บทที่ 137 เกาะผู้หญิงกิน ?
ไม่มีคำพูดใดๆ ตลอดทั้งคืน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มีการต่อแถวยาวเหยียดบริเวณด้านหน้าศูนย์กลางที่ทำการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งสี่แห่งอีกครั้ง
สื่อมวลชนที่มารออยู่ตั้งแต่เช้า ต่างจัดเตรียมอุปกรณ์ทำข่าวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
วิกฤตการณ์คืนบ้านของไท่ติ่ง ดึงดูดความสนใจของคนทั้งเมือง
นี่คือข่าวใหญ่ที่ไม่ควรพลาดแม้แต่วินาทีเดียว !
ในศูนย์กลางที่ทำการขายของหลงถิงฮัวหยวน พนักงานกลุ่มหนึ่งของไท่ติ่ง กำลังมองแถวยาวเหยียดด้านนอกด้วยความหดหู่
พวกเขาถึงขั้นสามารถคาดการณ์ได้ว่า ผู้ซื้ออีก 30 % ที่เหลือจากเมื่อวาน จะต้องมาคืนบ้านในวันนี้อย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่หลงถิงฮัวหยวนสามารถขายหมดภายในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งวัน ทุกคนแทบไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกโศกเศร้าเอาไว้ได้เลย
หลังจากที่ผ่านพ้นวันนี้ไป ไท่ติ่งไม่เพียงแต่จะต้องร่วงลงไปสู่จุดเดิมเท่านั้น แต่อาจถึงขั้นต้องจมดิ่งลงไปในเหวอีกด้วย !
“เฮ้ พวกคุณจะเปิดทำการเมื่อไหร่เนี่ย ?”
ยังไม่ถึงเวลาทำงาน บรรดาคนที่ต่อคิวอยู่ต่างก็เร่งเร้าด้วยความร้อนใจ
“ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ยังคิดจะถ่วงเวลาอะไรอีก ? ไท่ติ่งของพวกคุณคงไม่ได้กำลังนึกเสียใจอยู่หรอกใช่ไหม ?”
“ประธานเฉินของไท่ติ่งรับปากกับพวกเราด้วยตัวเองว่าจะรับคืน แล้วตอนนี้จะไม่ยอมให้คืนแล้วหรือยังไง ?”
“สื่อมวลชนทั้งหลาย พวกคุณรีบมาถ่ายเร็วเข้า รีบเปิดโปงความผิดของไท่ติ่งออกไป พวกเขาจะไม่ยอมให้พวกเราขายบ้านคืนแล้ว”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝูงชนที่กำลังรอขายบ้านคืนอยู่ บรรดาสื่อมวลชนต่างก็ฝืนยิ้ม
นี่มันเกี่ยวอะไรกันด้วยเนี่ย ?
ยังไม่ถึงเวลาทำการ บรรดาพนักงานมาถึงแล้วก็ต้องเตรียมการทำงานล่วงหน้าก่อน
แล้วทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นว่าไม่ยอมให้คืนบ้านไปได้ ?
คนที่ยืนอยู่หน้าสุดของแถว เป็นชายสูงอายุหัวโล้นคนหนึ่ง
เมื่อเห็นพนักงานที่อยู่ในศูนย์กลางที่ทำการขายไม่ขยับเขยื้อน เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
เขาเดินไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงชูกำปั้นขึ้นแล้วเริ่มทุบประตู
ปัง ปัง ปัง……
“พวกแกนี่มันกินเสียข้าวสุกกันหรือยังไง ? ยังจะให้พวกเรารออีกนานเท่าไหร่ ? ถ้าไม่ยอมให้คืนบ้านก็พูดมาตรงๆ พวกเราจะได้ไปดำเนินการทางกฎหมาย !”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ก็มีเสียงของคนในแถวทั้งหมดดังสมทบขึ้นมา
ภายในศูนย์กลางที่ทำการขายหลงถิงฮัวหยวน
พนักงานขายและพนักงานอื่นๆ อีกหลายคน ต่างก็หันไปมองชายหนุ่มคนหนึ่ง
“หัวหน้า จะทำอย่างไรดี ?”
ชายหนุ่มก้มหน้าถอนหายใจ : “เปิดเถอะ ยังไงเสียประธานเฉินก็มีคำสั่งลงมาแล้วว่า คนที่ต้องการจะขายคืนให้รับไว้ทั้งหมด ยอดขายของพวกเราหลงถิง เป็นเพราะได้รับการอวยพรจากประธานเฉิง จึงสามารถทำเงินได้มากมายขนาดนี้ ตอนนี้ประธานเฉินต้องเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้ สิ่งที่พวกเราพอจะทำได้ก็คือพยยามทำงานอย่างสุดความสามารถ”
พนักงานขายสองคนพยักหน้า จากนั้นจึเดินไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ประตูเพิ่งเปิดออก ชายหัวโล้นก็เดินอวดเบ่งเข้ามาด้านใน จากนั้นจึงเหลือบมองพนักงานขายทั้งสองคน : “ถ้าไม่อาละวาดเสียบ้าน พวกแกคงคิดว่าผู้ซื้ออย่างพวกเราไม่รู้อีโหน่อีเหน่ล่ะสิ ?”
ยังไม่ทันจะพูดจบ
คนที่ต้องการขายบ้านคืนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังต่างก็กรูกันเข้ามาเหมือนนกกระจอกแตกรังทันที
เสียงดังอึกทึกคึกโครมและเบียดเสียดแออัดกันไปหมด
ทำให้บรรยากาศในศูนย์กลางที่ทำการขายเหมือนกับตลาดนัดยามเช้าในทันที
ไม่ช้า ชายหัวโล้นก็ดำเนินการขายบ้านคืนจนแล้วเสร็จ เขาถือสัญญาคืนบ้านเอาไว้ แล้วพยายามแทรกตัวออกจากฝูงชน
ขณะที่เดินออกจากศูนย์กลางที่ทำการขาย เขาใช้แรงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง แล้วหัวเราะพลางพูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า : “ให้ตายเถอะ รอดแล้ว ในที่สุดก็รอดแล้ว คนอย่างฉันเอาเงินมาซื้อบ้านเพื่อเก็งกำไรเท่านั้น จะปล่อยให้ขาดทุนได้อย่างไร ? ประธานเฉินของไท่ติ่งนั่นแหละที่โง่ โง่กว่าเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์พวกนั้นเสียอีก !”
ขณะที่ศูนย์กลางที่ทำการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งสี่แห่งกำลังรับคืนบ้านอยู่นั้น
ภายในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่งก็อยู่ในบรรยากาศหดหู่
พนักงานทั้งหมดไร้ซึ่งชีวิตชีวา และวิตกกัวงวล
บางคนมีเส้นเลือดสีแดงปรากฏขึ้นในดวงตาเต็มไปหมด แสดงให้เห็นว่าไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน
เสี่ยวหม่าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขาเป็นคนที่เฉินตงสนับสนุนขึ้นมา และเป็นเพราะเฉินตง เขาถึงประสบความสำเร็จอย่างเช่นทุกวันนี้
เขาจึงมีความผูกพันลึกซึ้งกับทั้งไท่ติ่งและเฉินตง
แต่ตอนนี้ ไท่ติ่งเกิดวิกฤตครั้งใหญ่เช่นนี้ขึ้น ทำให้ความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจของเขา คงจะเป็นรองเพียงแค่เฉินตงคนเดียวเท่านั้น
เสี่ยวหม่าสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องทำงานของเฉินตง
สิ่งที่เสี่ยวหม่าคิดไม่ถึงก็คือ เฉินตงกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และคอยตรวจสอบข้อมูลที่เป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา ด้วยท่าทีที่ไม่ยินดียินร้าย และไม่สะทกสะท้านเหมือนกับเมื่อวานไม่มีผิด
“พี่ตง……” เสี่ยวหม่าตะโกนเรียกเบาๆ “พี่สามารถพูดกับผมได้นะ แบกรับทุกอย่างเอาไว้คนเดียวแบบนี้ มันไม่ดีต่อสุขภาพของพี่เอง”
เห็นได้ชัดว่า เสี่ยวหม่าไม่คิดว่าเฉินตงจะเป็นอย่างเช่นเมื่อก่อน ที่มีแผนการอยู่ในใจ จึงได้แสดงท่าทีสงบนิ่งออกมา
แต่สิ่งที่แสดงออกมาตอนนี้ เพียงเพื่อต้องการให้จิตใจสงบเท่านั้น และเพื่อต้องการแบกรับเรื่องทุกอย่างเอาไว้เพียงลำพัง
“เหลืออีกแค่ 10% แล้ว”
เฉินตงชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วยิ้มออกมาอย่างหดหู่
เสี่ยวหม่าพูดอย่างแน่วแน่ว่า : “ไม่เป็นไรครับพี่ตง อย่างมากพวกเราก็แค่ช่วยกันสร้างขึ้นมาใหม่ ยังไงเสียผมก็ยังอยู่กับพี่ !”
ใบหน้าของเสี่ยวหม่าเต็มไปด้วยความสงสัย
นี่พี่ตงกดดันจนกระทั่งอารมณ์แปรปรวนไปแล้วหรืออย่างไร ?
ตัวอย่างเช่นนี้ใช่ว่าไม่เคยมีให้เห็น หลังจากที่คนรับแรงกดดันจนถึงขีดจำกัด อารมณ์ก็จะแปรปรวนอย่างรุนแรง
เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนโอ่งที่ระเบิดออก
แต่หลังจากที่ถูกเฉินตงจ้องมอง เขาจึงค่อยๆ นั่งลงข้างๆ อย่างเชื่อฟัง จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูข่าว
ยิ่งดู คิ้วของเสี่ยวหม่าก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น และเกิดความทุกข์ขึ้นในใจ
ข่าวทุกเรื่องเกี่ยวข้องกับไท่ติ่งทั้งหมด !
ถึงขั้นว่า ไม่เพียงแค่สื่อในเมืองนี้เท่านั้น แม้กระทั่งโซเชียลมีเดียระดับประเทศอย่างเว่ยป๋อ ก็มีภาพของไท่ติ่งปรากฏอยู่ด้วย
มีทั้งคำพูดเสียดสี มีทั้งคำพูดเยาะเย้ย มีคำพูดที่แสดงให้เห็นว่ากำลังมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น รวมไปถึงมีคนจำนวนมากที่ก่นด่าว่าเจ้าของบริษัทไท่ติ่งนั้นโง่สิ้นดี
เสี่ยวหม่าเลื่อนข่าวเพื่ออ่านไปพลางและกัดฟันด้วยความโมโหไปพลาง
ทันใดนั้น
มีข่าวใหม่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์
เสี่ยวหม่าตัวสั่นทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้างจนถึงขีดสุด !
หนึ่งในข่าวที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ มีข่าวหนึ่งที่ถูกเน้นข้อความสีแดงและจัดไว้ด้านบนสุด
“บริษัทชิงหยิ่นออกประกาศอย่างเป็นทางการว่า ประธานกู้โก๋ฮั๋วระลึกถึงบ้านเกิด จึงต้องการที่จะเข้ามาลงทุนทางภาคตะวันตกของเมืองนี้ !”
นี่ นี่เป็นไปไม่ได้ ?
เสี่ยวหม่าหน้าถอดสี หัวใจเต้นระส่ำไม่เป้ฯจังหวะ
บริษัทชิงหยิ่น ถือเป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ !
ถ้าหากไม่ใช่เพราะในข่าวมีการนำเสนอชื่อของประธานบริษัทชิงหยิ่นเอาไว้บนหัวข้อข่าวแล้วล่ะก็ เสี่ยวหม่าคงจะถึงขั้นที่คิดว่าบริษัทชิงหยิ่นที่พูดถึงนี้ คงจะไม่ใช่บริษัทชิงหยิ่นที่เขารู้จักบริษัทนั้นแน่นอน !
ขณะที่กำลังตื่นเต้นอยู่นั้น เสี่ยวหม่าก็รีบเปิดเข้าไปดูเนื้อหาข่าวโดยเร็ว
แววตาของเขาเป็นประกาย กวาดสายตาอ่านเนื้อหาข่าวอย่างรสดเร็ว
ยิ่งอ่าน แววตาของเขาก็ยิ่งเป็นประกายมากขึ้น จังหวะการหายใจของเขาก็เร็วขึ้น ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ถึงขั้นว่า สุดท้ายร่างกายของเขาก็เริ่มสั่น
“เสี่ยวหม่า นายเป็นอะไรไป ?” เฉินตงเห็นเสี่ยวหม่ามีท่าทีแปลกๆ จึงขมวดคิ้วถาม
ตุ๊บ !
ตัวของเสี่ยวหม่าสั่นเทา จนโทรศัพท์หล่นลงไปอยู่ที่พื้น
แต่แทนที่เขาจะก้มลงไปหยิบโทรศัพท์ เขากลับลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว
แล้วพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นและดีใจว่า : “พี่ พี่ตง…… บริษัท บริษัทของพวกเรามีทางรอดแล้ว !”
มีทางรอดแล้ว ?
เฉินตงทำหน้าสงสัย ตอนนี้ทางฝั่งตระกูลเฉินยังไม่ได้ข้อสรุปออกมา
เขากำลังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะยื้อเวลาเอาไว้
แล้วไท่ติ่งจะมีทางรอดได้อย่างไร ?
เสี่ยวหม่าเห็นเฉินตงมีท่าทีสงสัย จึงรีบก้มเก็บโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นจึงวิ่งเข้าไปหาเฉินตงด้วยความตื่นเต้น
“ดูนี่สิ บริษัทชิงหยิ่น……พวกเขา พวกเขาวางแผนที่จะเข้ามาลงทุนทางภาคตะวันตกของเมือง ! อีกทั้งยังเหมือนกับที่ยี่เคอ กรุ๊ปเคยประกาศเอาไว้ตอนต้นอีกด้วย คือจะสร้างศูนย์รวมการค้า CBD ขนาดใหญ่ ราคาอสังหาริมทรัพย์ทางภาคตะวันตกของเรา……รักษาเสถียรภาพเอาไว้ได้แล้ว !”
เป็นเพราะเสี่ยวหม่ารู้สึกตื่นเต้นจนเกินไป แม้กระทั่งเสียงของเขาก็พลอยสั่นไปด้วย
เปรี้ยง !
เฉินตงเหมือนถูกฟ้าผ่า
จู่ๆ สมองของเขาก็ว่างเปล่า
บริษัทชิงหยิ่น ถือเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่มาก !
แต่เมื่อเขาเห็นชื่อประธานบริษัทปรากฏขึ้นบนเนื้อข่าวแล้วนั้น สีหน้าของเขาก็เริ่มดูซับซ้อนและแปลกประหลาดขึ้นมาทันที
นี่……เหมือนเขากำลังเกาะผู้หญิงกินเลย ?