บทที่ 193 ทำลายมัน! 2 (1)
คาร์ลค่อยๆลืมตาขึ้น
เขาก้มลงมองใต้ฝ่าเท้าของตนเองซึ่งมีแสงไฟล้อมรอบเป็นรูปวงแหวนจากอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสาร
ฟริ้วววววว ~~~~~~
เสียงลมที่พัดเข้ามาก็ดังมากเช่นกัน
‘หุบเขาแห่งความตาย’ลมค่อนข้างแรงทีเดียว
อย่างไรก็ตามคาร์ลไม่ได้สนใจความแรงของลมและหันไปเอ่ยทักทายคนที่ยืนรอเขาอยู่
“ถวายบังคมพะยะค่ะองค์ชาย”
‘เพ็น’น้องชายคนเล็กของโรสลินและองค์ชายสี่แห่งอาณาจักรเบร็คค่อยๆหันไปมองคาร์ลอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินคำทักทายที่ดูเป็นทางการของคาร์ล
“อะแฮ่ม..เอ่อ..ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เพ็นลดสายตาไปมองกระเป๋าเสื้อของคาร์ล เขาเห็นถุงคุกกี้เหน็บอยู่ตรงนั้นพอดี นั่นทำให้เขานึกถึงร่างกายอันเปียกโชกของตนเองเมื่อครั้งที่เดินทางไปอาณาเขตเฮนิตัสเพื่อพบกับ‘โรสลิน’พี่สาวของตนอีกครั้ง ตอนที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเสียงเคี้ยวคุกกี้ของคาร์ลดังเข้ามาในหัวของเขาราวกับเสียงดนตรีประกอบ
‘เพ็น..เจ้าต้องวางตัวให้ดีไม่เช่นนั้นเจ้าอาจตายในสนามรบได้’
เพ็นนึกถึงคำแนะนำที่โรสลินเคยบอกเอาไว้ ร่างของเขาเริ่มสะท้านขึ้นก่อนที่ความเย็นเยียบจะแล่นไปทั่วแผ่นหลังของเขา เพ็นฝืนยิ้มให้กับคาร์ลที่กำลังส่งยิ้มน้อยๆมาให้เขา
ตอนนั้นเองที่เสียงของราอนดังเข้ามาในหัวของคาร์ล
~ ถ้าเจ้าลูกแมวขี้แยตัวนี้พูดจาไม่เข้าหูอีกครั้ง..เขาจะตัวไหม้ด้วยสายฟ้าแทนที่จะตัวเปียกโชกด้วยหยดน้ำเหมือนครั้งก่อน..ช่วงนี้ข้ากำลังฝึกใช้พลังสายฟ้าอยู่พอดี!~
แน่นอนว่าคาร์ลไม่สนใจสิ่งที่ราอนพูดเมื่อกวาดสายตาไปมองรอบๆแทน
มีกระโจมประมาณ 5-6 หลังที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังขององค์ชายเพ็น
ฟริ้วววววว ~~~~~~
เสียงลมก็ยังคงกระหน่ำพัดมาไม่หยุด มันถูกพัดมาจากหุบเขาแห่งความตาย
สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหุบเขาแห่งสายลมที่มีลมพัดผ่านตลอดทั้งปี ลมแรงที่เกิดจากธรรมชาติทำให้บริเวณด้านข้างของหุบเขาลึกและสูงชัน มันดูเหมือนสุสานแห่งความตายยิ่งนัก
ยิ่งเป็นเดือนกุมภาพันธ์ลมของฤดูหนาวยิ่งแรงมากขึ้นและยิ่งหนักไปกันใหญ่เมื่อคืนนี้มีหิมะตกลงมาจนทำให้ทัศนวิสัยแย่ขึ้นไปอีก คาร์ลได้ยินเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาเมื่อกำลังกวาดสายตาฝ่าความมืดมองไปรอบๆพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
“เจ้าคือคาร์ล เฮนิตัส..จากอาณาเขตเฮนิตัสใช่หรือไม่?”
สายตาของคาร์ลมุ่งไปยังร่างของคนที่ยืนอยู่ข้างๆเพ็นทันที
นี่คือศิษย์เอกของปรมาจารย์เวทย์แห่งอาณาจักรเบร็ค ชื่อของคนผู้นี้คือ‘เคานต์เอ็ทครอส’ในอนาคตเขาถูกวางตัวให้เป็นปรมาจารย์เวทย์คนต่อไป
~…มนุษย์?! ทำไมเจ้ามนุษย์หน้าโง่คนนี้ถึงต้องการตรวจสอบเจ้าล่ะ?~
‘นั่นสินะ?’
คาร์ลแสร้งวางท่าเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์อีกครั้ง
“ใช่แล้วขอรับ..ข้าน้อยคือคาร์ล เฮนิตัส ยินดีที่ได้พบท่านยิ่งนักท่านเคานต์เอ็ทครอส”
“หืม? เจ้ารู้จักข้า? แต่ไม่คิดที่จะทักทายข้าก่อนอย่างนั้นรึ?”
“ข้าน้อยต้องขอประทานอภัยด้วยขอรับ..ข้าน้อยตื่นเต้นไปหน่อยเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเยือนหุบเขาแห่งความตายเลยลืมมารยาทที่ควรกระทำไปเลย”
เพ็นรู้สึกแปลกๆ
‘ทำไมเขาถึงทำตัวแบบนี้ล่ะ?’
ท่าทางของคาร์ลดูสุภาพและนอบน้อมเกินเหตุมันทำให้เพ็นรู้สึกว่าเขาอาจมีจุดประสงค์บางอย่าง เพ็นหันไปมองเคานต์เอ็ทครอสเพื่อส่งสัญญาณให้กับเขา
‘ท่านเคานต์..หยุดเดี๋ยวนี้!’
น่าเสียดายที่เคานต์เอ็ทครอสไม่สามารถอ่านสัญญาณที่เพ็นส่งไปให้ได้ เคานต์เอ็ทครอสกำลังมองคาร์ลด้วยสายตาดูถูก
เด็กหนุ่มวัยยี่สิบปี! เขาไม่ชอบใจที่อาณาจักรโรมันส่งเด็กน้อยวัยยี่สิบปีมาเป็นตัวแทนของพวกเขา นอกจากนี้เขาไม่ชอบใจที่คาร์ลถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษผู้มีพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณที่อาศัยเพียงโชคช่วยก็สามารถได้มันมาครอง มันแตกต่างจากนักเวทย์เช่นพวกเขาที่ต้องใช้การฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้มีพลังเวทย์ที่น่าเกรงขาม
‘คนแบบนี้ก็อาศัยแค่เส้นสายเท่านั้นล่ะถึงสามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาได้สูงขนาดนี้’
สิ่งที่เคานต์เอ็ทครอสไม่ชอบมากที่สุดคือบุตรชายผู้ไร้ความสามารถของขุนนางเล็กๆมีเส้นสายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ทราบรายละเอียดมากนักแต่เขาก็ได้ยินมาว่าเด็กหนุ่มคนนี้สนิทสนมกับองค์หญิงโรสลิน องค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กและผู้บัญชาการทหารทูนก้า
เขาส่งเสียงเยาะออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่าคาร์ลยังคงให้ความเคารพเขาแม้ว่าตนจะแสดงอาการดูถูกเพียงใดก็ตาม เขารู้สึกว่าคาร์ลเป็นคนที่อยู่เป็นและรู้ว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร
เคานต์เอ็ทครอสหันไปแนะนำคนอื่นๆให้คาร์ลรู้จักด้วยน้ำเสียงข่มอย่างเห็นได้ชัด
“นายน้อยคาร์ล..คนที่ยืนอยู่ข้างๆเราตอนนี้คือนักเวทย์ยอดฝีมือ ตรงนั้นคือท่านบารอนและนั่นคือท่านไวส์เคานต์”
เขาเน้นหนักคำว่า ‘นักเวทย์ยอดฝีมือ’อย่างมีจุดประสงค์
อาณาจักรโรมันไม่ได้มีชื่อเสียงเรื่องการใช้พลังเวทย์มากนักแต่พวกเขาก็นำนักเวทย์จากอาณาจักรวิปเปอร์และองค์หญิงโรสลินมาที่อาณาจักรเบร็คและเริ่มสอนเหล่านักเวทย์ของอาณาจักรเบร็คทันที
‘แม้ว่าอาจารย์ของข้าจะมีความสุขกับมันมากก็ตาม’
ปรมาจารย์เวทย์ซึ่งเป็นอาจารย์ของเคานต์เอ็ทครอสบอกว่ามันเป็นโอกาสที่ดี ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีเช่นกัน
‘แต่เราก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกเขามีอำนาจเหนือกว่าจนข่มพวกเราได้เช่นกัน’
อาณาจักรเบร็คต้องเริ่มลงมือก่อนบ้าง เคานต์เอ็ทครอสกวาดสายตาไปมองรอบๆตัวคาร์ล
‘เขาไม่ได้พาผู้ติดตามมามากนัก’
มีเพียงชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นองครักษ์ประจำตัวและเด็กชายท่าทางอ่อนแอที่ยืนอยู่ข้างๆคาร์ลเท่านั้น
‘ในเมื่อมันคือพื้นที่ในอาณาจักรเบร็ค..ก็ควรเป็นฝ่ายเราที่ต้องจัดการเรื่องต่างๆเอง’
องค์หญิงโรสลินเคยบอกองค์ชายเพ็นและเขาให้คอยดูแลคาร์ลเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเขาแตกต่างจากองค์ชายเพ็น เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องฟังโรสลินซึ่งไม่ใช่องค์หญิงของเขาอีกต่อไปเพราะเธอออกจากราชวงศ์และไปอาศัยอยู่ในอาณาจักรโรมันแทน
‘องค์ชายเพ็นมักเสียความเป็นตัวเองเมื่อองค์หญิงโรสลินเข้ามายุ่งเกี่ยว ดังนั้นข้าจำเป็นต้องก้าวขึ้นมาจัดการเรื่องนี้แทน’
ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องเดินทางมาที่หุบเขาแห่งความตายเพื่อคอยมาดูแลและคอยเก็บกวาดสิ่งที่เด็กหนุ่มผู้นี้ทำ
เคานต์เอ็ทครอสจ้องไปที่คาร์ลและเริ่มพูด
“อะแฮ่ม..ข้าได้ยินแผนจากราชสำนักมาบ้างแล้ว..เจ้าคิดที่จะติดตั้งระเบิดพลังเวทย์ในหุบเขาแห่งความตายใช่มั้ย?”
บารอนและไวส์เคานต์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเคานต์เอ็ทครอสจ้องเขม็งมาที่คาร์ลทันที สายตาที่พวกเขาใช้มองคาร์ลดูเหมือนจะพยายามกดดันคาร์ลอยู่
‘…เพราะแบบนี้ไงข้าถึงอยากให้พี่โรสลินมาที่นี่ด้วย’
เพ็นขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นการกระทำของพวกเขา
เคานต์เอ็ทครอสกลายเป็นศิษย์เอกของปรมาจารย์เวทย์ก็เพราะความสามารถด้านพลังเวทย์ของเขา
เพ็นไม่อยากจะเชื่อว่าเคานต์เอ็ทครอสจะไม่ให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่องค์ชายที่มีโอกาสครองราชย์ก็ตามแต่ถึงอย่างไรเขาก็คือองค์ชายแห่งอาณาจักรเบร็ค ในเวลาเดียวกันเขาก็ทึ่งกับการมองการณ์ไกลของพี่สาวตนเอง
‘เคานต์เอ็ทครอสจะไม่เชื่อฟังเจ้า’
‘แล้วน้องต้องทำอย่างไรพะย่ะค่ะ?’
‘เจ้า? ไม่ต้องทำอะไรหรอกแค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น อย่างน้อยเคานต์เอ็ทครอสก็รักและใส่ใจกับอาณาเบร็คมากทีเดียว’
‘..แล้วนายน้อยคาร์ล?’
พี่สาวของเขาหัวเราะเยาะให้กับคำถามนี้ เธอหัวเราะได้สักพักจึงตอบกลับในที่สุด
‘เจ้าไม่ต้องห่วงคนผู้นี้หรอก นักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกกำลังปกป้องเขาอยู่’
‘นักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก’ ประโยคนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา เพ็นจ้องไปที่เด็กหนุ่มท่าทางอ่อนแอและชายหนุ่มอีกคนที่ได้รับการแนะนำว่าเป็นองครักษ์ส่วนตัวของคาร์ลเมื่อครั้งอดีต
เด็กหนุ่มท่าทางอ่อนแอชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าหนีจากเขาไปในที่สุด
‘เขาเป็นนักเวทย์หรือไม่?’
เพ็นปัดเรื่องนี้ออกจากหัวและหันไปมองคาร์ลและเคานต์เอ็ทครอสแทน
เคานต์เอ็ทครอสผายมือออกกว้างและเอ่ยกับคาร์ลด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“เจ้าไม่มีนักเวทย์มาด้วยแล้วเจ้าจะติดตั้งระเบิดพลังเวทย์อย่างไรล่ะ? เรารู้จักหุบเขาแห่งความตายมากกว่าเจ้าและยังเป็นนักเวทย์อีกด้วย ดังนั้นเราจะจัดการเรื่องนี้เอง!”
เคานต์เอ็ทครอสดูจริงจังมาก
มันเป็นสิ่งที่สามารถปกป้องอาณาจักรเบร็คไว้ได้ แม้ว่าเขาจะไม่แสดงออกว่าต้องการเข้าจัดการเรื่องนี้เองทั้งหมดแต่มันก็ยังเป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้เช่นกัน
‘แม้ว่าข้าจะรู้สึกแย่กับการต้อนรับคนที่เพิ่งเดินทางมาถึงเช่นนี้ก็ตาม…’
เคานต์เอ็ทครอสรู้สึกไม่ดีที่แสดงกิริยาเช่นนี้ต่อคาร์ลทั้งๆที่เขายังยืนอยู่ในอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารอยู่แท้ๆแต่เวลาคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ เขาต้องการจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดและเดินทางกลับไปยังเมืองหลวง
เคานต์เอ็ทครอสยกมือขึ้นอีกครั้งเพื่อรอฟังคำตอบจากคาร์ล
ทันใดนั้นเอง
“หืม?..มีคนของท่านมาเพิ่มหรือขอรับ?”
เสียงของนักเวทย์ที่คอยดูแลอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารดังขึ้น
ครืนนนนนนนน!!!!
อุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารเริ่มทำงานอีกครั้ง เคานต์เอ็ทครอสจึงหันไปมองคาร์ลทันที
“มีคนอีกกลุ่มที่กำลังตามข้าน้อยมาขอรับ”
คาร์ลตอบเบาๆก่อนจะก้าวออกจากอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสาร เคานต์เอ็ทครอสถอยหลังกลับด้วยความสับสนและมองไปที่อุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารทันที
มันค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็ส่องประกายจ้าออกมา
แว๊บบบ!
กลุ่มคนประมาณสิบคนปรากฏตัวออกมาทันที
พวกเขาสวมชุดคลุมสีดำปกคลุมร่างกายเอาไว้แต่ร่างกายอันใหญ่โตของพวกเขาไม่สามารถซ่อนความน่ากลัวเอาไว้ได้ ร่างกายของพวกเขาใหญ่โตราวกับภูเขาสูง
“..เอ่อ”
เคานต์เอ็ทครอสไม่สามารถเก็บอาการของตัวเองไว้ได้เมื่อส่งเสียงพึมพำออกมาเบาๆเพราะแรงกดดันบางอย่างที่จู่โจมตัวเขาอย่างกะทันหัน
ในขณะนั้นเอง
พรึ่บ!
คนที่เข้ามาหยุดตรงหน้าเขาถอดฮู้ดของตนออกทันที เสียงแหบแห้งของชายชราคนหนึ่งดังก้องไปทั่วบริเวณ
“ข้าน้อยชื่อการ์ชานเป็นหมอผีจากเผ่าเสือขอรับ”
พรึ่บ!
คนที่เหลือก็ถอดฮู้ดของตนออกเช่นกัน
ตาดำที่วางเฉียงเป็นแนวตั้งของสัตว์ป่าเริ่มส่องแสงในความมืด
‘เผ่าเสือ’ เคานต์เอ็ทครอสไม่เคยเห็นเผ่าเสือตัวเป็นๆมาก่อนแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นกิตติศัพท์ของการเป็นหนึ่งในเผ่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดเขาก็เคยได้ยินมาเช่นกัน
“ท่านเคานต์”
เคานต์เอ็ทครอสสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปตามเสียงเรียกของคาร์ล
“ทางเราจะให้นักเวทย์ของท่านรับผิดชอบในส่วนของหน้าผาและส่วนที่สูงที่สุด ส่วนทางเราจะเป็นคนรับผิดชอบช่องแคบระหว่างหุบเขาและส่วนที่อยู่ลึกที่สุดเอง”
ช่องแคบระหว่างหุบเขาและส่วนที่อยู่ลึกที่สุด
นั่นคือพื้นที่ที่มีลมพัดกระหน่ำแรงที่สุด มันยากที่จะเหาะไปที่นั่นโดยการใช้เวทย์ลอยตัวได้ ท่าทางของเคานต์เอ็ทครอสเปลี่ยนไปทันที ในครั้งแรกเขาคิดว่าจะทำการติดตั้งระเบิดพลังเวทย์รอบๆหน้าผาเท่านั้นแต่คาร์ลกำลังจะติดตั้งระเบิดพลังเวทย์พวกนี้ในช่องแคบระหว่างหุบเขาและส่วนที่อยู่ลึกที่สุดด้วยหรือ?
“…นี่เจ้ากำลังจะลงไปลึกกว่าเส้นแนวความตายอย่างนั้นรึ?”
เส้นแนวความตาย
นี่คือส่วนที่ทำให้หุบเขาแห่งความตายแตกต่างจากหุบเขาอื่นๆ
ด้านบนของหุบเขาซึ่งเริ่มต้นจากหน้าผาสูงชันและส่วนใต้หน้าผาตั้งแต่ 10-100 เมตรลงไป ส่วนนี้คือจุดเริ่มต้นของหุบเขา มันเป็นพื้นที่ที่สามารถมองเห็นแม่น้ำที่ไหลคดเคี้ยวทางด้านล่างของหุบเขาได้
หากไม่อยากเอาชีวิตมาจบลงที่นี่ก็ต้องหลีกเลี่ยงจากส่วนนี้ให้ได้
แต่คาร์ลกำลังวางแผนจะลงไปที่นั่น?
“ขอรับ..เรากำลังจะลงไปที่นั่น”
คาร์ลตอบด้วยความมั่นใจ ในที่สุดเคานต์เอ็ทครอสก็เริ่มสำรวจสมาชิกในกลุ่มของคาร์ล
พวกเขาต่างมีสีหน้าที่จริงจังและดูเหี้ยมโหดในเวลาเดียวกัน มีเพียงคาร์ลคนเดียวที่ดูสงบ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ
เหตุผลที่คาร์ลเสนอตัวให้อาณาจักรโรมันเป็นคนดูแลช่องแคบระหว่างหุบเขาและส่วนที่อยู่ลึกที่สุดติดอยู่ในใจของเคานต์เอ็ทครอสแต่เขาไม่สามารถคิดมันออกและไม่รู้จะต้องพูดอะไรออกมา
ช่วงเวลานั้นเอง
“ข้าจะให้เจ้าทำตามที่เจ้าต้องการ”
เพ็นก้าวเข้ามาตัดสินใจเรื่องนี้ทันที เขาหันไปพูดกับคาร์ลด้วยน้ำเสียงที่ให้เกียรติ
“เราจะหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะให้เจ้าลงไปที่นั่นได้อย่างปลอดภัย แจ้งให้เราทราบทันทีหากเจ้ามีสิ่งใดให้พวกเราช่วยเหลือ”
คาร์ลส่งยิ้มกลับไปให้เพ็น เขากำลังคิดบางอย่างในตอนนี้
‘ฉันจะปล่อยให้คนพวกนี้จัดการกับระเบิดพลังเวทย์ไปแล้วกัน’
เขาจำเป็นต้องติดตั้งมังกรคลั่งตามช่องแคบระหว่างหุบเขาและเขาไม่สามารถให้คนอื่นๆรู้เรื่องเสาเพลิงอันมีค่านี้ได้
‘แน่นอนว่าฉันไม่ใช่คนที่จะลงมือ’
สิ่งที่เขาต้องทำก็แค่นั่งดูเท่านั้น มันเยี่ยมไปเลยใช่มั้ยล่ะ?!
คาร์ลเริ่มพูด
“ถ้าเช่นนั้นพวกกระหม่อมจะมุ่งหน้าไปก่อนนะพะย่ะค่ะ”
“ห๊ะ? มุ่งหน้าไปก่อน?”
เพ็นมองหน้าคาร์ลด้วยความตกใจ
คาร์ลไม่สนใจท่าทางดังกล่าวและเตรียมมุ่งหน้าไปยังริมหน้าผาทันที เคานต์เอ็ทครอสจึงเอ่ยขึ้น
“แต่ตอนกลางคืนมันค่อนข้างอันตราย เจ้าควรลงมือในตอนกลางวันมากกว่า!”
“ท่านเคานต์ อยากให้พันธมิตรทางตอนเหนือรู้ว่าเรากำลังอะไรอยู่งั้นหรือ?”
เคานต์เอ็ทครอสหุบปากฉับทันที
กองกำลังอัศวินไวย์เวิร์น
เคานต์เอ็ทครอสได้ยินเรื่องนี้มาบ้างเช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เวลาคือสิ่งสำคัญ ไวย์เวิร์นมีความเชี่ยวชาญในการลาดตระเวนในช่วงกลางวัน เขาพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นสายตาของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีจ้องมาที่ตน
เมื่อเห็นว่าเคานต์เอ็ทครอสไม่พูดอะไรต่อ คาร์ลจึงหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังริมหน้าผาต่อทันที
‘รีบจัดการให้เสร็จจะได้ออกไปจากที่นี่เสียที’