บทที่ 194 ทำลายมัน! 3 (2)
เชวฮันรู้สึกสับสนในขณะที่คาร์ลก็หันไปคุยกับเด็กหนุ่มหมาป่าวัยสิบห้าปีอีกครั้ง
“เจ้ายังมีครอบครัว มีบ้านให้กลับไปหาและยังมีเพื่อนใหม่อีกมากมาย..เจ้าอยู่คนเดียวหรือไง?”
เผ่าหมาป่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่รักและใส่ใจคนในครอบครัวของตนเอง อย่างไรก็ตามหมาป่าจำเป็นต้องเรียนรู้อะไรบางอย่าง
หมาป่าจำเป็นต้องรู้จักว่าตัวเองเป็นใคร
คนที่จะเป็น‘ราชาหมาป่า’จำเป็นต้องรู้จักสถานะของตนเองเพื่อความเด็ดขาดและความยิ่งใหญ่ในอนาคต
“ล็อก..เจ้าเหงาหรือเปล่า?”
แม้ว่าคาร์ลจะถามเพียงสั้นๆแต่ล็อกกลับรู้สึกต่างออกไป
‘เจ้ายังกลัวอยู่เหรอ?’
‘เจ้าอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหรือเปล่า?’
‘เจ้าบอกว่าตัวเองอย่างแกร่งขึ้นแต่ทำไมเจ้ายังทำตัวขี้อายและยังลังเลอยู่เช่นนี้?’
ล็อกมองเข้าไปในตาของคาร์ล
“ข้าจะอยู่ที่นี่”
ล็อกเห็นคาร์ลค่อยๆยิ้มออกมา
“เจ้าโตขึ้นมากจริงๆ”
ล็อกไม่สามารถตอบกลับอะไรได้ อย่างไรก็ตาม…
“ข้าไว้ใจเจ้า”
ล็อกโค้งคำนับให้คาร์ลทันทีเมื่อเขาเอ่ยว่าไว้ใจในตัวเขา ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นไดอารี่เก่าๆเล่มหนึ่งที่เปื้อนไปด้วยเลือด
“มันคือไดอารี่ของราชาหมาป่า”
‘…ราชาหมาป่า?’
หัวใจของล็อกกระหน่ำแรงขึ้น
ลุงของเขาคือหัวหน้าเผ่าหมาป่าสีน้ำเงิน เขาเสียชีวิตลงก่อนที่จะได้ขึ้นเป็นราชาแห่งหมาป่า ไดอารี่เล่มนี้ทำให้เขาคิดถึงลุงของเขา
ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกสับสน
‘ทำไมเขาถึงมอบมันให้ข้าล่ะ?’
อย่างไรก็ตามเสียงคาร์ลที่เอ่ยออกมาราวกับเวทย์มนต์เพราะมันสามารถตอบคำถามที่เขานึกสงสัยได้
“ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า”
ความเห็นเพียงสั้นๆแต่กระแทกไปทั้งใจของเขา แม้ว่าล็อกจะรู้สึกไม่มั่นใจแต่ก็ยื่นมือมารับไดอารี่มาถือเอาไว้ มันคือไดอารี่ที่ทำมาจากหนังสัตว์ เขาสัมผัสได้ถึงความเก่าและความขลังของมันก่อนจะค่อยๆกำมันแน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ
คาร์ลมองไปที่ล็อกครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสั่งคนอื่นๆที่เหลือ
“กลับกันเถอะ”
พวกเขาต้องรีบกลับอาณาจักรโรมันโดยเร็วที่สุด
.
.
.
ณ อาณาเขตที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันและเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาเขตต่างๆในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อาณาเขตวิลส์แมน
‘อีริค วิลส์แมน’ บุตรชายของเคานต์วิลส์แมนกำลังเดินออกจากห้องประชุมด้วยรอยยิ้มชวนอึดอัดใจ เขาได้ยินเสียงของขุนนางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือดังเข้ามาเป็นระยะๆ
“ถึงจะเป็นตระกูลเฮนิตัสก็เถอะ! เขามีสิทธิ์อะไรเรียกพวกเรามารวมตัวกันด่วนขนาดนี้ทั้งๆที่ตอนนี้กำลังเข้าสู่ภาวะสงครามแล้วแท้ๆ?”
“ข้าเห็นด้วย!..แล้วคนที่เรียกเรามาไม่ใช่ท่านเคานต์แต่เป็นนายน้อยคาร์ลอีกต่างหาก!..ให้ตายเถอะ! เด็กเมื่อวานซืนเป็นตัวตั้งตัวตีเรียกพวกเรามารวมตัวกันที่นี่งั้นรึ!”
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในอาณาจักรโรมันไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งดยุกหรือมาร์ควิสทำให้ภูมิภาคแห่งนี้ไม่มีผู้นำอย่างเป็นทางการ นั่นคือสาเหตุสำคัญที่พวกเขาต่างต่อสู้เพื่ออำนาจของตนเอง
มีขุนนางอีกหลายคนที่วางตัวเหมือนกับตระกูลของอีริค พวกเขาสนใจที่จะพัฒนาและความเป็นไปของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น เช่นเดียวกับตระกูลทางชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงเหนือที่นำโดยอามูร์และกิลเบิร์ต ในขณะที่กลุ่มอื่นๆเลือกที่จะติดตามดยุกหรือมาร์ควิสจากภาคอื่นๆไม่ว่าจะเป็นภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงใต้หรือภาคกลางเป็นต้น
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมองค์ชายรัชทายาทถึงไม่มีรับสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้?”
“ใช่แล้ว! หากพวกมันเคลื่อนทัพมาทางเรือมันก็ต้องผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นด่านแรก ใช่ว่าพวกมันจะบุกโจมตีเราทางอากาศเสียหน่อย”
กลุ่มที่สวามิภักดิ์ต่อขุนนางในภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคกลางคือกลุ่มที่มีปากเสียงมากที่สุดในตอนนี้ ในยามสงบคงไม่มีบารอนหรือไวส์เคานต์คนใดที่กล้าเอ่ยปากกับเคานต์ อย่างไรก็ตามพวกเขาจำเป็นต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขสถานการณ์เร่งด่วนนี้โดยเร็วที่สุดและต้องอาศัยการสนับสนุนจาก ดยุกหรือมาร์คควิสจากภูมิภาคอื่นนั่นเอง
พวกเขาพยายามที่จะเข้าควบคุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อเพิ่มฐานอำนาจให้กับกลุ่มของตนเอง
อีริคปล่อยให้พวกเขาพูดออกมาโดยไม่ขัดแต่อย่างใด ในความจริงแล้วมันแปลกเสียด้วยซ้ำที่กลุ่มขุนนางที่เลือกสวามิภักดิ์กับภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคตะวันตกเฉียงเหนือยังคงพากันนั่งเงียบ
‘แปลกยิ่งนัก’
ตระกูลสแตนคือผู้นำทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งตอนนี้บริหารงานโดยเทย์เลอร์ สแตน
ตระกูลกิลล์คือผู้นำทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งตอนนี้บริหารงานโดยอันโตนิโอ กิลล์
กลุ่มขุนนางที่เลือกติดตามทั้งสองตระกูลนี้พากันนั่งเงียบแม้จะมีสีหน้าเคร่งเครียดเพียงใดก็ตาม หากให้พูดชัดขึ้นต้องบอกว่าพวกเขาดูเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่าง
‘เกิดอะไรขึ้น?’
มันแปลกเป็นอย่างมากแต่เขาต้องรีบออกจากห้องประชุมในตอนนี้เพราะเขายังคงเป็นเพียงเด็กที่ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เต็มที่ ก่อนที่เขาจะปิดประตูลงเขาได้ยินเสียงของขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยวิจารณ์บางอย่างอยู่
“เขาคิดว่าตัวเองสามารถเข้ามายุ่งเรื่องนี้ได้เพราะเราชื่นชมชมเขาในฐานะนายน้อยโล่เงินอย่างนั้นหรือ?”
มันคือคำวิจารณ์ที่มีต่อคาร์ล
เอริคปิดประตูลงพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นทันที
‘จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ?’
เคานต์เดอรัช เฮนิตัส เรียกรวมพลขุนนางภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยด่วน
‘มากำหนดศูนย์กลางของภูมิภาคกันเถอะ’
พวกขุนนางมีปฏิกิริยาตอบรับกับข้อความดังกล่าวทันที
‘สงคราม’ คำนี้ยังมีอีกหนึ่งความหมายเพราะมันคือโอกาสที่กลุ่มขุนนางต่างๆจะก้าวเข้ามามีอำนาจเหนือทุกคนในภูมิภาคแห่งนี้
อย่างไรก็ตามเคานต์เดอรัชผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดประชุมครั้งนี้กลับส่งคาร์ลมาเป็นตัวแทน อีริคแทบนอนไม่หลับเมื่อรู้ข่าวนี้ แม้ว่าคาร์ลจะไม่ได้ทำตัวเหมือนขยะไร้ค่าอีกต่อไปแต่เขาก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี
นั่นคือเหตุผลที่เขาส่งข้อความผ่านอุปกรณ์เวทย์สื่อสารไปหาคาร์ลตลอดแต่ก็ไม่ได้รับข้อความใดๆกลับคืนมา
สุดท้ายอีริคก็ตัดสินใจเอ่ยถามจากองครักษ์ประจำตระกูลเฮนิตัสที่ยืนอารักขาอยู่บริเวณโถงทางเข้า
“ฮิลส์แมน…นายน้อยคาร์ลจะเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อไหร่?”
“กระผมไม่แน่ใจขอรับนายน้อยอีริค”
คำตอบนิ่งๆของรองหัวหน้าองครักษ์ฮิลส์แมนทำให้อีริคเริ่มปวดหัว ประโยคที่อามูร์เคยพูดกับเขาก็ลอยเข้ามาในหัวของเขาเช่นกัน
‘นายน้อยอีริค..ท่านไม่ต้องกังวลกับนายน้อยคาร์ลไปหรอกน่า..ข้าขอสารภาพกับท่านตามตรงเลยนะ..ว่าข้ากำลังรอดูว่านายน้อยคาร์ลจะทำอะไร’
สายตาของเธอเป็นประกายคมชัดราวกับรอสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น
“เฮ้อ…จริงๆเลย!”
อีริคขยี้ผมของตนอย่างหงุดหงิดและไม่สามารถซ่อนความกังวลของตนไว้ได้
“คาร์ล..เจ้านี่มัน—–!”
“กำลังพูดถึงข้าอยู่หรือ?”
อีริคสะดุ้งโหยง
ตึก!ตึก!ตึก!ตึก!
เสียงรองเท้าที่กระทบกับหินอ่อนดังไปทั่วบริเวณ นั่นทำให้อีริคหันหลังกลับไปมองทันที
เขามองเห็นคาร์ลกำลังเดินทอดน่องเข้ามาจากโถงทางเข้า คาร์ลดูสงบและเต็มไปด้วยความผ่อนคลายยิ่งนัก จังหวะที่คาร์ลค่อยๆสาวเท้าก้าวเข้ามาดูเหมาะกับเขามากกว่าใครๆ
คาร์ลเดินผ่านอีริคไปทันทีแม้จะรู้ว่าอีริคเพียรส่งข้อความไปหาเขานับครั้งไม่ถ้วนเพราะกังวลกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น
“เอาไว้เราค่อยคุยกันทีหลังแล้วกัน”
อีริคหันกลับมามองแผ่นหลังของคาร์ลทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว
คาร์ลเปลี่ยนไป แม้ว่าอีริคจะบอกไม่ได้ว่าอะไรที่ทำให้คาร์ลดูเปลี่ยนไปแต่เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ นั่นทำให้เขาไม่สามารถตอบอะไรคาร์ลได้ในทันที
แน่นอนว่าคาร์ลรู้สึกมีความสุขที่ไม่ต้องทนฟังเสียงบ่นของอีริค คาร์ลเตรียมเปิดประตูห้องประชุมด้วยตัวเอง มันเป็นประตูขนาดใหญ่ทำให้อัศวินที่คอยอารักขาหน้าประตูพุ่งตัวมาหาเขาอย่างรีบร้อน
“นายน้อย! เดี๋ยวกระผมเปิดให้ขอรับ!”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าเปิดมันเอง”
คาร์ลผลักประตูเข้าไปทันที
ปั้ง! เอี๊ยดดด!!!
เสียงดังก้องไปทั่วห้องประชุม
คาร์ลเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับเสียงที่ยังคงสะท้อนไปทั่วพื้นที่
ตึก!ตึก!ตึก!ตึก!
ตอนนี้มีเพียงคาร์ลคนเดียวที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง เสียงรองเท้าที่กระทบหินอ่อนของเขาดังขึ้นเรื่อยๆทำให้สายตาของขุนนางภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมดจ้องมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียง
คาร์ลกวาดสายตาไปมองขุนนางที่พากันนั่งล้อมรอบอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก