บทที่ 148 อดีตของฟ่านลู่
รถโรลส์รอยซ์กำลังเล่นอยู่บนท้องถนน
เฉินตงขับรถอย่างเงียบๆ ท่านหลงนั่งอยู่ด้านข้างคนขับ
คุนหลุนที่กอดฟ่านลู่ไว้แน่นๆนั่งอยู่ข้างหลัง ปลอบโยนด้วยเสียงที่อ่อนโยน
น้ำเสียงที่อ่อนโยน ทำให้คนนั้นจินตนาการได้ยากมาก ท่าทางกระหายเลือดที่คุนหลุนแสดงออกมาเมื่อกี้
ฟ่านลู่ขดตัวอยู่ในอ้อมอกของคุนหลุน น้ำตานองหน้า
บางทีอาจจะเพราะร้องไห้จนเหนื่อย ไม่มีเสียงแล้ว มีเพียงน้ำตาที่ยังไหลไม่หยุด
และสองมือของเธอ กลับจับแขนเสื้อของคุนหลุนไว้อย่างแน่นๆ
ท่านหลงเห็นภาพจากหน้าจากกระจกหลัง มุมปากก็มีรอยยิ้ม
“แก่แล้วไม่รู้จักอาย”
เฉินตงหัวเราะ ก็ได้ปรับกระจกหลัง
จากนั้นเขาก็กดแผ่นกั้นด้านหน้าและด้านหลังลง โดยแบ่งแยกให้เป็นโลกส่วนตัวของเขาสองคน
ท่านหลงเลิกคิ้ว “ดูหน่อยก็ไม่ได้เหรอ?”
“คุณกำลังสอดแนมความเป็นส่วนตัวของคนอื่น” เฉินตงกลอกตาใส่เขา “คุณไปหาผู้หญิงอายุเจ็ดถึงแปดสิบปีมาหนึ่งคน แล้วผมก็เฝ้ามองอยู่ข้างๆ คุณจะขยะแขยงมั้ย?”
ท่านหลงยิ้มอย่างเหยียบหยาม “กระผมนั้นชอบอายุสิบแปด”
ความตลกนี้ ทำให้ความโกรธที่กดทับไว้ในใจของเขาทั้งสองคนผ่อนคลายลง
ท่านหลงยิ้มๆ กลับหันหน้าไปทางเฉินตง ตบที่บ่าของเฉินตงเบาๆ ชี้ไปที่ด้านหลัง
เห็นได้ชัด เพื่อจะถามว่าจะจัดการกับเรื่องของฟ่านลู่ยังไง?
เฉินตง ยิ้มๆ “เธอนั้นเป็นลูกสาวบุญธรรมของแม่ผม”
ท่านหลงพยักหน้า ไม่ถามต่อ
กลับมาถึงในเมือง
เป็นเวลาตีสามแล้ว
เฉินตงนั้นไม่ได้กลับไปที่เขตวิลล่าเขาเทียนซานทันที
แต่ได้หาร้านกาแฟที่ใกล้ๆ
เขาไม่มีทางที่จะทิ้งฟ่านลู่ แต่เรื่องบางเรื่อง ตอนนี้ควรที่ถามให้ละเอียดชัดเจน
เพียงแต่ เขาก็ได้โทรแม่ก่อน เพื่อรายงานความปลอดภัยแล้ว
ในสาย ได้ยินว่าหาตัวฟ่านลู่เจอแล้วนั้น น้ำเสียงของหลี่หลานฟังออกว่าโล่งใจแล้ว กำชับให้รีบกลับบ้าน
ในร้านกาแฟ เงียบสงบมาก
ดวงไฟไม่กี่ดวง ทำให้ร้านดูสลัวๆ
เวลานี้เป็นเวลาใกล้รุ่งแล้ว แต่ยังคงมีคนสองสามคนนั่งมุมต่างๆของร้าน เสพสุขกับบรรยากาศที่เงียบสงบยามกลางคืน ใส่หูฟังไว้ทำงานอย่างเงียบๆ อารมณ์ของฟ่านลู่ได้สงบลงมาบ้างแล้ว
ถือถ้วยกาแฟที่ร้องๆ พิงอยู่ในมุมกำแพง
เธอในเวลานี้ ตานั้นบวมมาก หน้าก็ซีดเล็กน้อย
ภาพนี้ ทำให้เฉินตงสามคนมองแล้วรู้สึกสงสารจับใจ
พูดตามจริง หน้าตาของฟ่านลู่นั้นไม่ได้แย่ แม้ว่าจะเทียบรูปลักษณ์ที่งดงามอย่างกู้ชิงหยิ่งไม่ได้ แต่ก็ถือว่าสวยสดใส
ปกติที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ฟ่านลู่ก็สดใสร่างเริงเป็นประจำ
แต่ตอนนี้ กลับเหมือนมะเขือที่ถูกลูกเห็บตกใส่ แววตามืดมน
“ฮู้……..ขอบคุณคุณเฉิน ท่านหลงและพี่คุนหลุน”
ในที่สุด ฟ่านลู่ก็เป็นคนคลายความเงียบที่อยู่บนโต๊ะ เธอยิ้มเล็กน้อย “หากไม่มีพวกคุณ วันนี้ฉันคงตายไปแล้ว”
การตายนี้ มันไม่ใช่การตายแบบนั้น
กลับน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย
“เธอเป็นคนของเรา ทำไมต้องขอบคุณ?” เฉินตงยิ้มๆ
ฟ่านลู่ก้มหน้าลง จากนั้นก็ค่อยๆเล่าเรื่องของตัวเองขึ้นมา
เฉินตงทั้งสามคนนั่งฟังอย่างเงียบๆ
ที่แท้ ชีวิตวัยเด็กของฟ่านลู่ เพราะว่าพ่อเป็นผีพนันและขี้เมา เมื่อแพ้พนันเมื่อดื่มเหล้า ก็จะทำร้ายแม่ของเธอ แม่ของเธอทนไม่ไหว จนทิ้งฟ่านลู่เอาไว้ แล้วหนีไป
หลังจากที่แม่ไปแล้ว พ่อก็เอาความผิดทั้งหมด มาลงที่ตัวของฟ่านลู่
ตั้งแต่เล็กจนโต ฟ่านลู่นั้นมีชีวิตอยู่ในเงามือของพ่อ แต่เธอก็ยังคงไม่ยอมแพ้ต่อความหวังในอนาคต เธอมีความเชื่อว่าขอเพียงพยายาม สุดท้ายก็จะสามารถเห็นแสงสว่าง
ความจริงก็ไม่ได้ผิดต่อความพยายามของเธอ พ่อที่เอาแต่เล่นพนันดื่มเหล้า แต่คนในหมู่บ้านก็ช่วยกันส่งเสียเธอเรียน ตอนอายุสิบขวบ ในโรงเรียนคัดเลือกนักกีฬาเพื่อไปฝึก
ฟ่านลู่โชคดีมากที่ถูกเลือกเป็นนักกีฬาชกมวยสากล เธอพยายามทีละขั้น เหมือนกับหอยทาก ถึงแม้จะช้าแต่ยังคงพยายามคลานไปด้านหน้า
เมื่อเธอเป็นนักกีฬาตัวแทนของเขต แข่งขันหลายครั้ง ก็ได้แชมป์มาทุกครั้ง
เธอเชื่อว่า ความพยายาม จะทำให้มีพรุ่งนี้ที่ดีกว่า
ตอนที่เธอกลายเป็นนักกีฬาแล้ว พ่อของเธอยิ่งเล่นยิ่งหนัก มีครั้งหนึ่งที่ติดหนี้แล้วไม่ชดใช้ ถูกเจ้าหนี้มาทวง เธอได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำลายอาชีพนักกีฬาของเธอโดยตรง จึงต้องออกอย่างจำยอม
ฟ่านลู่ยังคงไม่ยอมแพ้ ไม่มีความชำนาญอะไรเลย แต่เธอรู้ว่าเธอมีแรง ดังนั้นจึงเข้าไปทำงานในไซต์งานก่อสร้าง ทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงิน มาใช้หนี้แทนพ่อ
เธอกระตือรือร้นที่จะเปลี่ยนงานมาโดยตลอด ดังนั้นจึงได้มีใบสมัครที่สมัครเป็นพี่เลี้ยงในบริษัทจัดหางาน
โชคดี เธอนั้นถูกเฉินตงเลือก ในที่สุดก็ได้ออกจากไซต์งานก่อสร้าง
แต่เพิ่งจะชีวิตที่มีความสุขได้ไม่กี่วัน ฝั่งพ่อของเธอก็ติดหนี้พนันก้อนใหญ่อีกครั้ง ก็เลยมีภาพที่เกิดขึ้นในคืนนี้
หลังจากพูดจบ หน้าของฟ่านลู่ยิ่งก้มต่ำกว่าเดิมมาก ร่างกายสั่นเทา หยดน้ำตาร่วงลงสู่พื้น
เฉินตงกับคุนหลุน ท่านหลง ล้วนอึ้งกันไปหมด
ฟ่านลู่พูดได้สั้นมาก เพราะจงใจต้องการปกปิดความเจ็บปวด แต่พวกเขายังสัมผัสความรู้สึกนั้นจากคำพูดสั้นๆนี้ได้
ไม่มีที่พึ่ง เจ็บปวด สิ้นหวัง แม้ว่าเขาจะมีชีวิตขึ้นมาจากความสิ้นหวัง แต่พ่อของเขา กลับทำให้เขาเข้าสู่ความมืดในชีวิตอีกครั้ง
เฉินตงที่สายตาลอยไปลอยมา ในเวลานี้ เขาก็คิดถึงภาพที่เห็นฟ่านลู่ครั้งแรก มือของฟ่านเต็มไปด้วยแผลที่หยาบกระด้าง
ฟ่านลู่กับเขาอายุไล่เลี่ยกัน ผู้หญิงคนหนึ่ง กลับต้องบีบตัวเองให้เหมือนผู้ชาย!
นี่…….มันต้องมีความอดทนที่มากแค่ไหน?
“คุณเฉิน………” ฟ่านลู่จู่ๆก็เงยหน้าขึ้น มองเฉินตงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา ในแววตาเต็มไปด้วยความกลัว
เฉินตงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไปเถอะ กลับบ้านแล้ว แม่เราตุ๋นซูปรอเรากลับบ้านแล้ว”
ฟ่านลู่ตัวแข็งทันที ในหัวดังขึ้นด้วยเสียงโครม รีบลุกขึ้นมา โค้งคำนับ “ขอบคุณคุณเฉิน ขอบคุณคุณเฉิน……….”
เฉินตงไม่ได้สนใจ เขาได้ส่งสัญญาณให้คุนหลุนพยุงฟ่านลู่ แล้วเขากับท่านหลงก็เดินออกไปจากร้านกาแฟก่อน
ลมกลางคืนที่เย็นเล็กน้อย
ถนนที่ว่างเปล่า
เฉินตงสูดลมหายใจเข้า แล้วหายใจออกมาจนสุด หัวเราะอย่างขมขื่น
“ต่างเป็นคนมืดมนทั้งนั้น ผมเพิ่งจะพบว่า ผมนั้นโชคดีกว่าฟ่านลู่มาก อย่างน้อยผมยังมีแม่ที่ร่วมฝ่าฟันด้วยกัน วิ่งไปหาแสงสว่างโดยไม่ลังเล แต่ฟ่านลู่กลับถูกพ่อเธอถ่วง ทุกครั้งที่จะเห็นแสงสว่าง ก็จะถูกกระชากกลับไปในมุมมืด”
“ชีวิตคนมีหลายร้อยรูปแบบจริงๆ” ท่านหลงก็ถอนหายใจยาวๆ
หลังจากกลับถึงบ้าน
เป็นเวลาตีสี่แล้ว
สิ่งที่ทำให้เฉินตงคิดไม่ถึงก็คือ แม่เขายังไม่ได้นอน
แต่กลับนั่งอยู่ในห้องรับแขก รออย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นเฉินตงและคนอื่นกลับมา หลี่หลานที่ตาแดง ลุกขึ้นเดินผ่านเฉินตง วิ่งไปตรงหน้าของฟ่านลู่ พูดอย่างห่วงใย “ไอ้หยา ลูกเอ๊ย วันนี้ทำให้น้าใจหายจริงๆ ไม่เป็นไรใช่มั้ย บาดเจ็บตรงไหนมั้ย?”
เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของฟ่านลู่และเบ้าตาที่บวมแดง หลี่หลานก็มองสำรวจอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า พวกคุณเฉินมาได้ทันเวลา ก็เลยช่วยหนูเอาไว้ได้” แม้ว่าฟ่านลู่จะยิ้ม แต่น้ำตาก็อดไมได้ที่จะไหลลงมา
ไม่ร้องนะ เด็กน้อยไม่ร้องนะ
หลี่หลานได้ช่วยฟ่านลู่เช็ดน้ำตา กอดฟ่านลู่ จากนั้นก็จูงมือไปฟ่านลู่ไปที่ห้องอาหาร “น้าตุ๋นซุปเอาไว้ ยังอุ่นๆอยู่เลย ดื่มให้มันรู้สึกดีขึ้นหน่อยนะ ลูกเอ๊ย วันนี้น้าตกใจจริงๆ หากหนูเกิดเรื่อง น้าจะอยู่ยังไง”
เฉินตงยื่นอึ้งอยู่ที่เดิม บ่นพึมพำ “ท่านหลง คุนหลุน ผมทำไมรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกไปแล้วล่ะ?”
คุนหลุนกับท่านหลงมองสบตากันแล้วยิ้ม
ไม่รอคำตอบ
“ไม่สนแล้ว ไปดื่มน้ำแกงก่อนค่อยว่ากัน ผมจะบอกพวกคุณนะ น้ำแกงที่แม่ผมตุ๋นนั้นอร่อยที่สุด”
เฉินตงบิดขี้เกียจ ยิ้มแล้วเดินไปที่ห้องอาหาร “แม่ ตักให้ผมด้วย”