บทที่ 215 พลิกกลับ 1 (1)
ทหารนายหนึ่งกระชับหอกที่อยู่ในมือตนให้แน่นขึ้นความหนักอึ้งในใจของเขาส่งผลให้เท้าที่กําลังเดินขึ้นบันไดหนักตามไปด้วย
ตึกเด็กตึกเด็กโตึกโตึก!
บันไดหินที่ดูแข็งแรงนี้เขามีโอกาสได้ใช้มันมานานหลายปีแล้วอย่างไรก็ตามสีหน้าของเขาในขณะที่เดินขึ้นบันไดราวกับคนกินอาหารบูดหรือยาขมมาไม่มีผิด
“ทําไมกันนะ?!?
เขามองเห็นพื้นที่ด้านนอกเมื่อมองผ่านไหล่ของทหารนายหนึ่งออกไปจากนั้นเขาก็ค่อยๆสาวเท้าออกจากประตู
ฟริ้ววววววว–
สายลมเย็นๆพัดผ่านแก้มเขาไป
ในขณะที่สายตาก็ปะทะเข้ากับพื้นที่เปิดโล่งที่อยู่ตรงหน้าของตนเช่นกัน
ปราสาทลีโอน่าพร้อมกับหอคอยอีกสามแห่งที่ตั้งรอบล้อมปราสาทขนาดใหญ่แห่งนี้ ทหารที่ประจําการอยู่บนกําแพงปราสาทบนหอคอยทางทิศใต้เริ่มตัวลงคล้ายกับหวาดกลัว
“ทําไมข้าถึงลงเอยที่ฝั่งอาณาจักรโรมันได้แทนที่จะเป็นจักรวรรดิหรือกองกําลังกลาง!”
เขาเป็นหนึ่งในทหารของอาณาจักรคาโรที่ต้องมาประจําการอยู่หอคอยทางทิศใต้ แม้ว่าอาณา จักรโรมันจะยืนยันว่าทหารของตนมีเพียงพอแต่พวกเขาก็ขอกําลังทหารส่วนหนึ่งจากทางอาณาจักรคาโรเพื่อคอยรับคําสั่งหรือรายงานไปยังกองกําลังส่วนกลาง
ภารกิจของทหารส่วนใหญ่ที่มาประจําการอยู่ที่นี่คือคอยส่งรายงานและทํางานจิปะถะอื่นๆ แน่นอนว่าหอกที่เขาถืออยู่ในขณะนี้จะถูกใช้ในกรณีที่จําเป็นเท่านั้น
“…ว่างเปล่าเสียจริง”
คิ้วของเขายิ่งขมวดเป็นปมมากขึ้นหลังจากได้ยินความเห็นของทหารนายอื่น
ว่างเปล่า?
ใช่! มันว่างเปล่าจริงๆ!
อาณาจักรโรมันมีทหารน้อยกว่า 100 นายด้วยจํานวนดังกล่าวมันไม่ได้ใกล้เคียงที่จะทําให้กําแพงปราสาททางทิศใต้และหอคอยที่มีขนาดเท่าปราสาทขนาดเล็กพร้อมพรั่งไปด้วยจํานวนทหาร
ทหารนายนี้กวาดสายตาไปมองรอบๆก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา
“ฝั่งของจักรวรรดิช่างน่าทิ้งยิ่งนัก”
หอคอยทางทิศเหนือทหารยามอัศวินและนักเวทย์ของจักรวรรดินั้นยืนประจําการอยู่ทุกพื้นที่ของกําแพงปราสาททางทิศเหนือพวกเขายังมองเห็นปรมาจารย์ดาบ ดยุคฮเต็น ผู้เป็นหัวหน้าของพวกเขาเดินลาดตระเวนอยู่บริเวณนั้นอีกด้วย
พวกเขายังมองเห็นทหารของอาณาจักรคาโรจํานวนมากที่ประจําการอยู่หอคอยกลาง มันตั้งอยู่ทางด้านหลังของหอคอยทั้งสองเล็กน้อยในพื้นที่สามเหลี่ยมนี้
อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น
“ทําไมมันถึงเยอะขนาดนี้?”
เขามองเห็นชายฝั่งตอนกลางซึ่งอยู่ทางด้านล่างของหอคอยทิศใต้
มีเรือขนาดใหญ่และจํานวนหลายลําที่จอดเรียงรายอยู่บนชายฝั่ง
ฝ่ายพันธมิตรไร้พ่ายและฝ่ายพันธมิตรของอาณาจักรคาโรไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆตั้งแต่เช้าวันนี้เขารู้สึกว่ามือและเท้าของตัวเองสั่นเล็กน้อยเมื่อต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามครั้งแรกในชีวิตของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประจําอยู่หอคอยกลางร่วมกับกองกําลังที่เหลือของอาณาจักรคาโรแต่ถ้าเขาได้อยู่กับจักรวรรดิมันก็พอทําให้เขามั่นใจว่าตัวเองจะสามารถเอารอดชีวิตได้
หากเขาจะต้องจับอาวุธเข้าน้ํานั่นกับศัตรูจริงก็ขอให้ได้อยู่ในจุดที่ดูได้เปรียบกว่านี้
ความยุ่งยากใจฉายชัดบนใบหน้าของทหารนายนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
พาหนะของศัตรูกําลังเข้าเติมเต็มชายฝั่งจนจะถึงจุดที่ไม่สามารถมองเห็นน่านน้ําที่อยู่ด้านหลังได้ศัตรูจะเข้ายึดครองพื้นที่ได้ทั้งหมดหากทหารและอัศวินที่อยู่บนเรือยกพลเข้าโจมตีพวกเขาแค่นึกถึงภาพศัตรูจํานวนมหาศาลบุกโจมตีปราสาทแห่งนี้ก็ทําให้แผ่นหลังของเขาเย็นยะเยือกจนแทบยืนไม่ไหวแล้ว
แน่นอนว่ามีการติดตั้งปืนใหญ่และเสาไม้ขนาดใหญ่เพื่อใช้ต่อกรกับศัตรูเป็นที่เรียบร้อยแล้วแต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในหอคอยกลางและหอคอยทางทิศเหนือ
ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในหอคอยทิศใต้ที่แสนว่างเปล่าแห่งนี้
ทั้งๆที่ศัตรูจํานวนมากและดูแข็งแกร่งกําลังจะบุกเข้ามาแล้วแท้ๆ”
ชัยชนะของอาณาจักรโรมันได้แพร่หลายไปทั่วทุกพื้นที่ ผู้คนต่างพูดถึงชัยชนะที่ได้มาอย่างน่าเหลือเชื่อนี้กันอย่างล้นหลาม
หากให้พูดกันตรงๆทหารนายนี้อาสาเข้ามาร่วมทัพกับอาณาจักรโรมันด้วยตัวเอง นั่นก็เพราะชัยชนะที่อาณาจักรโรมันคว้ามาได้ มันทําให้เขารู้สึกมีไฟและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า
“ข้าอยากสู้และเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งให้ได้! ข้าต้องการชนะ!”
นั่นคือเหตุผลที่เขาอาสาเข้าร่วมทัพกับอาณาจักรโรมันแต่สถานการณ์จริงที่ปรากฏในตอนนี้กลับทําให้เขาหวาดกลัว
“ทําไมเจ้าถึงดูหวาดกลัวขนาดนั้น?”
ทหารนายนี้เงยหน้าขึ้นมองทหารอาวุโสที่เอ่ยทักตนขึ้นมา ทหารอาวุโสนายนี้เป็นทหารมาแล้วไม่ต่ํากว่า 10 ปีและพวกเขาก็สนิทสนมกันมากพอจนเปรียบเป็นลุงกับหลานได้เลยด้วยซ้ําเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับทหารอาวุโสไป
“ข้าแค่ข้าแค่สงสัยว่าตัวเองจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?”
ความมุ่งมั่นในหน้าที่และการอยากมีชีวิตรอดนับเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าอย่าไปคิดในแง่ร้ายขนาดนั้นเลย”
“แต่มันคือความจริง”
สายตาของเขากวาดไปมองหอคอยแห่งอื่นก่อนจะดึงสายตากลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“ข้ารู้ว่าคนที่มาจากอาณาจักรโรมันล้วนแต่แข็งแกร่งแต่ถ้ากําลังต่อสู้กันอยู่พวกเขาจะมีเวลาเข้ามาปกป้องเราด้วยรึ? ฝ่ายเรามีน้อยเกินไปจึงทําให้เกิดช่องโหว่เป็นจํานวนมากและนั่นเท่ากับเพิ่มโอกาสให้เราได้รับบาดเจ็บมากยิ่งขึ้น”
กลุ่มคนที่มาจากอาณาจักรโรมันอาจมีชีวิตรอด พวกเขาอาจได้รับชัยชนะ ไม่สิ!? พัน ธมิตรของอาณาจักรคาโรต่างตั้งเป้าหมายว่าจะเสมอหรือชนะพันธมิตรไร้พ่ายเท่านั้น จักรวรรดินํากองกําลังเข้ามาเสริมทัพเป็นจํานวนมากและด้านการป้องกันกําแพงปราสาทก็ถือว่าได้เปรียบยิ่งนัก อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองจะมีโอกาสเห็นชัยชนะนั้นได้หรือไม่นั่นคือสิ่งที่ทําให้เขากลัว
“เมื่อวานนี้หอคอยอื่นๆต่างยุ่งอยู่กับการเตรียมสู้รบแต่ฝ่ายเรานั้นทั้งอัศวินและนักเวทย์ต่างพากันไปขุดดิน..ขุดอะไรกัน? เราไม่รู้ด้วยซ้ําว่าพวกเขาขุดหาอะไรกัน?”
กองกําลังของอาณาจักรโรมันใช้เวลาของเมื่อวานนี้ทั้งวันในการขุดดิน เขาสงสัยว่าพวกเขากําลังขุดทํากับดักหรือไม่แต่ดูไปแล้วเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเขาเอ่ยถามพวกเขาก็ตอบกลับมาแค่ว่ากําลังขุดดินอยู่เท่านั้น นั่นทําให้เขารู้สึกผิดหวังกับคําตอบที่ได้รับ
“ พวกเขาไม่นับรวมพวกเราเข้าไปด้วย! พวกเราอยู่ข้างเดียวกันแท้ๆ!”
เขาแค่ตั้งใจพูดสิ่งที่ตัวเองคิดให้กับทหารอาวุโสที่เขาเคารพเหมือนลุงแท้ๆฟังเท่านั้น ช่วงเวลานั้นเอง
“อืม?..ท่านผบ.ดูเหมือนนั่นจะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเขากระผมคิดว่ามันไม่ใช่ขวัญกําลังใจที่ดีสักเท่าไหร่?”
“ห้ะ?”
ร่างของทหารนายนี้สะท้านขึ้นทันทีก่อนที่ทหารอาวุโสจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อบังร่างของเขาเอาไว้ ทหารหนุ่มค่อยๆหันกลับมาทีละน้อยๆ
กลุ่มคนที่กําลังเดินขึ้นบันไดหินทางด้านหลังของเขา
พวกเขาล้วนแต่เป็นตัวเอกของชัยชนะในอาณาจักรโรมัน
ทหารหนุ่มมองเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของผู้บัญชาการ “คาร์ล เฮนิตัส สลับกับผมสีแดงสดของเขา ท่าทางของเขาไม่ได้ดูน่ากลัวแต่มันดูเข้าถึงยาก
ข้างหลังของเขาคือ เชวฮัน” ปรมาจารย์ดาบคนล่าสุด หมอผี แมรี่” รวมไปถึงอัศวินและนักเวทย์พวกเขาทั้งหมดล้วนมาจากอาณาจักรโรมันทั้งหมด
“อ..เอ่อ.”
ทหารหนุ่มได้แต่อ้าปากค้างและไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทําอย่างไร
“พวกเขาได้ยินสิ่งที่ข้าพูดหรือไม่?
ทหารหนุ่มมองเห็นคนผู้หนึ่งกําลังส่งยิ้มให้ตน เขารู้จักคนผู้นี้
ชายผู้นี้ได้แนะนําตัวต่อหน้าทหารที่มาประจําการยังหอคอยทิศใต้เมื่อวานนี้ รองหัวหน้าองค รักษ์ “ฮิลส์แมน” จากอาณาเขตเฮนิตัสแห่งอาณาจักรโรมัน
ฮิลส์แมนคือคนที่พูดประโยคเมื่อครู่นี้
“ข้าควรทําอย่างไรดี?”
ดวงตาของทหารหนุ่มเริ่มสั่นไหวซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาสบตาเข้ากับท่านผบ.คาร์ล
“ไม่ต้องกังวล”
“ขอรับ?”
ทหารหนุ่มถามกลับด้วยความสับสน เขามองเห็นผู้บัญชาการเดินผ่านหน้าตนเพื่อไปยังจุดสูงสุดของหอคอย ผู้บัญชาการเริ่มพูดกับทหารทุกนายที่ได้รับมอบหมายให้มาประจําการที่หอคอยทางใต้
“ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนเป็นฝ่ายเดียวกับเรา”
แม้ว่าคาร์ลจะไม่ได้ใส่อารมณ์ใดๆไปกับน้ําเสียงแต่คําพูดของเขาก็ยังสะท้อนอยู่ในใจของทหารทุกคน
“ให้ทุกคนอยู่รอดไปด้วยกันแล้วหลังจากนั้นค่อยไปหาเครื่องดื่มอร่อยๆดื่มกัน”
“อ่า…”
ทหารหนุ่มมองตามแผ่นหลังของคาร์ลที่กําลังมุ่งหน้าไปยังจุดบนสุดของหอคอย เขามอง เห็นปรมาจารย์ดาบและหมอผีที่กําลังเดินตามหลังเขาไปติดๆ
นอกจากนี้เขายังเห็นกลุ่มคนที่เริ่มเดินเรียงแถวไปประจํายังจุดต่างๆของกําแพงปราสาทพวกเขาคือนักเวทย์และอัศวินจากอาณาจักรโรมัน พวกเขาต่างเดินผ่านร่างทหารและไปหยุดยืนบนจุดที่ใกล้กับขอบกําแพงมากที่สุด
มีคนเดินเข้าใกล้ทหารหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“อะแฮ่ม..ข้าขอพูดอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้ขวัญกําลังใจของเจ้าลดลง”
มันเป็นรองหัวหน้าองครักษ์ฮิลส์แมน เขายืดอกขึ้นเมื่อเริ่มพูดอะไรบางอย่าง
“มีคําพูดที่โด่งดังที่สุดในอาณาเขตเฮนิตัสของเราไม่สิ? มันเริ่มถูกล่าวถึงไปทั่วทุกพื้นที่ในอาณาจักรโรมันแล้วต่างหาก ถ้าได้ยินประโยคนี้แล้วจะทําให้เจ้าไม่รู้สึกกลัว”
“เขากําลังจะพูดอะไร?”
ทหารหนุ่มไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ฮิลส์แมนต้องการจะสื่อได้ทั้งหมดเพราะสิ่งที่ผู้บัญชาการพูดไว้เมื่อครู่ยังคงก้องอยู่ในหัว อย่างไรก็ตามทหารหนุ่มไม่สามารถช่วยอะไรได้เพียงแค่ลองฟังสิ่งที่ฮิลส์แมนต้องการจะพูดเท่านั้น
ฮิลส์แมนรับรู้ถึงสายตาของทหารที่ยืนอยู่ใกล้ๆกําลังจ้องมาที่ตนเมื่อเริ่มเอ่ยขึ้น
“โล่จะไม่พัง..อ่า….”
ฮิลส์แมนใช้เสียงอ่าให้เหมือนกับตัวเองดื่มน้ําเสร็จ อย่างไรก็ตามทหารไม่สามารซ่อนความสับสนของตนไว้ได้ เป็นที่ทราบกันดีว่าโล่ของคาร์ลนั้นแข็งแกร่งแต่ประโยคที่ฮิลส์แมนพูดเมื่อครู่นี้ยังไม่แพร่กระจายไปยังอาณาจักรอื่นๆ
ฮิลส์แมนส่งยิ้มให้กับทหารที่มองตนด้วยความสับสนก่อนจะพูดต่อทันที
“แค่จําไว้ก็พอทุกคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับเราล้วนแต่ยึดประโยคนี้ไว้ในใจ”
ฝ่ายเดียวกับเรา!
คําพูดนี้ทําให้ทหารหนุ่มยังคงจ้องไปที่ฮิลส์แมนไม่วางตา แม้แต่อัศวินและนักเวทย์ก็หันไปมองฮิลส์แมนเช่นกันก่อนที่เสียงของฮิลส์แมนจะลอดเข้ามาในหูของเขาอีกครั้ง
“เมื่อเราอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้วก็จําประโยคนี้ไว้ให้ดีและก็ขอให้ทําหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
ฮิลส์แมนผละออกไปทันทีเมื่อพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการจบ เขารีบตามหลังคาร์ลไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าคาร์ลไปถึงยอดหอคอยแล้ว
โล่จะไม่พัง
ทหารหนุ่มทวนประโยคนี้ซ้ําไปซ้ํามาก่อนที่เสียงของทหารอาวุโสผู้เปรียบเหมือนลุงและคอยฝึกหอกให้เขาตั้งแต่มาเป็นทหารใหม่ๆจะลอดเข้ามาในหู
“ดูเหมือนเราจะไม่ต้องกังวลแล้วสินะ”
“..ขอรับ”
ความกังวลของเขาได้เลือนหายไป
“เราแค่ทําหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ”
ทหารหนุ่มรีบตรวจสอบแตรสัญญาณ หอกและอุปกรณ์เตือนภัยทั้งหมดทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ทหารอาวุโสเอ่ยขึ้น งานที่พวกเขาได้รับมอบหมายคือคอยรายงานสถานการณ์การต่อสู้ให้ทราบโดยทั่วกัน
ผู้บัญชาการคาร์ลอาจมีอุปกรณ์เวทย์สื่อสารอยู่กับตัวแต่ทว่าทหารเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนเส้นเลือดฝอยที่แตกแขนงจากหลอดเลือดใหญ่ไปตามเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกายเพื่อช่วยให้เกิดการไหลเวียนเลือดและหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆในร่างกาย
ทั้งความคิดและความรู้สึกของพวกเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
คาร์ลที่ไม่รู้เรื่องนี้หันไปมองฮิลส์แมนที่ยกมือปิดปากและแสดงสีหน้าดูมีพิรุธแปลกๆ
“ทําไมหน้าเจ้าถึงเป็นเช่นนั้น?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ”
ฮิลส์แมนเริ่มหัวเราะเสียงดังในขณะที่คาร์ลก็ตั้งใจที่จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป เขาไม่รู้ว่าฮิลส์แมนไปพูดกับทหารว่าอย่างไรแต่การที่เขาแสดงสีหน้าและหัวเราะออกมาเช่นนี้มันทําให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีนักอย่างไรก็ตามเขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป
“ท่านผู้บัญชาการ!”
หนึ่งในอัศวินของอาณาจักรคาโรตามขึ้นมาบนยอดหอคอยต่อจากฮิลส์แมน เขาคืออัศวินที่ได้รับมอบหมายให้มาช่วยเหลือคาร์ลทั้งยังมาจากตระกูลหมออีกด้วย
องค์ชายรัชทายาทวาเลนติโน่เอ่ยขอโทษคาร์ลหลายต่อหลายครั้งแม้ว่าสถานะของเขาจะสูงก ว่าคาร์ลก็ตาม คําขอโทษนั้นออกมาจากใจจริง เขายังบอกอีกว่าตนรู้สึกไม่สบายใจที่ปล่อยให้ฝั่งของคาร์ลออกไปสู้รบโดยที่ไม่มีหมอหรือนักบวชอยู่ด้วยแม้ว่าคาร์ลจะยืนยันว่ากลุ่มของตนเพียงพอแล้วก็ตาม เขาจึงตัดสินใจส่งอัศวินรวมทั้งนักเวทย์ที่สามารถรักษาอาการเบื้องตนให้มาช่วยเหลือคาร์ลหลังจากนั้นทันที
แค่สองคน ถึงแม้จะมีเพียงแค่สองคนแต่คาร์ลก็รู้ว่าวาเลนติโนได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว เขายังบอกว่าจะส่งทหารเข้ามาเสริมทัพให้คาร์ลมากขึ้นอีกด้วย แน่นอนว่าคาร์ลแจ้งกลับไปว่าตนไม่ต้องการ
คาร์ลมีทั้งเงินและยารักษาเป็นจํานวนมาก คาร์ลคือคนที่เดินทางไปทั่วทุกที่พร้อมกับยาคุณภาพสูงในมิติลับของราอน เขาสามารถดูแลคนของตนเองได้
“วันนี้ลมค่อนข้างแรงเลยนะขอรับ”
คาร์ลพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะมองไปที่ภาพเบื้องหน้าของตน
เขามองเห็นชายฝั่งพร้อมกับลมที่พัดกระโชกแรงขึ้นเรื่อยๆ
เขามองเห็นเรือขนาดใหญ่ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีภูเขาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ทางซ้ายมือของหอคอยทางทิศใต้
คาร์ลเริ่มพูดขึ้น
“ข้ามองเห็นดินแดนแห่งความตายได้เช่นกัน”
มันไกลออกไปทางทิศใต้ของอาณาจักร ดินแดนแห่งความตายตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างภูเขาและชายฝั่งขนาดย่อม ทะเลทรายแห่งนี้กินพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนใต้ของอาณาจักรคาโรเมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกดินผืนทรายก็จะกลายเป็นสีแดงเลือด
อัศวินของอาณาจักรคาโรก็เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ดินแดนแห่งความตายอาจมองเห็นได้แต่ก็ไม่ต้องกังวลกับมันขอรับ.มันจะไม่เป็นอันตรายต่อเราและคงไม่มีเหตุผลใดที่ศัตรูจะหนีไปทางทิศนั้นได้”
อัศวินมองเห็นรอยยิ้มของผู้บัญชาการ
“ใช่พวกเขาไม่มีทางหนีไปได้”
อัศวินสัมผัสได้ถึงความเย็นชาในน้ําเสียงทุ้มต่ําของคาร์ลแต่เขาก็รีบดึงสติกลับมาที่ตัวเองอย่างรวดเร็วและรีบอธิบายถึงเหตุผลที่ตัวเองมาหาคาร์ลในตอนนี้
“ดูเหมือนสถานการณ์ในตอนนี้จะหยุดนิ่งเช่นนี้ไปก่อนและการต่อสู้อาจเริ่มขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้ขอรับ”
“ทําไมล่ะ?”
“นี่ถือเป็นภูมิภาคที่ยากต่อการใช้ยุทธวิธีรบแบบกองโจรในตอนกลางคืนได้และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่กองทัพขนาดใหญ่ถึงสองฝ่ายจะทําการต่อสู้ในเวลากลางคืนได้เช่นกัน”
อัศวินก้มมองชายฝั่งด้วยความผ่อนคลายเล็กน้อย
“ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูยังไม่โผล่ออกมาจากเรือของพวกเขาขอรับ”
นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
แม้ว่าพวกเขาจะมองเห็นคนเดินไปมาอยู่บนเรือของข้าศึกแต่มันก็เป็นจํานวนเพียงเล็กน้อย นั่นหมายความว่าข้าศึกส่วนใหญ่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในเรือทั้งหมด
“หากพวกเขาจะเดินเรือขึ้นมาหาเราอาจต้องใช้ม้าหรืออุปกรณ์บางอย่างที่สามารถลากเรือนมาได้แต่การที่พวกเขายังคงปักหลักอยู่บนเรือย่อมหมายความว่าพวกเขาจะยังไม่โจมตีในวันนี้พวกเขาอาจต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวเช่นกัน”
นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทําให้อาณาจักรคาโรรู้สึกมั่นใจ การต่อสู้บนบกทั้งสองฝ่ายจําเป็นต้องมีไฟลับและรอเวลาอันสมควรในการเปิดใช้มันและนั่นคือสาเหตุที่ศัตรูยังไม่เปิดเผยตัวแม้พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วก็ตาม สิ่งนี้ทําให้อัศวินเชื่อว่าการต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้นในวันพรุ่งนี้
เอา
“ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวกลับไปเตรียมตัวนะขอรับ”
“ดี”
อัศวินยังคงมองไปที่คาร์ลซึ่งไม่ได้ออกคําสั่งใดๆให้กับเขา สายตาที่เขาจ้องไปที่คาร์ลเต็มไปด้วยความแปลกใจแต่ก็รีบเดินลงจากยอดหอคอยทันที
“เขาดูเคร่งขรึม
เรื่องที่คาร์ลพูดจาหยาบคายและทําตัวไร้มารยาทต่อหัวหน้านักบวชถูกพูดถึงเป็นอย่างมากและมันคือสิ่งที่เขาคาดว่าจะได้เห็นในพฤติกรรมของคาร์ลในวันนี้ อย่างไรก็ตามความเคร่งขรึมของคาร์ลทําให้เขารู้สึกประหลาดใจและคิดว่าความหยาบคายของคาร์ลคงเป็นสิ่งที่พูดเกินจริง