตนิโอสนใจความเป็นไปของอาณาจักรมากกว่าการแสวงหาอำนาจให้กับตนเอง มันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวคาร์ลหากมีขุนนางสักคนหนึ่งมีพฤติกรรมเช่นนี้
คาร์ลทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาและสบตาเข้ากับอันโตนิโอ
“ข้าหวังว่าท่านจะตัดสินใจได้ถูกต้องหลังจากที่ทบทวนเรื่องทั้งหมดแล้ว”
คาร์ลไม่มีเรื่องที่จะต้องพูดอีกต่อไป ความต้องการของเขาทั้งหมดจบลงหลังจากพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะขู่อันโตนิโอออกไปเช่นกัน
“เอกสารเหล่านี้เป็นเพียงสำเนาเท่านั้น ตัวจริงทั้งหมดยังอยู่ในมือของข้า ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจอย่างไรจงอย่าลืมว่าความลับของอาณาเขตกิลล์อยู่ในกำมือของข้า”
“เฮ้อ..”
อันโตนิโอถอนหายใจพร้อมกับรอยยิ้ม
การกระทำดังกล่าวทำให้คาร์ลเริ่มขมวดคิ้ว อันโตนิโอกำลังยิ้มหลังจากที่ถูกข่มขู่อย่างนั้นหรือ?
‘..มันแปลกเกินไป’
คาร์ลคิดว่าอันโตนิโอกำลังปรามาสเขาในใจว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคดหรืออะไรก็ตามแต่ที่เขาสามารถนึกขึ้นมาได้แต่อันโตนิโอกลับแต้มยิ้มบนใบหน้าเสียอย่างนั้น
‘ทำไมเขาถึงยิ้มออกล่ะ?’
ในขณะที่คาร์ลรู้สึกสับสน อันโตนิโอกลับรู้สึกโล่งใจ
‘ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ท่านย่าพูดจะเป็นเรื่องจริง’
ขุนนางที่ใช้จุดอ่อนของผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ต่ออาณาจักรถือเป็น‘ขุนนางอย่างแท้จริง’ อันโตนิโอรู้สึกว่าในใจของเขากระจ่างชัดขึ้นเมื่อพบกับ‘ขุนนางที่แท้จริง’
“สมกับที่ท่านเป็นขุนนาง..นายน้อยคาร์ล”
“แน่นอน?”
คาร์ลเห็นว่าอันโตนิโอเข้าใจในตัวตนของเขาแล้ว
‘ฉันคงผ่านเกณฑ์เขาแล้วสินะ’
การที่อันโตนิโอเอ่ยปากว่าเขาเป็นขุนนางย่อมหมายความว่าอันโตนิโอประทับใจในตัวเขาไม่น้อย
‘องค์ชายรัชทายาทจะเป็นคนจัดการเรื่องที่เหลือ’
องค์ชายอัลเบิร์กจะรู้ว่าต้องทำเช่นไรกับอันโตนิโอเมื่อเห็นเอกสารทั้งหมดที่เขามอบให้ คาร์ลรู้สึกพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน อย่างไรก็ตามกลับมีบางอย่างที่ต่างไปจากที่คาร์ลคาดเอาไว้
“ตอนนี้ท่านคงยุ่งน่าดู..ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”
คาร์ลได้ยินเสียงของอันโตนิโอดังขึ้นเมื่อเขากำลังจะเดินออกจากห้องเพื่อกลับไปพักผ่อนยังห้องนอนอีกห้องที่คฤหาสน์กิลล์จัดไว้ให้
“ขอบคุณท่านมากนายน้อยคาร์ล”
“..อะไรนะ?”
คาร์ลหันกลับมาด้วยความตกใจ
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
อันโตนิโอกำลังส่งยิ้มให้กับคาร์ล มันเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาจนคาร์ลรู้สึกแปลกๆ การเห็นอันโตนิโอมีความสุขเช่นนี้มันค่อนข้างตรงข้ามกับสิ่งที่คาร์ลคาดเอาไว้
‘..หรือว่าฉันควรข่มขู่และเรียกร้องอะไรจากเขามากกว่านี้?’
คาร์ลไม่ได้เรียกร้องเอาสิ่งของมีค่าจากตระกูลกิลล์แบบที่ขุนนางส่วนใหญ่ทำ เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ส่งยิ้มฝืนๆไปให้อันโตนิโอและรีบเดินออกจากห้องทันที
ในแต่ละวันเขาสามารถทำภารกิจที่ตัวเองวางเอาไว้ได้เป็นจำนวนมากแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีอีกหนึ่งงานที่เหลืออยู่
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องทำหลังจากนี้ เขายังไม่สามารถทำอะไรได้จนกว่าจะถึงเวลาเที่ยงคืน
ภายในห้องนอนอันกว้างใหญ่ คาร์ลกำลังเอนหลังพิงหัวเตียงด้วยท่าทางสบายๆก่อนจะหันไปมองอุปกรณ์เวทย์สื่อสารที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
~ข้าจะเชื่อมต่อมันเดี๋ยวนี้!~
ชิ้ง!
อุปกรณ์เวทย์สื่อสารเริ่มทำงานก่อนราอนจะบินไปที่มุมห้องซึ่งออนและฮงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มีอาหารวางเรียงรายอยู่ตรงหน้าเด็กๆทั้งสาม
คาร์ลหันไปมองราอนที่กำลังเคี้ยวสเต็กอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะหันมาสนใจอุปกรณ์เวทย์สื่อสารอีกครั้ง
[“คาร์ล”]
แน่นอนว่าเขาให้ราอนเชื่อมต่อสัญญาณไปหาองค์ชายอัลเบิร์ก ภารกิจสุดท้ายที่เขาต้องทำคือรายงานตัวต่อเชื้อพระวงศ์ มันเป็นสิ่งที่ต้องทำหลังจากสร้างความวุ่นวายให้กับอาณาเขตแห่งนี้
ใบหน้าขององค์ชายอัลเบิร์กที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเริ่มบึ้งขึ้น คาร์ลเข้าใจว่าอัลเบิร์กอาจไม่พอใจในตัวเขาที่เอนหลังพิงเตียงนอนด้วยท่าทางไม่สุภาพเช่นนี้ ใครจะไม่นึกโกรธหากตัวเองต้องทำงานหนักมาตลอดทั้งวันแต่กลับมาเห็นคนอื่นนอนบนเตียงอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้?
คาร์ลลูบท้องของตนที่จุกแน่นไปด้วยอาหารรสเลิศก่อนจะมองไปที่อัลเบิร์กด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย เขาจึงเริ่มเอ่ยทักอัลเบิร์กขึ้น
“องค์ชายพะย่ะค่ะ—-”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบอัลเบิร์กก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน คิ้วของอัลเบิร์กยังคงขมวดเป็นปมในขณะที่น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
[“เจ้าไม่ได้เป็นแค่ดวงดาวแห่งอาณาจักรเราเท่านั้น..แต่เจ้าเป็นดั่งแสงสว่างของอาณาจักรเราอีกด้วย”]
‘..อะไรนะ?’
สีหน้าของคาร์ลเต็มไปด้วยความประหลาดใจแต่อัลเบิร์กไม่สนใจท่าทางของคาร์ลเมื่อเริ่มปากหวานใส่คาร์ลเป็นครั้งแรก
[“เป็นเพราะแสงสว่างจากตัวเจ้าทำให้อาณาจักรโรมันไม่เกรงกลัวความมืดอีกต่อไป..เจ้าไม่ได้เป็นแค่ดาวธรรมดาๆแต่เจ้าเป็นดาวที่ส่องสว่างมากที่สุดที่ในอาณาจักรของเรา”]
‘ทำไมเขาเป็นแบบนี้ล่ะ?’
แม้ว่าจะอิ่มจนพุงกางและรู้สึกผ่อนคลายมากเพียงใดแต่เมื่อเห็นอัลเบิร์กเป็นแบบนี้ก็ทำให้เขาเริ่มหงุดหงิดได้เช่นกัน
“องค์ชายจะให้กระหม่อมไปนั่งที่โซฟาหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
คาร์ลหยัดกายลุกขึ้นนั่งหลังตรง
[“ไม่!..ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เจ้าทำตัวตามสบายเถอะ ข้าแค่ได้ยินบางอย่างมาเท่านั้น…..”]
น้ำเสียงของอัลเบิร์กไม่ได้เจือไปด้วยความเจ็บปวดอีกต่อไป ใบหน้าของเขาก็ผ่อนคลายขึ้นเมื่อส่งยิ้มสดใสให้กับคาร์ล หากใครผ่านไปผ่านมาแถวนี้อาจคิดว่าเขากำลังเดินชมทุ่งดอกไม้อันสวยงามหรือไปเจออะไรบางอย่างที่ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นอย่างฉับพลัน
อย่างไรก็ตามอัลเบิร์กกำลังรู้สึกว่าตัวเองอยู่ที่ไหนสักแห่งที่มีบรรยากาศดีกว่าทุ่งดอกไม้เป็นพันเท่า
[“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากระอักเป็นเลือดและเกือบหมดสติไปหลังจากจับผู้ลักลอบค้ามนุษย์ในอาณาเขตกิลล์?”]
“…มันก็จริงบางส่วนพะย่ะค่ะ”
เขาจัดการกับพวกค้ามนุษย์จริงแต่ไม่ได้กระอักเป็นเลือดหรือหมดสติแต่อย่างใด
[“เจ้าใช้พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณอันน่าทึ่งเพื่อจับตัวผู้ลักลอบค้ามนุษย์..เจ้าใช้โล่เงินพังบ้านของพวกเขาและช่วยเหลือประชาชนที่ถูกคุมขังเอาไว้ออกมา?”]
“..เป็นเช่นนั้นพะย่ะค่ะ”
แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแต่ก็ดูเหมือนจะพูดเกินจริงไปสักหน่อย
[“เจ้าแกล้งทำเป็นเมาและลอบสังเกตพวกเขาจากหน้าต่างร้านอาหาร..จากนั้นเจ้าก็ไปจัดการกับพวกเขาอย่างมั่นใจทั้งๆที่มีอัศวินติดตามเพียงแค่คนเดียว”]
“..พอก่อนเถอะพะย่ะค่ะ”