บทที่ 69 แม่ พวกเรากลับมาบ้านใหม่แล้ว
เสียงตะโกนอื้ออึงที่ทำให้หูแทบหนวก
แสงเจิดจ้าที่บาดตา
ในขณะนี้ เฉินตงกลับสงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เขายืนอยู่ที่เดิม จ้องมองผีร้ายนรกที่อยู่ตรงข้าม ไม่ขยับเขยื้อน
เขาไม่ได้เติบโตมาโดยได้รับการอุ้มชูทะนุถนอม เปรียบเทียบกับคนทั้งหลายแล้วยังมีประสบการณ์เยอะกว่ามาก
มีชีวิตหรือตายเพียงแค่ในชั่วพริบตา
ตายเสียยังดีกว่าอยู่กลับเป็นการรอคอยที่ยาวนาน
หวาดกลัวชีวิตและความตาย มันคือสัญชาตญาณ
แต่หลังจากได้พบกับประสบการณ์อยู่อย่างสู้ตายมาแล้ว ทุกคนย่อมล้วนที่จะมีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความตาย
“เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้? มันไม่ควรจะอยู่ในสภาพนี้สิ…”
ผีร้ายนรกได้พัดกระพือคลื่นขนาดใหญ่ในใจของเขา เขาเคยชินกับการบีบคู่ต่อสู้ไปสู่ความหมดหวัง จากนั้นใช้กระบวนท่าสุดท้ายอีกครั้งก็เพื่อความรู้สึกพึงพอใจในชัยชนะที่เหนือกว่าของตนเอง
แต่ว่าตอนนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองของเฉินตง กลับทำให้เขารู้สึกเกินความคาดหมาย
โธ่เว้ย!
มือขวาของเขาสั่น
กริชที่เย็นเยียบดีดออกจากวงแหวนอีกครั้ง
“ตาย!”
เขาคำรามออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ผีร้ายนรกพุ่งมาทางเฉินตง
การโจมตีของเขาก่อนหน้านี้ยังคงพยายามปกปิดเอาไว้
แต่ว่าครั้งนี้ กริชของเขาส่องสว่างภายใต้แสงไฟ ทุกคนต่างให้ความสนใจ
“แกเสียขวัญแล้ว”
เฉินตงยิ้มเล็กน้อย
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังเข้าหูของผีร้ายนรก แต่กลับเหมือนฟ้าร้องระเบิดเสียงออกมา
และในตอนที่ผีร้ายนรกได้เสียสมาธิไปเล็กน้อยเช่นนี้
เฉินตงขยับตัวในทันทีทันใด ร่างนั้นวูบไหวในชั่วพริบตา แล้วหลบกริชวงแหวนที่แทงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือมีดข้างขวายกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเงาซ้อน แล้วตกลงไปบนลำคอของผีร้ายนรกอย่างอุกอาจ
ปึ้ก!
เสียงอู้อี้ดังขึ้น
ในเวลาเดียวกันก็มาพร้อมกับเสียงครวญครางที่เจ็บปวดลึกล้ำจากคอของผีร้ายนรก
ตูม!
ผีร้ายนรกล้มลงไปบนพื้น!
ในความมืดมิด เสียงตะโกนอื้ออึงที่ทำให้หนวกหู
เงียบกริบไปโดยฉับพลัน
ทุกสายตามองไปบนตัวเฉินตงจนเหมือนกับถูกปกคลุมด้วยดาบแหลม
“ฟู่ว…”
เฉินตงถอนหายใจออกมาโดยไม่ได้เหลือบมองไปที่ผีร้ายนรกสักแว้บเดียวแล้วเขาก็หมุนตัวเดินไปยังทิศทางของประตูกรงเหล็ก ฝ่ามือมีดตีเข้าไปที่ลำคอ ถึงแม้ไม่ตาย แต่ก็ไม่ไกลจากความตาย!
ตึงตึง….
เสียงกระแทกประตูกรงเหล็กได้ปลุกผู้ตัดสินที่เฉื่อยชา
ผู้ตัดสินกระวีกระวาดเปิดประตู เฉินตงค่อยๆเดินออกจากกรงเหล็กอย่างช้าๆ
เขาจับแขนซ้ายด้วยมือขวาและเดินไปถึงด้านหน้าคุนหลุน
หลังจากนั้นนิ้วกลางของมือขวาก็ยกขึ้น : “เชี่ยเอ๊ย!”
ก่อนเข้าไปในกรงเหล็ก คุนหลุนสัญญาว่าหากมีสิ่งผิดปกติเขาจะยื่นมือออกมา แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ คุนหลุนก็แค่ยืนดูอยู่ด้านข้าง
หลอกกันทั้งนั้น!
คุนหลุนยิ้มออกมา : “คุณชาย คุณก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากเลยนะครับ”
“ไปโรงพยาบาลได้แล้ว” เฉินตงพูดอย่างไม่มีทางเลือก
หลังจากที่คนทั้งสองจากไป กูหลังเป็นคนแรกสุดที่มีปฏิกิริยาตอบสนองคืนกลับมา
เขามองย้อนกลับไปที่เงาร่างของคนทั้งสองกำลังค่อยๆเลือนหายไปในความมืด มือทั้งสองของเขากำแน่นเป็นหมัด มีประกายแน่วแน่สว่างวาบอยู่ในดวงตาของเขา
และหลังจากนั้นไม่กี่วินาที โรงยิมมวยใต้ดินที่เงียบสงัดก็เดือดพล่านขึ้นมาในที่สุด
“แม่งเอ๊ย…ทำไมเหมือนกับคราวก่อนอีกแล้ว ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกันแน่?”
“แพ้แล้ว กูเสียเงินหนึ่งแสนเหรียญอีกแล้วสินะ!”
“เห็นอยู่ชัดๆว่าเกือบตายไปแล้ว ทำไมถึงยังพลิกกลับมาได้ล่ะ?”
…….
เสียงนั้นดังสนั่น จนแทบจะยกหลังคาโรงยิมมวยใต้ดินให้เปิดออก
มันเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและเจ็บแค้น
และผู้ชมทุกคนล้วนแต่ไม่รู้ว่า ที่ชั้นบนของโรงยิมมวยใต้ดิน ยังมีห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง
ห้องส่วนตัวนี้มีจำนวนไม่มาก ทุกห้องล้วนแต่เป็นสถานที่รับรองบุคคลที่มีชื่อเสียงและเกียรติยศของเมืองนี้
สิ่งนี้เป็นเหตุผลว่าทำไม กูหลังต่อสู้อยู่ที่โรงยิมมวยใต้ดิน แต่ยังสามารถได้รับข้อเสนอจากพวกเศรษฐี
หนึ่งในห้องส่วนตัวนั้นมีแสงไฟสลัว
ด้านหน้าของกระจกขนาดใหญ่มีเงาของคนๆหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ
มองออกไปที่ทางของโรงยิมมวยใต้ดิน จากนั้นไม่นาน มีเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้น “คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า นายจะยอดเยี่ยมขนาดนี้…”
……..
ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เฉินตงเงียบเสียงไม่พูดไม่จาและมองออกไปนอกหน้าต่าง
คุนหลุนที่ด้านข้างรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง เรื่องเมื่อสักครู่นี้ เขารู้ว่าอย่างน้อยที่สุดในใจของเฉินตงคิดว่าเขาหลอกหลวงตนเอง
คนขับรถแท็กซี่มองดูสภาพน่าอนาถของเฉินตงก็ยังตกใจกลัวจนไม่กล้าพูดอะไร
บรรยากาศนั้นราวกับจะจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็ง
เป็นเวลานาน
ในที่สุดคุนหลุนก็เปิดปากกล่าวอธิบายว่า : “คุณชายครับ เมื่อกี๊นี้ผมไม่ได้หลอกคุณนะครับ ผมต้องการทำให้คุณเดินออกมาจากนรกและส่งคู่ต่อสู้ของคุณไปที่นรก”
“ความตายที่เหมือนกับสายลมนี้ต้องอยู่กับตัวฉันตลอดเลยเหรอ?”
เฉินตงเลิกคิ้วแล้วหัวเราะเยาะและมองนอกหน้าต่างต่อ แสงในดวงตาค่อยๆล้ำลึก
เขาพึมพำด้วยเสียงกระซิบเบาๆ
“ที่จริงแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันกับแม่ก็ตกนรกมาตลอด”
คุนหลุนตกตะลึง
ในการต่อสู้ คำว่าลูกสวะกลับขุดความทรงจำที่เฉินตงไม่อยากแสดงให้ใครเห็นมาโดยตลอดออกมา
เขาหัวเราะเยาะเย้ยตนเอง
“นายเคยเห็นเด็กอายุสี่ขวบไปเคาะประตูบ้านและคุกเข่าขอเงินเพื่อช่วยชีวิตแม่ของเขาท่ามกลางสายลมและหิมะในวันส่งท้ายปีเก่าที่ทุกคนมารวมตัวกัน และสุดท้ายภายใต้เสียงหัวเราะเยาะเย้ยว่าลูกสวะก็เจียดเงินเล็กน้อยเพื่อการกุศลมาช่วยแม่ของเขาจนได้ไหมล่ะ?
“นายเคยเห็นแม่คนหนึ่งที่อายุสามสิบผมก็เปลี่ยนสีขาวแล้ว ต้องอดทนกับความคับแค้นใจต่อการถูกดุด่าและการเฆี่ยนตีทุกประเภท ทุกข์ทนครึ่งชีวิตเพียงแค่ต้องการเลี้ยงดูลูกคนหนึ่งหรือเปล่า?
ตงเฉินหันศรีษะช้าๆ ดวงตาเป็นสีแดงนานแล้ว
มองดูคุนหลุนที่งุนงงแล้วเขาก็ยิ้ม: “ฉันเคยเห็น…ยี่สิบกว่าปี!”
ริมฝีปากของคุนหลุนขยับกำลังจะพูด
เฉินตงกลับลูบหน้าแล้วสีหน้าท่าทางก็กลับสู่ความสงบ : “ฉันรู้ว่านายปีนออกมาจากกองซากศพ แต่นายไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างความตายกับตายเสียยังดีกว่าอยู่ นายต้องการให้ฉันเดินออกมาจากนรก แต่ไม่รู้ว่าฉันมีชีวิตอยู่เลวร้ายยิ่งกว่าตายในขุมนรกมานานกว่า 20 ปี”
“ขอโทษครับ…” เมื่อคุนหลุนรู้ว่าได้ทิ่มแทงเรื่องเจ็บปวดใจของเฉินตงก็รีบกล่าวขอโทษ
เฉินตงโบกมือและหัวเราะขึ้นมา
ในตอนนี้ ไม่มีความเศร้าซึมและความเศร้าสลดอย่างเมื่อครู่นี้อีกแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างและความอุตสาหะ
“ฉันไม่เคยยอมแพ้ และไม่รู้ว่าการยอมแพ้คืออะไร ตั้งแต่เล็กจนโตฉันก็ก้าวเดินเป็นขั้นตอนอย่างนี้ ต่อจากนี้ก็จะเดินไปไกลมากขึ้นและสูงยิ่งขึ้น”
พูดแล้ว เฉินตงก็ตบไหล่คุนหลุนพร้อมกับยิ้มและพูดว่า: “ขอบคุณนะ พอคิดดูดีๆ ถ้าหากเมื่อกี้นี้นายยื่นมืออออกมา ฉันคงไม่มีทางคาดเดาได้อย่างทะลุทะลวง”
ช่วงเวลาสองสามวันหลังจากนั้น เฉินตงต้องอยู่ที่โรงพยาบาลโดยตลอด
การต่อสู้ที่โรงยิมมวยใต้ดินทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส
แต่ยังดีที่ในวันที่เปิดขายพรีเซลส์หลงถิงฮัวหยวน บ้านทุกหลังถูกขายออกไปจนหมดแล้ว สำหรับเรื่องที่ตามมาทีหลัง มีพวกของเสี่ยวหม่าคอยรับผิดชอบจัดการก็โอเคแล้ว
การเตรียมพร้อมสำหรับการขายพรีเซลส์ของอสังหาริมทรัพย์ครั้งที่สอง คนในบริษัทก็ทำได้ดีเช่นกัน
เรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บยังคงปิดบังแม่เอาไว้แล้วก็ยังไม่บอกกับกู้ชิงหยิ่งด้วยเช่นกัน
เป็นเพราะว่าเขาไม่อยากที่จะทำให้ผู้หญิงสองคนที่สำคัญที่สุดของเขาต้องกังวลใจ
เพียงชั่วพริบตา เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
ในวันนี้ เฉินตงให้คุนหลุนช่วยดำเนินการทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่
ถึงแม้จะได้คำสั่งเด็ดขาดจากแพทย์และพยาบาล เขาก็ยังคงเดินออกจากโรงพยาบาลอย่างแน่วแน่
เป็นเพราะว่า วันนี้คือวันที่แม่ออกจากโรงพยาบาล
แล้วก็เป็นวันที่เขาจะพาแม่ไปดูบ้านใหม่อีกด้วย
ขณะที่เขาและคุนหลุนรีบไปที่ห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาลลี่จิง
ก็มองเห็นกู้ชิงหยิ่งและฟ่านลู่ที่มาถึงก่อนนานแล้วกำลังช่วยกันจัดเก็บข้าวของ
และหลี่หลานกำลังนั่งรออยู่ข้างๆ
ถึงแม้ว่าจะยังอ่อนแอ แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้วหลี่หลานมีสภาพที่ดีขึ้นมาก และเป็นไปตามมาตรฐานของการออกจากโรงพยาบาลด้วย
และขณะที่เฉินตงเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยนั้น ผลไม้และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพกองใหญ่ตรงมุมห้องได้ดึงดูดความสนใจของเขาทันที
ผลไม้และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพที่กองพะเนินอยู่ตรงมุมห้องแทบจะครองพื้นที่เกือบหนึ่งในสามของห้องผู้ป่วยอยู่แล้ว
“นี่ใครส่งมาให้เหรอ?”
เฉินตงถามด้วยความประหลาดใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สายตาของกู้ชิงหยิ่งก็มีประกายวาบขึ้นมาทันที ส่วนหลี่หลานก็ก้มหน้าลง
ฟ่านลู่พูดว่า : “คนของตระกูลหวางส่งมาก่อนหน้านี้น่ะ”
ทันใดนั้นเฉินคงรู้สึกขบขันเล็กน้อย
ความโลภนี่ยังน่าเกลียดได้อีกหน่อยงั้นเหรอ?
เสียงพูดเพิ่งจะจบลง จู่ๆหลี่หลานก็พูดขึ้นว่า : “เสี่ยวลู่ ฉันจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว เอาของเหล่านี้ส่งต่อให้ที่เคาท์เตอร์พยาบาลเถอะนะ ให้พวกเขาช่วยแจกจ่ายกับเพื่อนผู้ป่วยเหล่านั้น ฉันไม่อยากกินของตระกูลหวาง มันน่าขยะแขยง”
เฉินตงตะลึงทันที
แม่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กจนโตและเขายังติดนิสัยนุ่มนวลและอดกลั้นของแม่มาด้วย โดยปกติแล้วแม้แต่คำพูดแรงๆล้วนแต่ได้ยินจากปากของแม่น้อยมาก”
“อ๊ะ คุณป้า อยากจะแจกจริงๆเหรอคะ?”
ฟ่านลู่ที่มีนิสัยขยันและประหยัดเกิดความรู้สึกทนไม่ได้ ข้างของในที่นี้อย่างน้อยๆก็มีมูลค่าหลายพันเหรียญแล้วนะ ยกให้ฟรีๆก็น่าเสียดาย
“ลูกชายของฉันไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะมาล่อหลอกได้ตามใจหรอกนะ ตระกูลหวางทำกับลูกชายของฉันขนาดนั้น ฉันยังต้องรักษาหน้าด้วยหรือไง?”
สีหน้าของหลี่หลานบูดบึ้ง ยกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่ถุงผลไม้ตรงหัวเตียง ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า : “เอาของที่เสี่ยวหยิ่งมอบให้กลับที่บ้าน ก็อร่อยพอแล้ว”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว
ท่าทีที่สับสนของกู้ชิงหยิ่งก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที
เฉินตงเองก็แสดงรอยยิ้มออกมาและเหลือบมองแม่ของเขาอย่างซาบซึ้ง
“แม่ครับ พวกเราออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปที่บ้านใหม่กันนะครับ”
“บ้านใหม่?” หลี่หลานตกตะลึงในทันที “ตงเอ๋อ พวกเรามีบ้านใหม่เมื่อไหร่กัน?”
“คุณป้าคะ ไปเถอะ นี่เป็นเซอร์ไพร์ที่เฉินตงอยากจะมอบให้คุณป้านะคะ” กู้ชิงหยิ่งจับแขนของหลี่หลานอย่างมีความสุข