ตอนที่เฉินตงมาถึงคลับสี่ยิ่นก็เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี
ถึงแม้จะไม่มีการยื่นเรื่องขอเข้าพบใดๆ แต่คุนหลุนก็ยังคงขับรถโรลส์-รอยซ์เข้าไปในคลับได้โดยไม่ไม่มีใครเข้ามาขวาง
นี่เป็นเพราะท่านเมิ่งได้กำชับไว้แล้วว่า ถ้าหากเฉินตงเข้ามาในคลับสี่ยิ่น ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องขอเข้าพบ
หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว
“คุณชาย ให้ผมเข้าไปกับคุณชายนะครับ ?”คุนหลุนกล่าว
ในเมื่อคุณชายบอกแล้วว่าเขาจะมาที่คลับสี่ยิ่นเพื่อที่จะมาดูสุนัขที่กัดคนตัวนั้นว่าเป็นพันธุ์อะไร
แน่นอนว่าเขาต้องคอยติดตามคุณชายอย่างใกล้ชิด มิเช่นนั้นหากคุณชายถูกสุนัขกัดเข้าล่ะก็จะทำเช่นไร ?
“อืม”
เฉินตงตอบรับแล้วลงจากรถ
เขากวักมือเรียกพนักงานของคลับคนหนึ่งให้เข้ามาหา : “คุณท่านใหญ่หลี่อยู่ที่ไหน ?”
“ลานซานไห่ครับ”
“นำทางไปหน่อย”
พวกเขาเดินตามพนักงานเข้าไปด้านในของคลับสี่ยิ่น
เฉินตงแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย
เฉินตงเข้าออกคลับสี่ยิ่นหลายครั้ง เข้าจึงพอเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดต่างๆ ของคลับสี่ยิ่นดี
ลานซานไห่ถือเป็นสถานที่ต้อนรับระดับเฟิร์สคลาส
แต่เมื่อเทียบกับลานป่าไผ่ซึ่งถือว่าเป็นอันดับหนึ่งแล้วนั้น ยังถือว่าห่างไกลกันนัก
ตระกูลหลี่ซึ่งคิดว่าตนเองสูงส่ง แล้วทำไมแม้กระทั่งพ่อตาของเขายังทำให้ออกจากลานป่าไผ่ไม่ได้ ?
เฉินตงมองเห็นเรือนสี่ประสานอยู่ท่านกลางสนามหญ้าและสวนดอกไม้จากที่ไกลๆ
เป็นความสันโดษที่แตกต่างไปจากลานป่าไผ่
ถึงแม้จะพูดว่าลานซานไห่อยู่ในระดับมาตรฐานสูง แต่สิ่งที่เผยให้เห็นคือความงดงามและเคร่งขรึม
ส่วนทั้งสี่ด้านก็มีลานอยู่ล้อมรอบ
เพียงแค่มีทำเลที่ตั้งและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากลานป่าไผ่เท่านั้น
เอี๊ยด…..
ประตูแบบโบราณสีชาดหนักอึ้งค่อยๆ ถูกผลักให้เปิดออก
เฉินตงค่อยๆ เดินนำไปด้านหน้า โดยมีคุนหลุนเดินตามอยู่ด้านหลัง
ที่นี่ไม่ได้ดูสง่างามเหมือนลานป่าไผ่ เมื่อมองเข้าไปด้านใน สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า “บรรยากาศหรูหรา”
เดินเข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็พบกับชายหนุ่มสวมใส่ชุดสูทและรองเท้าหนังยืนต้อนรับอยู่
เป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดของคุณท่านใหญ่หลี่
“คุณชาย คุณท่านใหญ่รออยู่ที่ห้องอาหารนานแล้ว คุณมาสายแล้ว”
บอดี้การ์ดโค้งคำนับ แล้วแสดงท่าที่เชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในพร้อมกับบอกทิศทาง
แต่เฉินตงกลับไม่ยอมก้าวเท้าเดิน
กลับหันมองบอดี้การ์ดด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดว่า : “สุนัขรับใช้มีสิทธิ์มาตำหนิฉันด้วยหรือ ?”
สีหน้าของบอดี้การ์ดเปลี่ยนไป
ปัง !
คุนหลุนใช้เท้าเตะบอดี้การ์ดจนกระเด็นออกไป
เขาก้าวขึ้นไปข้างหน้าด้วยรูปร่างที่สูงตระหง่าน แล้วจ้องมองลงไปที่บอดี้การ์ด : “คุณชายของฉันมาถึงที่นี่ ก็ถือว่าให้เกียรติพวกแกมากแล้ว !”
“ไปกันเถอะ คุนหลุน”
เฉินตงเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋า จากนั้นจึงเดินตรงไปยังห้องอาหารด้วยท่าทีสบายใจ และมีรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา : “นายจัดการได้เยี่ยมจริงๆ สุนัขที่สุนัขกัดคนเลี้ยงเอาไว้ จะต้องตีให้หนัก”
“คุณชาย เข้าใจแล้วครับ” คุนหลุนพยักหน้า
ภายในห้องอาหาร เต็มไปด้วยบรรยากาศของความคลาสสิก
ทั้งสีและกลิ่นอายมีความโบราณ
มีเสียงเครื่องดนตรีกู่เจิงดังก้องกังวาน และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์
บนโต๊ะกลมขนาดใหญ่ มีอาหารอันโอชะค่อยๆ หมุนอยู่ อาหารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของหายากและมีราคาแพง
คุณท่านใหญ่หลี่นั่งอยู่ตรงที่นั่งหลัก โดยมีท่านเมิ่งนั่งอยู่ข้างๆ ที่นั่งหลัก
โดยมีคนอื่นๆ อีกหลายคนนั่งถัดกันออกไป
ในบรรดาคนเหล่านั้นมีผู้อำนวยการหลิวของโรงพยาบาลลี่จิงและโจวเย่นชิวนั่งรวมอยู่ด้วย
คุณท่านใหญ่หลี่มีความคิดที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ที่ถูกเก็บงำเอาไว้ภายในตระกูลหลี่ออกมา โดยมีท่านเมิ่งเป็นผู้ให้การช่วยเหลือ จึงมีการเชิญคนใหญ่คนโตและผู้ที่มีอำนาจในเมืองนี้มาเป็นธรรมดา
ผู้อำนวยการหลิวถือเป็นผู้ที่กว้างขวางอยู่ในแวดวงการแพทย์และโรงพยาบาล ส่วนโจวเย่นชิวเองก็ถือเป็นผู้นำด้านห้างสรรพสินค้าของเมืองนี้ การที่สองคนมาปรากฏตัวพร้อมกันที่นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
โจวเย่นชิวกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่บนโต๊ะอาหาร
ถึงแม้จะมีแว่นตาขอบทองคอยคั่นกลางอยู่ แต่ก็ไม่อาจกั้นขวางดวงตาที่มีไฟลุกโชนเป็นประกายของเขาได้
เมื่อพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ทุกคนที่นั่งอยู่ ไม่มีใครด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่คนเดียว หากไม่ใช่คนที่อยู่ระดับเดียวกันกับเขา ก็เป็นคนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่า
ท่านเมิ่งเปรียบเสมือนแผ่นฟ้าของเขา
ส่วนคุณท่านใหญ่หลี่นั้น เป็นคนที่แม้กระทั่งแผ่นฟ้าของเขายังต้องคอยนั่งอยู่ข้างๆ
ที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง โจวเย่นชิวรู้สึกหูอื้อเหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่า
เขาเป็นนักธุรกิจที่เก่งที่สุดในด้านแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัว
มิเช่นนั้นโจวเย่นชิวก็คงไม่เอาแต่เหยียบเรือสองแคมระหว่างฝั่งของเฉินตงและเฉินเทียนเซิง
ถ้าหากเขาสามารถผูกมิตรกับตระกูลหลี่ได้ สำหรับโจวเย่นชิวแล้ว ถือเป็นโอกาสที่ดีโอกาสหนึ่งเลยทีเดียว
ถึงจะไม่ใช่โอกาสที่สามารถทำให้เขาพลิกชะตาชีวิตได้เหมือนกับตระกูลเฉิน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าได้
“คุณท่านใหญ่หลี่ได้โปรดวางใจ หลังจากวันนี้ไป ทายาทของท่านจะต้องยอมกลับไปกลับท่านแต่โดยดีอย่างแน่นอน”
ในเมื่อมีโอกาสได้รับเชิญมาแล้ว โจวเย่นชิวจึงรู้จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ดี เขาจึงเอ่ยปากพูดด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใสเสียก่อน
หากจะว่ากันตามตรงแล้ว งานเลี้ยงในครั้งนี้ จัดขึ้นก็เพราะเจ้าบ้านใหญ่ ต้องการแสดงให้ลูกชายตัวแสบของตระกูลได้เห็นว่า ตระกูลของเจ้าบ้านใหญ่มีความสามารถในการเรียกเจ้าบ้านเล็กๆ มาได้มากมายขนาดไหน จากนั้นก็ให้ลูกชายตัวแสบ ยอมกลับไปตระกูลไปกับเขาด้วยความเต็มใจ เพื่อไปทำหน้าที่เจ้าบ้านมิใช่หรือ ?
“ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมาก”
คุณท่านใหญ่หลี่ยกมือขึ้นคารวะด้วยท่าทีเรียบเฉย แต่กลับไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกขอบคุณเลยแม้แต่น้อย
ในความเป็นจริงแล้ว เขาเองไม่ต้องแสดงความขอบคุณต่อโจวเย่นชิวเลยด้วยซ้ำ
เขาเป็นเจ้าของตระกูลที่รวยที่สุดของเมืองหลวง
ในสายตาของเขาแล้ว ผู้มีอำนาจในท้องที่เล็กๆ อย่างโจวเย่นชิว ก็เป็นแค่มดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
“มากันมากมายขนาดนี้เชียว ?”
ตอนนี้เอง มีเสียงหัวเราะเยาะดังเข้ามาจากนอกห้อง
ทุกคนหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน
โจวเย่นชิวที่เดิมทีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จู่ๆ กลับมีความตกตะลึงปรากฏขึ้นมาแทนที่รอยยิ้มนั้นในทันที
ผู้อำนวยการหลิวเองก็รู้สึกตกตะลึงไม่แพ้กัน มือทั้งสองข้างของเขากดลงบนโต๊ะอาหาร แทบจะกระโดดตัวลอย
ขึ้นมา
ท่านเมิ่งเองก็ตกใจจนกระทั่งมุมปากกระตุก เขาหันไปมองคุณท่านใหญ่หลี่ผู้สูงส่งและเย่อหยิ่งด้วยความประหลาดใจ
ส่วนคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ แสดงอาการตกใจออกมาเช่นกัน
ตอนนี้เฉินตงและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่งถือได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลของเมืองนี้
ด้วยฐานะของทุกคนที่นั่งอยู่ในตอนนี้ หากไม่รู้จักเฉินตง ก็คงจะเป็นเรื่องแปลก
อันที่จริงแล้ว ขณะที่เฉินตงได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของคนที่นั่งอยู่ภายในห้องเหล่านั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเองก็หายไปทันทีเช่นกัน
บังเอิญขนาดนี้เลยหรือ ?
ท่านเมิ่ง ผู้อำนวยการหลิว และเหล่าสหายของกู้โก๋ฮั๋ว นั่งอยู่ในห้องนี้มากกว่าครึ่ง
อีกทั้งยังมีโจวเย่นชิวเอง ที่เพิ่งจะถูกเขาจับหัก “กระดูกสันหลัง” มาหมาดๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง !
แต่ทันใดนั้นเอง เฉินตงก็เข้าใจทุกอย่างในทันที เขาแสดงสีหน้าเย็นชาออกมา
นี่มันเป็นการนัดพูดคุยที่ไหนกัน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นการข่มขู่ !
ถึงแม้คนที่เหลือเขาจะไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตานัก แต่คนที่เคยคุ้นเคยเป็นอย่างดีทั้งสามคน ต่างก็เป็นคนที่มีอิทธิพลในเมืองนี้ทั้งนั้น
หากเป็นการนัดพูดคุยจริงๆ ทำไมจะต้องเชิญคนใหญ่คนโตมามากมายขนาดนี้ด้วย ?
ตึง !
มีเสียงหนึ่งดังสนั่นขึ้นภายในห้องอาหาร
คุณท่านใหญ่หลี่ใช้ไม้เท้าหนักอึ้งของเขาเคาะลงไปบนพื้นด้วยท่าทีโมโห และตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ตงเอ๋อ วันนี้มีทั้งมิตรสหายและผู้หลักผู้ใหญ่นั่งอยู่รวมกันเต็มไปหมด ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่เธออยู่ทั้งนั้น เธอมาสายแบบนี้ ถือว่าเป็นการเสียมารยาท ทำไมถึงยังไม่กล่าวขอโทษอีก ?”
ทันทีที่ได้ยิน
ท่านเมิ่งก็นั่งนิ่งด้วยความตกตะลึง
นี่……ต้องขอโทษด้วยหรือ ?
“ขอโทษเรื่องอะไร ?”
เฉินตงเลิกคิ้วแล้วยิ้มเยาะ : “คุณนัดผมให้มาถึงที่นี่ตอนเที่ยง ผมก็มาถึงตรงเวลา ผมเสียมารยาทตรงไหน ?”
คุณท่านใหญ่หลี่ยืดตัวตรง แล้วขมวดคิ้วด้วยความโมโห : “เธอให้พวกเราทุกคนที่นี่รอเธอคนเดียว ถือว่าเสียมารยาท !”
“เหอะ !”
รอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าของเฉินตงเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น : “คุณวางมาดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ถ้าคิดจะขู่ผมก็แสดงออกมาตรงๆ จะมัวทำอวดเบ่งอยู่ทำไม ?”
ขู่ ?
พวกของท่านเมิ่งต่างขมวดคิ้วแน่นและใจเต้นระส่ำ
คนของตระกูลหลี่ก็คือเฉินตง เรื่องนี้เพียงพอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกตกใจได้ไม่น้อย
การจะให้เฉินตงรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ยิ่งดูจะเป็นเรื่องใหญ่
แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นเรื่องของการข่มขู่ไปได้อีก ?
ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ล้วนแล้วแต่อยู่ในวัยที่มีความคิดรอบคอบกันทั้งนั้น ไม่ช้าพวกเขาก็เข้าใจในทันทีว่า อาหารมื้อนี้นั้นไม่อร่อยเอาเสียเลย
แกล้าแข็งข้ออย่างนั้นหรือ ! ฉันบอกให้เธอขอโทษ !”
คุณท่านใหญ่หลี่รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก เขาตะคอกด้วยความโกรธ
“มีสิทธิ์อะไรมาใช้ให้ผมขอโทษ ?”
เฉินตงส่ายหัวอย่างไม่แยแส เขาส่ายหน้าพลางโบกมือพร้อมกับหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ วางมือข้างหนึ่งลงบนที่พักแขนอย่างเกียจคร้านและนั่งไขว่ห้าง
จากนั้นจึงกวาดสายตามองดูทุกคน จนกระทั่งมาหยุดที่คุณท่านใหญ่หลี่เป็นคนสุดท้าย
“คุณลองถามดูซิว่า พวกเขาในที่นี้มีใครกล้ารับคำขอโทษจากผมบ้าง ?”