บทที่ 201 มหาสมุทรคือ… 1 (1)
ตึกตึกตึกเตึก!
คาร์ลเร่งฝีเท้าเดินไปตามบันไดหินอย่างรวดเร็ว บาเซ็นผู้เป็นน้องชายก็เดินมาพร้อมกับคาร์ลเพื่อรายงานข้อมูลที่เขาทราบมาให้คาร์ลฟังโดยละเอียด
“เผ่าวาฬพบเรือของศัตรูบริเวณจุดผ่านแดนที่หนึ่งของมหาสมุทรตะวันออกเฉียงเหนือ”
จุดผ่านแดนที่หนึ่งของมหาสมุทรตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณดังกล่าวเป็นเส้นพรมแดนระหว่างอาณาจักรนอร์แลนด์และป่าแห่งความมืด
“พวกเขาเคลื่อนไหวเร็วมาก.คาดว่าจะเดินทางมาถึงเขตอาณาจักรโรมันในอีก2-3วันขอรับ”
บาเซ็นลอบสังเกตพี่ชายของตนเงียบๆ
“เขายังไม่ได้เช็ดเลือดออก…!”
คาร์ลยังคงทําตัวตามปกติทั้งๆที่มีคราบเลือดติดอยู่ บาเซ็นขบฟันแน่นเมื่อเห็นว่าคาร์ลต้องรีบมาจัดการเรื่องต่างๆโดยไม่มีเวลาให้สนใจตนเอง บาเซ็นสูดหายใจลึกเมื่อคิดว่าสงครามยังไม่จบและไม่สามารถรอต่อไปได้เช่นกันเขาจึงเอ่ยรายงานให้คาร์ลฟังต่อ
“ตอนนี้ท่านอัลบาและท่านกิลเบิร์ตกําลังขอกําลังเสริมขอรับ”
หลังจากได้ฟังรายงานจากบาเซ็นแล้วคาร์ลก็เริ่มพูด
“องค์ชายพะย่ะค่ะ”
[“ว่าอย่างไร?”]
ในมือของบาเซ็นยังคงถืออุปกรณ์เวทย์สื่อสารเอาไว้ มันเชื่อมสัญญาณไปยังองค์ชายอัลเบิร์กโดยตรง ส่วนเคานต์เดอรัชนั้นกําลังจัดการกับขุนนางคนอื่นๆในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและตัวแทนจากอาณาจักรอื่นๆที่ติดต่อเข้ามา
อัลเบิร์กมองไปที่คาร์ล เขาเห็นใบหน้าเหนื่อยล้าและเต็มไปด้วยคราบสกปรกต่างๆ ร่องรอยที่ปรากฏบนใบหน้าและร่างกายของคาร์ลถือเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นศูนย์กลางในการต่อสู้
นั่นทําให้อัลเบิร์กรู้สึกแย่พร้อมกับกําหมัดแน่นทันที
แน่นอนว่าคาร์ลไม่ได้คิดสนใจในประเด็นนี้เพราะในหัวของเขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
ฉันหิว..
โล่นิรันดร์กาลจอมตะกละต้องการเติมพลังด้วยการกินอาหารมากขึ้นหลังจากหลอมรวมเข้ากับพละกําลังแห่งดวงใจแล้ว คาร์ลต้องรีบจัดการธุระต่างๆให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อที่ตัวเองจะได้ไปหาอะไรกินสักที
“กระหม่อมขอให้พระองค์ส่งกองกําลังนักเวทย์และกองพันอัศวินทะลวงฟันไปยังชายฝั่งทะเลอัลบาด้วยพะย่ะค่ะ”
[“ได้สิ มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องทําอยู่แล้ว”]
“แล้วพระองค์คิดจะทําอะไรกับเผ่าวาฬหรือพะย่ะค่ะ?”
“ข้ายังลังเลอยู่ว่าจะให้เผ่าวาฬร่วมต่อสู้กับพวกเราหรือจะให้พวกเขาช่อนตัวเพื่อคอยช่วยเหลือเราอยู่ห่างๆข้าไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของพวกเขา”]
ตึก!
คาร์ลหยุดเดิน
“องค์ชายพะย่ะค่ะ.กระหม่อมรู้ดีว่ามีอีกหลายอย่างที่พระองค์อยากทราบแต่กระหม่อม จะติดต่อกลับไปหาพระองค์ในภายหลังพะย่ะค่ะ”
[“เอาล่ะๆ เอาเป็นว่าข้าเข้าใจแล้ว”]
“บาเซ็น.รีบไปช่วยท่านพ่อเร็ว”
หากบาเซ็นต้องขึ้นเป็นผู้นําอาณาเขตคนต่อไปเขาก็จําเป็นที่จะต้องเรียนรู้เรื่องต่างๆให้ได้มากที่สุดและสงครามในครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะช่วยสอนบาเซ็นได้เช่นกัน คาร์ลจ้องสีหน้าแปลกๆของบาเซ็นที่ยังไม่ขยับตัวไปตามที่เขาสั่งเสียที ส่วนบาเซ็นนั้นเบนสายตาไปมองสถานที่ที่พวกตนเพิ่งเดินมาถึงและเอ่ยขึ้น
“ท่านพี่..ทําไมท่านต้องพยายามทํางานที่ยากและก็ลําบากเช่นนี้ด้วยล่ะ?”
สถานที่แห่งนี้ถูกปิดตายมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว
มันคือคุกใต้ดิน
เขามองเห็นแสงจางๆจากด้านใน บาเซ็นพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจพี่ชายคนนี้ได้แล้ว ทําไมพี่คาร์ลต้องส่งเขาออกไปทําหน้าที่อื่นด้วยนะ?
“ทําไม?! ทําไม?! ทําไมเขาถึงพยายามจะทําทุกอย่างด้วยตัวเองเสมอ…!”
บาเซ็นพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจความคิดของคาร์ลได้
อย่างไรก็ตามคาร์ลเองก็มีความคิดที่ตรงข้ามกับบาเซ็นเช่นกัน เขากําลังคิดว่ามันช่างยากจริงๆที่จะเข้าใจมุมมองของบาเซ็นได้
งานที่ยากและลําบากงั้นหรือ?..ฉันไม่อยากข้องเกี่ยวกับอาณาเขตอื่นๆและคอยรับมือกับพวกวิหารต่างๆที่จะติดต่อเข้ามาหรอกนะ.ฉันมาที่นี่เพื่อมาทํางานที่มันง่ายกว่าต่างหาก”
คาร์ลก็แค่บ่นอะไรที่มันอยู่ในใจเพราะเขาไม่เข้าใจมุมมองของบาเซ็นเลยสักนิด
“มันไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้นหรอกนะ..งานแบบนี้เหมาะกับพี่มากกว่าเจ้ารีบกลับไปช่วยงานท่านพ่อเถิด”
บาเห็นอ้าและหุบปากของตนอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี
“คนแบบไหนกันนะที่เหมาะกับงานทรมานคนอื่นเช่นนี้?”
คาร์ลกําลังเค้นเอาข้อมูลและทรมานใครบางคนอยู่
บาเซ็นกําลังคิดว่าพี่ชายผู้อบอุ่นและใจดีผู้นี้กําลังทํางานอย่างหนักเพื่อช่วยเหลืออาณาเขตของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีคําว่าไม่ชอบและไม่เหมาะกับงานประเภทนี้
“ ก็ได้ขอรับหากท่านพี่ต้องการเช่นนั้น”
บาเซ็นหันหลังกลับทันที
ความคิดต่างๆกําลังหลั่งไหลในหัวของบาเซ็น เขาเข้าใจว่าทําไมพี่ชายของเขาถึงเลือกทํางานนี้ด้วยตัวเองแม้ว่าเขาและพ่อของเขาจะว่างอยู่ก็ตาม
อย่างน้อยเขาก็เข้าใจบางอย่าง
“ข้ายังเด็กอยู่”
บาเซ็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีตระหนักได้ว่าเขายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้เพื่อจะได้เหมือนคนอื่นๆที่อยู่รอบกายพี่ชายของตน เขาต้องการที่จะเติบโตอย่างมีคุณภาพโดยไม่เป็นภาระให้กับพี่ชายของเขาไม่มีมีสักวินาทีเดียวที่บาเซ็นจะหันหลังกลับไปมองด้านหลัง เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินขึ้นบันไดหินเพื่อออกจากคุกใต้ดินไปในที่สุด
คาร์ลเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าบาเซ็นลับสายตาไปแล้ว
“พายแอปเปิ้ล”
อุ้งเท้าเล็กๆปรากฏขึ้นกลางอากาศพร้อมกับพายแอปเปิ้ลหนึ่งชิ้น คาร์ลเริ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นสภาพของพายแอปเปิ้ล
“อะไรกัน? ทําไมพายแอปเปิ้ลถึงขึ้นแบบนี้ล่ะ?”
พายแอปเปิ้ลดูเหมือนจะเปียกน้ำ คาร์ลได้ยินเสียงพึมพําของราอนแว่วเข้ามา
“ข..ข้าไม่ได้ร้องไห้นะ”
“เฮ้อ”
คาร์ลถอนหายใจให้กับคําตอบของราอน
“ถ้าเจ้าไม่ชอบเดี๋ยวข้าไปเอาอันใหม่มาให้มนุษย์ถ้าเจ้าไม่ต้องการก็อย่ากินมันเลย..พายแอปเปิ้ลจากมังกรที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมและไม่ได้ยิ่งใหญ่เช่นข้าไม่ได้ดูน่ากินเลยสักนิด”
คาร์ลถอนหายใจก่อนจะยัดพายแอปเปิ้ลเข้าปาก เขาไม่สามารถโยนทิ้งสิ่งที่เด็กหกขวบตั้งใจมอบให้ได้ อีกอย่างเขายังหิวเกินไปอีกด้วย ท้องของเขาว่างจนสามารถกินช้างได้ทั้งตัว
“ตอนนี้แม้แต่ขนมปังขึ้นราฉันก็สามารถกินมันได้
เขาคิดแบบนั้นจริงๆ ความอยากอาหารยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโล่นิรันดร์กาลรวมตัวเข้ากับพละกําลังแห่งดวงใจ ไม่ได้หมายความว่าพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณทั้งสองรวมตัวเข้ากันอย่างถาวร
พลังทั้งสองยังคงแยกการทํางานเพียงแต่ตอนนี้มีการเชื่อมต่อของพลังทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน หากเปรียบโล่นิรันดร์กาลเป็นคนๆหนึ่งพละกําลังแห่งดวงใจก็คือหัวใจของคนผู้นี้
แจ๊บๆๆๆ!
เสียงเคี้ยวพายแอปเปิ้ลยังคงดังต่อเนื่องแม้แต่ตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไปก็ตาม
เอี้ยดดดด!!
เขากลืนพายแอปเปิ้ลคําสุดท้ายลงคอก่อนที่เสียงฟาดแส้จะดังแหวกอากาศขึ้นมา
เพี้ยะ!!
“อ้ากกกกกก!!”
เลือดสาดกระเซ็นใส่ผนังทันที มีคราบเลือดขนาดใหญ่ติดอยู่บนผนังอยู่แล้วจึงไม่สามารถทราบได้ว่ารอยเลือดไหนที่เป็นรอยเลือดใหม่กัน
“อ่า…มาถึงแล้วหรือขอรับนายน้อย?”
รอนหันมาทักคาร์ลด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนที่รอยยิ้มจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเหลือทิ้งไว้เพียงสายตาเย็นชาเมื่อเขากวาดสายตามองคาร์ลตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ทําไมสายตาของตาเฒ่าคนนี้ถึงดูน่ากลัวขนาดนี้ล่ะ?”
คาร์ลรู้สึกว่าตัวเองตัวหดเล็กลงเมื่อเจอสายตาของรอนจ้องเช่นนี้ จากนั้นหัวใจของเขาก็หล่นไปกองที่ตาตุ่มทันที
รอนหยิบมีดสั้นขึ้นมาก่อนจะขว้างออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉึก!
“อ้ากกกกกกกก!!!”
มีดสั้นปักลงไปบนหัวไหล่ของชายผู้ถูกทรมานก่อนที่เลือดจะกระฉุดออกมาอีกครั้ง คาร์ลหลบ สายตาที่รอนจ้องมาและหันไปมองบารอคที่ยังคงสวมถุงมือสีขาวถึงสี่คู่พร้อมกับฟาดแส้ใส่ร่างของชายผู้นี้อย่างต่อเนื่อง ท่าทางไร้อารมณ์ของบารอคสมกับที่เป็นทั้งพ่อครัวและนักทรมานมือฉมังยิ่งนัก
การประสานงานของคู่หูพ่อลูกเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีรอยเลือดกระเซ็นโดนตัวคนทั้งคู่แม้แต่น้อย หนึ่งในคู่หูหันมาเอ่ยกับคาร์ล
“เรากําลังคุยกับเขาตามที่นายน้อยสั่งขอรับ”
“อึ่ก !! ฮึกก…”
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับสูดเอาลมหายใจเข้าปอดของคนผู้หนึ่งดังขึ้น คาร์ลเห็นเส้นผมสีขาวของเขาถูกชโลมด้วยเลือดกรังจนกลายเป็นสีแดงเข้ม
อัศวินผู้พิทักษ์โคลเปย์ เซคก้า
เขาตกอยู่ในกํามือของคาร์ลแล้ว
คู่หูพ่อลูกตามไปจับตัวเขาและลากเข้ามาไว้ในคุกใต้ดินทันทีที่เชวฮันสามารถเอาชนะเขาได้ รอนส่งยิ้มให้คาร์ลพลางเอ่ยขึ้น
“เรายังทําให้เขามีชีวิตอยู่”
“เอ่อ…ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็เพียงพอแล้วสินะ”
เสียงของราอนดังเข้ามาในหัวคาร์ลทันที
เยี่ยมไปเลยเท่านปู่รอนกับบารอคเก่งจริงๆ
คาร์ลเพิกเฉยกับคําพูดของราอน
ขาทั้งสองข้างของโคลเปย์ถูกสับเป็นท่อนๆ มันเละและผิดรูปไม่ต่างจากเนื้อสับติดกระดูกเลยสักนิด แขนทั้งสองก็ไม่เหลือติดร่างเอาไว้ แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่
นี่เป็นภาพที่น่ากลัวราวกับหลุดออกมาจากฝันร้าย หากตายไปยังจะดีเสียกว่าต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
รอนยังคงพูดต่อไป
“นายน้อยขอรับเมื่อกระผมเห็นว่าเขาไม่รู้วิธีในการควบคุมไวย์เวิรน์จึงไม่คิดว่าเขาจะมีประโยชน์ต่อเราสักเท่าไหร่..ดังนั้นกระผมเลยปล่อยให้เขายังมีชีวิตอยู่แค่พอพูดคุยกับเราได้ก็พอ.กระผมทําได้ดีใช่มั้ยขอรับ?”
คาร์ลตอบด้วยความสัตย์จริง
“ใช่..ทําได้ดีมาก”
รอนทําได้ดีจริงๆ
“เขายังมีสติใช่มั้ย?”
“ขอรับ”
คาร์ลพยักหน้าให้กับคําตอบนิ่งๆของบารอคก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้โคลเปย์
“แฮ่กแฮ่ก!!!”
โคลเปย์เริ่มหายใจติดขัด เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างในทุกๆครั้งที่หายใจเข้า อย่างไรก็ตามความเจ็บปวดก็ค่อยๆหายไปเช่นกัน นั่นเป็นเพราะความกลัวจู่โจมเข้าจับหัวใจของเขาจนลืมแม้กระทั่งความเจ็บปวด
“ข้ากําลังจะตายข้าจะตายแบบนี้จริงๆอย่างนั้นหรือ?”
มันไม่ใช่เรื่องสําคัญกับเขาอีกต่อไปว่าดินแดนชนบทเช่นนี้ทําไมถึงมีผู้เชี่ยวชาญด้านการทรมานและนักฆ่าอยู่ด้วย สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาตอนนี้คือจะหลบหนีไปจากสถานที่ที่น่ากลัว เช่นนี้ได้อย่างไร
ทันใดนั้นเอง
“ท่านอัศวินผู้พิทักษ์”
มันเป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนเป็นอย่างมากแต่โคลเปย์ก็ไม่กล้ายกศีรษะขึ้นมองอยู่ดี
เจ้าขยะคนนี้! เจ้าของเสียงอ่อนโยนผู้นี้! เจ้าขยะคนนี้คือผู้นําตัวจริงของอาณาเขตแห่งนี้!
คาร์ล เฮนิตัส เจ้าของโล่เงิน!
เขาไม่เคยคิดว่านายน้อยที่ดูเหมือนจะเป็นคนดีจะสามารถทําเรื่องร้ายกาจเช่นนี้ได้ โคลเปย์ ถึงกับพูดไม่ออก ร่างกายทั้งร่างที่ชาจนแทบไม่มีความรู้สึกกําลังรับรู้ได้ถึงบางอย่างแก้มของเขาเริ่มสั่น
ความกลัวและการถูกควบคุม
ราวกับว่ามีคนกําลังควบคุมให้เขาอยู่ใต้อาณัติ เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับใครมาก่อนนอกจากคนผู้นี้