ในห้องอาหาร
เสียงเงียบสงัด
บรรยากาศเริ่มแปลกไป
คุณท่านใหญ่หลี่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความงุนงง
คำพูดที่ผู้อำนวยการพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนเดินออกไป ทำให้เขาเกิดความรู้สึกสับสน ร่างกายของเขารู้สึกรุ่มร้อนเหมือนถูกไฟเผาและรู้สึกตื่นตระหนก
ด้วยตำแหน่งและฐานะของเขา ทำให้เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดราวกับใช้หมัดชกลงไปที่ฝ้าย
ก่อนหน้าที่ ตอนที่เขารู้ว่ากู้โก๋ฮั๋วแห่งบริษัทชิงหยิ่งพักอยู่ที่ลานป่าไผ่ ยังคิดที่จะไปขอเข้าพบ
เพียงชั่วพริบตาเดียว กลับพบว่าเฉินตงเป็นลูกเขยของกู้โก๋ฮั๋ว ?
ตระกูลหลี่ของเขาถูกบริษัทชิงหยิ่งกดเอาไว้อยู่
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีตระกูลเฉินอีก
แล้วมื้ออาหารของเขาในวันนี้……มันคือเรื่องตลกอะไรกัน ?
ตอนนี้เอง
คนที่นั่งอยู่ต่างก็ค่อยๆ ทยอยลุกขึ้น แล้วหันไปยกมือคารวะคุณท่านใหญ่หลี่ จากนั้นจึงหันหลังเดินกลับออกไป
เป็นไปตามคาด เมื่อทุกคนเดินไปถึงตรงหน้าเฉินตง ต่างก็ทยอยกันกล่าวคำขอโทษ
อีกทั้งท่าทีที่แสดงออกนั้น ช่างแตกต่างกับตอนที่หันไปคารวะคุณท่านใหญ่หลี่ราวฟ้ากับดิน
เพียงชั่วพริบตา
ในห้องอาหาร ก็เหลือเพียงแค่โจวเย่นชิวที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้
คุณท่านใหญ่หลี่หันไปมองโจวเย่นชิวด้วยความชื่นชม : “เสี่ยวโจว เธอ……”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณท่านใหญ่หลี่ก็หายไปทันที
เขามองดูด้วยความตกใจ
สิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าคือ โจวเย่นชิวค่อยๆ ลุกขึ้น
จากนั้นจึงหันมาคารวะคุณท่านใหญ่หลี่ : “ขออภัยด้วยคุณท่านใหญ่หลี่ ฐานะของผมต้องต่ำที่สุดในที่นี้ ถ้าหากจะกลับก่อน ก็คงเป็นการเสียมารยาท”
พูดจบ แววตาของคุณท่านใหญ่หลี่ก็เต็มไปด้วยความโกรธราวกับจะสามารถกินคนได้
โจวเย่นชิวเดินไปตรงหน้าของเฉินตง
จากนั้น
เขาก็โค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“คุณเฉิน ขออภัยด้วย ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย”
เปรี้ยง !
ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ราวกับค้อนหนักๆ ที่ฟาดลงมาบนลูกตาของคุณท่านใหญ่หลี่อย่างแรง
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกหายใจเหนื่อยหอบ ลูกกระเดือกของเขาขยับราวกับจะกระอักเลือดออกมาเสียให้ได้
เขารู้ดีว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ตงของเฉินตงที่อยู่ในเมืองนี้ กำลังทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่อย่างไรเสีย ศักยภาพก็ยังไม่อาจเทียบได้กับโจวเย่นชิว
คนหนึ่งเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ส่วนอีกคนเป็นผู้นำด้านห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงมานานแล้ว
ทั้งสองคนนี้ ต่อให้เฉินตงจะมีตระกูลเฉินและตระกูลกู้คอยหนุนหลังอยู่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้โจวเย่นชิวรู้สึกต่ำต้อยถึงขั้นนี้ได้
“อืม ไปเถอะ”
เฉินตงพยักหน้าอย่างเย็นชา
ถูกดัดหลังแล้ว ต่อไปก็อย่าคิดที่จะมาเหิมเกริมต่อหน้าเขาอีก
หลังจากที่โจวเย่นชิวกลับไปแล้ว
เฉินตงจึงหันไปมองคุณท่านใหญ่หลี่ที่นั่งนิ่งเป็นท่อนไม้ ด้วยแววตาที่เย็นชา บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความเย้ยหยัน
เขายักไหล่ แล้วพูดว่า : “การขู่ของคุณ จบลงแล้ว”
ถึงแม้จะพูดเพียงเบาๆ แต่นำเสียงกลับเต็มไปด้วยการดูถูกเยาะเย้ย ทำให้คุณท่านไหล่หลี่โกรธจนตัวสั่ง และได้สติคืนมา
เขาหันมองเฉินตงด้วยแววตาที่ซับซ้อน ริมฝีปากของเขาขยับ แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดตอบโต้กลับไปเช่นไร
เขาต้องการแสดงฐานะของตระกูลหลี่ให้เฉินตงได้เห็น เพื่อให้เฉินตงเชื่อฟังและยอมก้มหัวให้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า อาหารมื้อนี้ จะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“เมื่อก่อนพวกคุณรังแกพวกเราสองแม่ลูกซึ่งเป็นเด็กกำพร้าและหญิงม่าย เอารัดเอาเปรียบตระกูลของเรา คุณมันเป็นพ่อประสาอะไร !
เฉินตงค่อยๆ ลุกขึ้น และพูดด้วยความเดือดดาล : “กลับไปตระกูลหลี่ที่แสนอำมหิตของคุณซะ อย่ามาวุ่นวายกับแม่ของผมอีก ตอนนั้นแม่ของผมตั้งท้องผมอยู่ เลยไม่อยากมีปัญหากับพวกคุณ แต่ตอนนี้ ถ้าคุณยังกล้ามายุ่งวุ่นวายอีก ผมจะเป็นคนส่งคุณไปตายเอง !”
“ตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลหลี่ของคุณ ผมไม่อยากได้เลยสักนิด !”
คุณท่านใหญ่หลี่ใบหน้าซีดเผือด แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แทบจะครวญครางว่า : “ตงเอ๋อ ถ้าเธอกลับไปตระกูลหลี่ รับหน้าที่ผู้สืบทอดมรดก ด้วยศักยภาพที่ตระกูลหลี่มี เส้นทางในอนาคตของเธอ จะต้องราบรื่นราวกับโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน สำหรับเธอและตระกูลหลี่ นี่ถือเป็นทางออกที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย !”
“ดังนั้น คุณเลยสร้างเรื่องวันนี้ขึ้น ?”
เฉินตงแสยะยิ้มออกมา ใบหน้าเต็มใบด้วยการดูถูกเยาะเย้ย : “คุณคิดที่จะแสดงศักยภาพของตระกูลหลี่ให้ผมดู แต่ศักยภาพของคุณ กลับอยู่เพียงแค่ใต้เท้าของผมเท่านั้น คุณว่ามันน่าขำไหมล่ะ ?”
คำพูดดูถูกเพียงคำเดียว แต่กลับเป็นเหมือนมีดที่ถูกเผาจนร้อน แล้วนำมากรีดลงไปตรงหัวใจของคุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่
เฉินตงไม่คิดจะอยู่ต่อ เขาหันหลังแล้วเดินจากไปทันที
แต่บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่หน้าประตูกลับขวางเขาเอาไว้
“อยากตายเหรอ ?”
เฉินตงเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋าแล้วเลิกคิ้วถาม
แววตาอำมหิตของเขา ทำให้บรรยากาศโดยรอบหนาวเย็นขึ้นมาในทันที
คุนหลุนเดินก้าวเข้ามา รูปร่างที่สูงตระหง่านของเขาทำให้บอดี้การ์ดทั้งสองต้องผงะไป
“หลีกไป !”
คุนหลุนตะคอกด้วยความโมโห
บอดี้การ์ดทั้งสองคนรีบเปิดทางให้ทันที
เฉินตงยิ้มแล้วหันกลับไปพูดกับคุณท่านใหญ่หลี่ว่า : “ต่อให้คนของคุณจะมีมากกว่านี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับคุนหลุนของผมแค่คนเดียว”
ทั้งการดูถูก เยาะเย้ย เสียดสี ถูกรวมอยู่ในคำพูดประโยคนี้ประโยคเดียว
ที่เขามาวันนี้ ไม่ได้มาเพื่อที่จะก้มหัวให้
แต่เขามาเพื่อที่จะบอกคุณท่านใหญ่หลี่ว่า เขาไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ และไม่ใช่คนที่จะข่มขู่ได้
วิธีที่ดีที่สุดที่จะใช้จัดการกับคนใจดำอำมหิตที่ไร้ยางอายและชอบยกตนข่มท่านก็คือ ต้องทำตัวให้โหดเหี้ยมและอำมหิตกว่าเขา
คุณท่านใหญ่หลี่แววตาเศร้ามอง มองดูเฉินตงเดินจากไปด้วยความผิดหวัง
มือทั้งสองข้างของเขาที่จับไม้เท้าอยู่สั่นเทา เส้นเลือดบนหลังมือปูดโปนขึ้นมา
เขาเป็นเจ้าบ้านตระกูลหลี่ เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง
บารมีที่สั่งสมมาตลอดหลายสิบปี ความเชื่อมั่นในตนเองและความเย่อหยิ่งที่มีมาหลายทศวรรษ
คิดไม่ถึงเลยว่า บัดนี้ จะถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของหลานชายแท้ๆ ของเขา !
ในเมืองหลวง ใครไม่รู้จักคุณท่านใหญ่หลี่บ้าง ? ใครไม่ไว้หน้าคุณท่านใหญ่หลี่บ้าง ? ใครที่ไม่คิดจะเลียแข้งเลียขาตระกูลหลี่บ้าง ?
แต่ที่นี่ ทุกอย่างกลับสูญสิ้นไปหมดแล้ว !
เขารู้สึกว่าความภาคภูมิใจและศักยภาพที่มี ถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเฉินตงเรียบร้อยแล้ว !
“ดี ดีมาก เป็นหลานชายที่ดีของฉันจริงๆ……”
คุณท่านใหญ่หลี่กัดฟันกรอด แต่จู่ๆ กลับยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจ : “ยิ่งแกแข็งแกร่งเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งต้องดึงแกกลับมาที่ตระกูลหลี่ให้ได้ มีเพียงแกเท่านั้นที่จะมาค้ำจุนตระกูลหลี่ที่กำลังสั่นคลอนในตอนนี้ได้ จะว่าไปแล้ว หลี่หลานเอง ก็ถือว่าได้ให้กำเนิดลูกชายที่ยอดเยี่ยมออกมาคนหนึ่ง !”
ในสายตาของเขา สนใจก็เพียงแค่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น
หากมีผลประโยชน์วางอยู่ตรงหน้า เขาก็ยอมที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
เช่นเดียวกับในตอนนั้น เมื่อเขาได้เห็นมรดกที่เฉินเต้าหลินทิ้งเอาไว้ เขาก็รู้สึกหวั่นไหว ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะใช้อำนาจของตระกูลหลี่ บีบบังคับหลี่หลาน กอบโกยผลประโยชน์โดยไม่รู้สึกละอายใจ
แต่ในตอนนี้ ตระกูลหลี่กำลังจะพ่ายแพ้และพังทลาย
คุณท่านใหญ่หลี่มองออกอย่างชัดเจนและรู้ดีอยู่แก่ใจ
ในตระกูลไม่มีทายาทคนไหนที่จะสามารถแบกรับภาระของตระกูลหลี่ไว้ได้อีกต่อไป
การให้เฉินตงเข้ามารับช่วงตระกูลหลี่ต่อ ถือเป็นทางรอดเพียงทางเดียวของตระกูลหลี่
ถึงแม้วิธีนี้อาจกระทบต่อผลประโยชน์ของคนในตระกูล แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก
สิ่งที่เขาสนใจคือต้องการให้ตระกูลหลี่ยังคงยืนหยัดต่อไปได้ โดยไม่ได้สนใจว่าใครจะขึ้นมาเป็นเจ้าบ้าน
ขอเพียงแค่ตระกูลหลี่ยังคงเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปได้ หน้าตาและศักดิ์ศรีของเขาก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
เมื่อออกจากลานซานไห่แล้ว
เฉินตงและคุนหลุนก็ไม่ได้กลับออกจากคลับสี่ยิ่นในทันที
ไหนๆ ก็มาแล้ว เขาจึงถือโอกาสตรงไปยังลานป่าไผ่
ขณะที่เขาเดินเข้าไปในลานป่าไผ่ กลับพบว่ากู้ชิหยิ่งมายืนรอเขาอยู่นานแล้ว
เมื่อเห็นเฉินตง กู้ชิงหยิ่งก็วิ่งเข้าไปหาอย่างร่าเริง : “คนโง่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
เฉินตงผงะไป เขาเลิกคิ้วแล้วมองเข้าไปในห้องรับแขก : “ท่านเมิ่งกับผู้อำนวยการหลิวมาที่นี่แล้ว ?”
“อืม พวกเขาเล่าให้ฟังหมดแล้ว”
กู้ชิงหยิ่งมองดูเฉินตงด้วยแววตาที่แปลกประหลาด เธอมองพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นจึงพูดติดตลกว่า : “คนโง่ ทำไมตอนเรียนมหาวิทยาลัยฉันถึงไม่รู้เลยว่าคุณยอดเยี่ยมขนาดนี้ ? ภูมิหลังของคุณ เหนือกว่าฉันหลายเท่านัก !”
“ผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน”
เฉินตงถูจมูกไปมา แล้วขำตัวเอง
กว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะยกระดับตัวเอง
ใครจะไปรู้ว่าพ่อและแม่ของตนเอง จะมียักษ์ใหญ่ที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง ?
“คุณช่างเป็นบุคคลล้ำค่าเสียจริงๆ ยิ่งนานวันฉันยิ่งรู้สึกสงสัยว่า คุณยังจะมีฐานะอะไรที่จะสามารถทำให้คนอื่นรู้สึกตกตะลึงได้อีก ?”
กู้ชิงหยิ่งลูบคางแล้วกล่าว
“บุคคลล้ำค่า ?”
เฉินตงเลิกคิ้วแล้วยิ้ม เขาเอาใบหูของเขาแนบเข้าที่ใบหูของกู้ชิงหยิ่ง จากนั้นจึงกระซิบเบาๆ พร้อมด้วยลมหายใจที่ร้อนผ่าว : “เด็กโง่ ผมมีของล้ำค่าชิ้นใหญ่อยู่จริงๆ คุณอยากจะดูไหมล่ะ ?”