เฉินตงที่กำลังเคร่งเครียดหยุดเดินในทันที
ท่านหลงและคุนหลุนเองก็ตกตะลึงและหยุดเดินเช่นกัน
ฉินเย่กำลังทำอะไรอยู่ ?
“ถ้านายอยากตามมาก็เชิญ แต่หากเกินอะไรขึ้น ฉันไม่รับประกันนะ”
น้ำเสียงของเฉินตงเย็นชา หลังจากพูดจบ เขาก็เดินลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็วทันที
ฉินเย่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบเดินตามไปทันที เขาใช้มือซ้ายและมือขวาโอบไหล่ของท่านหลงและคุนหลุนเอาไว้คนละข้าง
“วางใจเถอะ ชั่วดีอย่างไรฉันก็เป็นคนของตระกูลฉินแห่งซีสู่ ตระกูลหลี่ที่พวกนายพูดถึงคือเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองหลวงใช่ไหม ?”
“ใช่ คุณจะตามไปจริงๆ หรือ ?”
ท่านหลงกล่าวเตือน เรื่องครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ๆ
คุณท่านใหญ่หลี่ลักพาตัวคุณผู้หญิงกลับตระกูลหลี่ เป็นการแตะต้องของล้ำค่าที่สุดของเฉินตง
ที่เฉินตงกล่าวว่าจะพังตระกูลหลี่ให้ราบเป็นหน้ากลองนั้น คงไม่ได้พูดเล่นแน่นอน !
“น่าสนุก แบบนี้สิถึงจะน่าสนุก !”
ฉินเย่หัวเราะออกมาเสียงดัง : “วันๆ เอาแต่แลกเปลี่ยนทักษะกับผู้หญิง จนร่างกายของฉันซูบผอมหมดแล้ว นี่ก็ถือเสียว่าเป็นการออกไปพักผ่อนของฉัน”
ท่านหลงและคุนหลุนไปหน้าแดงก่ำ พูดไม่ออกในทันที
ขณะที่พวกของเฉินตงไปถึงสนามบิน
ก็มีคนจากสำนักงานของตระกูลเฉินมายืนรออยู่นานแล้ว และได้นำทางพวกเขาเดินตรงไปยังทางเดินด้านใน แล้วเข้าไปสู่ลานจอดเครื่องบินส่วนตัว
ด้วยฐานะของตระกูลเฉิน ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเรียกใช้เครื่องบินส่วนตัวในเวลาที่ฉุกเฉินเช่นนี้
ขณะที่เครื่องบินกำลังทะยานขึ้น
อุณหภูมิภายในห้องโดยสารก็ลดต่ำลงเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นคุนหลุนหรือว่าท่านหลง ต่างก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินตง ราวกับว่ามีบรรยากาศที่ดูน่าหดหู่และตื่นตระหนก กระจายอยู่รอบตัวของเฉินตง
ต่อให้เป็นคนขวางโลกอย่างฉินเย่ ยังมีท่าทีที่เคร่งขรึมลง และมองเฉินตงนิ่งโดยไม่พูดไม่จา
“คุณชาย กระผมติดต่อกับเจ้าบ้านแล้ว” ท่านหลงอย่างเคร่งขรึม
เฉินตงพยักหน้า
เขามีท่าทีและแววตาที่แสดงออกอย่างเย็นชา
ท่านหลงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ท่าทางของคุณชายในตอนนี้ ราวกับสัตว์ร้ายที่มีอารมณ์โกรธคุกรุ่นอยู่ภายใน
ทันทีที่อารมณ์โกรธนั้นระเบิดออกมา ผลลัพธ์ที่จะตามมาก็คือหายนะ
ท่านหลงลังเลอยู่สักครู่แล้วพูดเตือนว่า : “คุณชาย ตระกูลหลี่เป็นถึงเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ได้โปรด……”
“เขาแตะต้องฉัน ฉันไม่ว่า แต่ถ้าแตะต้องแม่ของฉันฉันไม่มีวันยอม ! ฉันเคยยอมเขาจนถึงที่สุดแล้ว ในเมื่อเขาหน้าไม่อาย ฉันก็จะไม่ไว้หน้าเขาอีกต่อไป !”
คำพูดเพียงประโยคเดียว ทำให้ท่านหลงต้องกลืน คำพูดที่กำลังจะพูดออกมากลับลงท้องไป
เขารู้ดีว่าต่อให้พูดเตือนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ท่านหลงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงหันออกไปมองก้อนเมฆนอกหน้าต่างด้วยความเครียด
เมืองหลวงคืนนี้ เกรงว่าคงเกิดพายุลูกใหญ่แน่นอน……
ฉินเย่แววตาเป็นประกาย เขาหัวเราะและถามขึ้นว่า : “จริงๆแล้วผมกำลังนึกสงสัยว่า คุณเกี่ยวดองกับตระกูลหลี่ได้อย่างไร ?”
“นายรอดูการแสดงก็พอแล้ว” เฉินตงตอบกลับอย่างเย็นชา
ฉินเย่ยักไหล่ แล้วพูดลอยๆ ว่า : “ก็ได้ ผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉินที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนาย กล้าท้าทายกับตระกูลหลี่โดยไม่เกรงกลัวเช่นนี้ ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว !”
ขณะที่พูด เขายังหันไปยกนิ้วหัวแม่มือให้กับเฉินตง
เฉินตงถูขมับด้วยความรู้สึกรำคาญ : “คุนหลุน จับเขาโยนลงไป !”
คุนหลุนหันไปจองฉินเย่ตาเขม็งด้วยสีหน้าดุดัน
ฉินเย่รีบโบกมือเพื่อขอความเมตตา : “ก็ได้ๆ ผมผิดไปแล้วพอใจหรือยัง ?”
“หนวกหู !”
เฉินตงเหลือบมองฉินเย่ด้วยความรำคาญ จากนั้นจึงหลับตาลงและนอนพักผ่อน
ส่วนท่านหลงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ส่งสายตาเพื่อตักเตือนฉินเย่
ฉินเย่ไม่รู้นิสัยของคุณชาย แต่เขากับคุนหลุนนั้นรู้ดี !
สิ้งล้ำค่าของมังกร ใครกล้าแตะจะต้องตาย !
หากเฉินตงเป็นคนอารมณ์ดีจริงๆ ตอนนั้นเขาคงไม่พยายามแทงตัวเอง เพื่อที่จะช่วยแม่ของเขาแก้แค้นเฉินเทียนเซิงแน่นอน
เมืองหลวง
เป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่ระดับนานาชาติอย่างแท้จริง
เป็นเพราะความเหลื่อมล้ำทางด้านฐานะ ทำให้ผู้คนจำนวนมาก หลั่งไหล่มารวมตัวกันอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้
ทำให้เมืองหลวงที่เหล่ามังกรและพยัคฆ์หลบซ่อนตัวอยู่มากมาย ทำให้มีสภาพสังคมที่สลับซับซ้อน
คนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดในหมู่ผู้อ่อนแอ ก็อาจไม่ใช่คนที่เข้มแข็งเสมอไป
แต่หากสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดในหมู่ผู้แข็งแกร่งได้ นั่นจึงจะถือว่าเป็นคนที่เข้มแข็ง !
ตระกูลหลี่เองก็เป็นเช่นนี้ !
สามารถยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวงที่วุ่นวายนี้ได้อย่างมั่นคง แสดงว่าภูมิหลังจะต้องไม่ธรรมดา
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง
โคมไฟในเมืองหลวงเริ่มส่องแสงสว่างและงดงามตระการตา
แต่ท้องฟ้าในคืนนี้ของเมืองหลวงกลับมองไม่เห็นดวงจันทร์และดวงดาว เมืองทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ
พายุกำลังตั้งเค้า
ปกคลุมเมืองทั้งเมืองเอาไว้
บริเวณชานเมืองของเมืองหลวง
บริเวณจุดชมวิวภูเขาเซียงซาน ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับชมวิวทิวทัศน์ชื่อดังของเมืองหลวง แต่ละวันต้องรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนหลายหมื่นคน
แต่มีเพียงไม่กี่คนที่จะรู้ว่า ในมุมหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปของเขาเซียงซาน มีคฤหาสน์ปราสาทหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามสำหรับคนทั่วไป
จำเป็นจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของคฤหาสน์ปราสาทเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปได้
และที่นี่ ก็คือที่อยู่ของตระกูลหลี่ !
คฤหาสน์ปราสาทสว่างไสวอยู่ภายใต้ค่ำคืนอันมืดมิด
บรรยากาศในภูเขาค่อนข้างรกร้าง แต่กลับทำให้คฤหาสน์ปราสาทดูลึกลับและเงียบสงบ
ภายในห้อง
หลี่หลานมองห้องที่คุ้นเคยด้วยท่าทีสะลึมสะลือ
ตรงหน้ามีอาหารรสเลิศวางอยู่หลายสิบอย่าง
แต่เธอกลับไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด ดวงตาของเธอแดงก่ำและเต็มไปด้วยน้ำตา
สิ่งที่คุณท่านใหญ่หลี่ทำในวันนี้ สามารถใช้คำว่า “ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย” มาใช้อธิบายได้อย่างแท้จริง และไม่ผ่านการกลั่นกรองแม้แต่นิดเดียว
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเติบโตขึ้นมาในตระกูลหลี่ และรู้ว่าตระกูลหลี่ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงจนถึงขั้นเลือดเย็นแล้วล่ะก็ เธอคงจะนึกสงสัยแล้วว่าตนเองเป็นลูกแท้ๆ ของคุณท่านใหญ่หลี่จริงๆ หรือไม่
แอ๊ด !
ประตูห้องเปิดออก
คุณท่านใหญ่หลี่เดินเข้ามาข้างใน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“หลานเอ๋อ นี่คือห้องที่ลูกเคยอยู่เมื่อก่อน ยี่สิบกว่าปีมานี้ พ่อให้คนเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือยกย้ายข้าวของใดๆ เลย”
“แล้วอย่างไร ?”
หลี่หลานหันมองคุณท่านใหญ่หลี่ด้วยความโกรธ มีน้ำตาเอ่อล้นอยู่เต็มดวงตา
“พ่อรู้ดีว่าลูกยังโทษพ่ออยู่”
คุณท่านใหญ่หลี่ยิ้มอย่างขมขื่น แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสง่างาม จากนั้นจึงเหลือบมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย : “ไม่ถูกปากหรือ ? ถ้าเช่นนั้นพ่อจะใช้ให้คนเททิ้งแล้วทำให้ใหม่”
“อาหารของตระกูลหลี่ ฉันกินไม่ลง”
หลี่หลานกัดริมฝีปาก แต่เป็นเพราะออกแรงมากเกินไป จนถึงขั้นทำให้ริมฝีปากมีเลือดออก
“หลานเอ๋อเอ๋ย ที่ตอนนั้นพ่อทำเช่นนั้น เพราะคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม”
คุณท่านใหญ่หลี่ถอนหายใจ แล้วพูดอธิบายว่า : “ลูกเป็นลูกสาว คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ในตระกูลหลี่ก็เพียงพอแล้ว เฉินเต้าหลินคนนั้นทอดทิ้งพวกเจ้าสองแม่ลูก หากพวกเจ้าซึ่งเป็นลูกกำพร้าและหญิงม่ายต้องถือครองทรัพย์สินเหล่านั้นเอาไว้ คงจะต้องถูกคนยักยอกอย่างแน่นอน ในฐานะที่เป็นคนตระกูลหลี่ การทำให้ครอบครัวแข็งแกร่งขึ้น ถือเป็นสิ่งเดียวที่เธอควรจะทำ !”
“ถุย !”
หลี่หลานหัวเราะออกมาทันที เธอจ้องมองไปที่คุณท่านใหญ่หลี่อย่างดุดัน : “คุณกล้าพูดได้อย่างตรงไปตรงมาจริงๆ ! เพื่อความแข็งแกร่งของตระกูลหลี่ คุณจึงไม่จำเป็นต้องสนใจไยดีชีวิตของฉันและเฉินตง อีกทั้งยังยักยอกทรัพย์และบีบบังคับฉันมาตลอดยี่สิบปีอย่างนี้หรือ ?”
“คุณตาบอดหรืออย่างไร ? ถึงฉันจะเป็นลูกสาว แต่ความสามารถของฉันเหนือกว่าบรรดาลูกสุดที่รักของคุณพวกนั้นมากนัก คุณกลัวว่าฉันจะถูกคนยักยอกทรัพย์ จึงบีบบังคับเอาไปอย่างนั้นหรือ ? มันไม่ตลกไปหน่อยหรือ ?”
คำถามที่ร่ายยาวมาเป็นชุด ทำให้ใบหน้าของคุณท่านใหญ่หลี่แดงก่ำและรู้สึกกระสับกระส่าย
หลี่หลานอยู่ในท่าทีหยิ่งผยอง ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเธอต้องการที่จะระบายความคับแค้นใจออกมา
เธอค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วจ้องมองลงมาที่คุณท่านใหญ่หลี่อย่างดูถูก ใบหน้าแสดงออกถึงความเยาะเย้ยถากถาง
“คุณให้ความสำคัญกับลูกสาวมากกว่าลูกชาย คำก็เพื่อความยิ่งใหญ่ของตระกูล สองคำก็เพื่อความยิ่งใหญ่ของตระกูล ถึงขั้นแย่งชิงทรัพย์สินที่เต้าหลินทิ้งเอาไว้ให้ฉันกับเฉินตงอย่างโหดร้าย เพื่อนำมาบำเรอตระกูลหลี่ แต่ลูกชายหน้าโง่ของคุณเหล่านั้นกลับทำให้ตระกูลหลี่ต้องมีสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าคุณต้องยอมเชิญฉันกับเฉินตงกลับมาค้ำจุนตระกูลหลี่อย่างนั้นหรือ ?”
น้ำเสียงที่ทรงพลัง แต่ละคำบาดลึกราวกับถูกมีดกรีดลงไปที่หัวใจของคุณท่านใหญ่หลี่
ท่าทีเต็มไปด้วยการดูถูกและเหยียดหยาม
คุณท่านใหญ่หลี่ยืดอกขึ้น สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดถึงขีดสุด
“แกมันเป็นลูกสาวที่หัวรั้นและอกตัญญู !”
เผียะ !
ภาพของไม้เท้าปรากฏขึ้นในตา
และตีลงบนขาขวาของหลี่หลานในทันที
“โอ๊ย !”
หลี่หลานกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เธอล้มลงกับพื้นทันที ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ตัวของเธอสั่นเทา เหงื่อกาฬแตกพล่านราวกับสายฝน
คนที่ดื้อรั้นอย่างเธอ ยังคงจ้องมองไปที่คุณท่านใหญ่หลี่อย่างดุดัน
แล้วกัดฟันพูดออกมาด้วยความโกรธแค้นว่า
“คุณ……ไม่กล้าตีฉันให้ตายหรืออย่างไร ?”