ยามดึกสงัด
รอบด้านเงียบสนิท
ในห้องนอน ทีวีติดผนังกำลังถ่ายทอดสดข่าวบันเทิง
ในข่าวนั้น เป็นภาพของนักข่าวบันเทิงที่กำลังสัมภาษณ์เฉินหยู่เฟย
เฉินตงขมวดคิ้วน้อยๆ จ้องดูทีวีเขม็ง แต่กลับไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย
“ที่รัก ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอ?” กู้ชิงหยิ่งคลอเคลียอยู่ในอ้อมแขนของเฉินตง
“ฉันจะดูอีกสักพักน่ะ” เสียงของเฉินตงหนักอึ้งเคร่งเครียด สีหน้าหมองหม่นกังวล
กู้ชิงหยิ่งชำเลืองมองดูทีวี แล้วพูดอย่างจนใจว่า : “ เรื่องมันจบลงไปแล้ว ท่านหลงก็หายดีจนออกจากโรงพยาบาลแล้วด้วย ทำไมคุณถึงยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเฉินหยู่เฟยอีกล่ะ?”
เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ที่ท่านหลงได้รับบาดเจ็บ
โชคดีที่ท่านหลงไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง ตอนนี้ได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้วเรียบร้อย
ภาพที่เฉินตงกับเฉินหยู่เฟย พบกันที่โรงพยาบาลลี่จิงในวันนั้น ได้ถูกแชร์ไปจนว่อน Social Network อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมหาศาล
เพื่อขจัดความกังวลของกู้ชิงหยิ่ง เฉินตงจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง
เช่นเดียวกับความคิดของเฉินตง กู้ชิงหยิ่งเองก็รู้สึกว่าเฉินหยู่เฟยเป็นแค่ “เด็กอันธพาล” ที่คิดว่าท่านหลงเป็นคนข้างกายของเฉินตง การเฆี่ยนท่านหลงจึงถือเป็นการระบายโทสะ ได้แก้แค้นแทนคุณหญิงใหญ่เฉินแล้วนั่นเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการตีวัวกระทบคราด เพื่อทำให้เฉินตงลำบากใจ
แต่นับตั้งแต่ช่วงสัปดาห์นี้มา เฉินตงก็ดูวิดีโอสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องเฉินหยู่เฟยเกือบทุกคืน
นี่ทำให้กู้ชิงหยิ่งมีความรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองถูกทอดทิ้ง
ใครบอกว่าคู่บ่าวสาวข้าวใหม่ปลามัน จะได้บรรเลงเพลงรักยามค่ำคืนทุกวันกันนะ?
“ฉันเอาแต่รู้สึกว่า เรื่องมันไม่น่าจะจบลงง่าย ๆ แบบนี้แน่”
เฉินตงยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่ทีวี: “ดูสิ เมื่อไหร่ก็ตามที่เฉินหยู่เฟยเผชิญกับการสัมภาษณ์ เจ้าหล่อนจะสงบอยู่เสมอ พูดจาดีมีจังหวะจะโคน ทั้งคำพูดและการแสดงออก ก็ไม่เคยเผยความโกรธเคืองให้เห็น ทั้งยังไม่พบข้อบกพร่องเลยแม้แต่นิดเดียวด้วย”
หลังออกจากโรงแรมในวันนั้น เฉินตงก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้พบกับเฉินหยู่เฟย
ตลอดเหตุการณ์วันนั้น เฉินหยู่เฟยเอาแต่แสดงความหลงตัวเอง และท่าทีอันหยิ่งผยองราวกับไม่เห็นใครในสายตา แต่เขากลับรู้สึกว่า มันดูไร้เหตุผลอย่างไม่น่าเป็นไปได้
แต่ต่อให้มันดูไร้เหตุผล ไม่น่าเป็นไปได้สักแค่ไหน เฉินตงก็ไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้อยู่ดี
หรือเฉินหยู่เฟยจะเป็นคนโง่ไร้สมองงั้นรึ?
ไม่! เธอไม่โง่อย่างแน่นอน!
ถ้าเธอเป็นพวกโง่ไร้สมองจริง ๆ ไม่มีทางที่เธอจะถูกโอบประคอง จนเหมือนเป็นอัญมณีอันแสนมีค่าในฝ่ามือของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินแน่ ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังอยู่ในวงการบันเทิงที่แสนจะซับซ้อน มากเล่ห์แสนกลอีกด้วย
แม้จะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเฉิน แต่ถ้าเจ้าตัวไม่มีความสามารถจริง ๆ แถมยังมีนิสัยที่หลงตัวเองและหยิ่งผยอง ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะอยู่ในวงการบันเทิงได้
แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น เฉินหยู่เฟยก็ยังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
ไม่ว่าจะเป็นในวงการบันเทิง หรือความนิยมจากบรรดาผู้ชมทั้งหลาย
ดวงตาของกู้ชิงหยิ่งเป็นประกายหม่นแสง หันไปดูวิดีโอสัมภาษณ์พร้อมเฉินตง
พูดกันตามตรง มันก็เป็นเหมือนกับที่เฉินตงพูดมาจริง ๆ นั่นแหละ
ทั้งการพูดและกริยาท่าทาง แม้แต่กู้ชิงหยิ่งเอง ก็ยังเกรงว่าจะทำไม่ได้ขนาดนั้นด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่า…ปกปิดมิดชิด ชนิดที่ไม่มีจุดด่างพร้อยรั่วไหลออกมาให้เห็น
การใช้คำว่า “หยิ่งผยองหลงตัวเอง” มาบรรยายคนแบบนี้ เห็นได้ชัดว่ามีอคติในใจ
“คุณคิดว่าวันนั้นที่เธอมาพบคุณ เธอจงใจแสดงท่าทางแบบนั้นให้คุณเห็นสินะ?”
กู้ชิงหยิ่งถามด้วยความสงสัย: “แต่ถ้าหล่อนทำไปโดยเจตนา นี่ก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วนะ น่าจะมีการเดินเกมอะไรต่อได้แล้วสิ”
“จุดนี้ฉันคิดยังไงก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”
เฉินตงขยี้ผมอย่างหงุดหงิด มองกู้ชิงหยิ่งที่ดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย เริ่มหาวออกมาแล้ว
เฉินตงระงับความรู้สึกสงสัยในใจไว้ก่อน
เขาจูบหน้าผากกู้ชิงหยิ่งเบา ๆ พูดเสียงอ่อนโยนว่า : “เอาเถอะ ช่วงหลายวันมานี้ลำบากคุณแล้วจริง ๆ ต้องมานอนดึกเป็นเพื่อนทุกวัน ฉันไม่คิดแล้วดีกว่า ไปนอนกันเถอะ”
“นอนกัน?” ร่างกายของกู้ชิงหยิ่งสั่นระริก รู้สึกถึงความร้อนที่ใบหู ความเขินอายแผ่กระจายจากโคนหูไปที่แก้ม จนหน้าแดงเห่อร้อนไปหมด
เฉินตงยกยิ้มเจ้าเล่ห์: “ตามนั้นแหละ!”
…………………
เพียงพริบตา เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์
ทุกอย่างเงียบสงบไร้คลื่นลม
ชีวิตดูเหมือนว่าจะกลับมาเป็นปกติดีทุกประการ
เฉินหยู่เฟยไม่มาปรากฏตัวอีกเลย ราวกับว่าเรื่องการเฆี่ยนตีท่านหลงเมื่อวันนั้น ได้จบสิ้นลงไปแล้วอย่างสมบูรณ์
สิ่งนี้ทำให้เฉินตงลดความระแวดระวังลง จิตใจก็ผ่อนคลายลงไปอย่างช้าๆ จนเริ่มไปทุ่มเทกับการทำงานได้อีกครั้ง
ปัญหาของทางบริษัทไท่ติ่งนั้น ท่านหลงก็ช่วยจัดการไปได้พอสมควรแล้ว
ส่วนเรื่องที่เหลือ ภายในเวลาสองสัปดาห์ เฉินตงก็จัดการเคลียร์ได้หมดจดเรียบร้อย
โครงการปรับปรุงย่านสลัมทางตะวันตกของเมืองใกล้จะแล้วเสร็จ หลังจากที่ได้กำไรขั้นต้น ตลาดสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตามมาในภายหลัง ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
แม้แต่โจวจุนหลงกับโจวเย่นชิว ผู้ที่ช่วยเหลือเฉินตงให้รอดพ้นจากช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งอยู่ในย่านสลัมทางตะวันตกของเมือง ก็ยังได้รับประโยชน์อย่างมากมายจากคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้
อีกด้านหนึ่ง ฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียง ก็ร่วมมือกันจัดตั้งบริษัททางการเงินขึ้นมา
นอกจากนี้ยังมีบริษัทการเงินเดิมของตระกูลฉิน ซึ่งทำให้ทันทีที่พวกฉินเย่ลงมือ ทั้งสองก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ ในแวดวงอุตสาหกรรมทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว
สองพี่น้องกวาดโลกแห่งการเงินจนเรียบ ด้วยการเทรดอันยิ่งใหญ่ระดับเทพของทั้งคู่
ทุกสิ่งทุกอย่าง กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดีอย่างเป็นระบบระเบียบ
เช้าตรู่วันนี้
เฉินตงจัดประชุมประจำการ สำหรับผู้บริหารระดับกลางของบริษัท ร่วมกันตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนา และการขยายกิจการของบริษัทไท่ติ่งในอนาคต
เขาเพิ่งกลับถึงห้องทำงาน ก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามา
เมื่อมองไปที่หมายเลขที่ไม่คุ้นเคย เฉินตงก็ขมวดคิ้วมุ่น กดปุ่มตอบรับสัญญาณ
แต่เสียงหัวเราะสดใสราวเสียงนกขมิ้นที่ดังมาจากปลายสาย ทำให้คิ้วของเขายิ่งขมวดเป็นปมขึ้นมาในทันที
“พี่ตง ทำอะไรอยู่เหรอ?”
เฉินหยู่เฟย!
ในระหว่างสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เฉินตงเกือบจะลืมเรื่องของเฉินหยู่เฟยไปแล้ว
แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า จู่ ๆ เธอจะมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“ดูเหมือนเธอจะลืมคำเตือนของฉันไปแล้วสินะ” เสียงของเฉินตงเย็นชาอย่างยิ่ง
“พี่ตงอย่าเพิ่งโกรธกันสิ ฉันก็ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย แค่ครั้งนี้มีกิจกรรมที่ต้องทำ แล้วต้องได้เข้าไปในถิ่นของพี่พอดีจะดีจะชั่วยังไง เราก็ต่างเป็นคนตระกูลเฉินด้วยกัน นัดกินข้าวด้วยกันสักมื้อ มันคงไม่ถือว่ามากเกินไปหรอกเนอะ?”
ที่ปลายสาย เสียงหัวเราะของเฉินหยู่เฟย ยังคงเหมือนเดิมกับในวันนั้นไม่มีผิด มักทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกว่า ทุกเรื่องเป็นแค่เรื่องขำ ๆ จะยังไงก็ได้อยู่ตลอดเวลา
แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่เหมือนน้ำกับไฟ ระหว่างเฉินตงกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน
ต่อให้เฉินหยู่เฟยจะโง่อีกสักแค่ไหน เธอก็คงไม่แสดงท่าทีแบบนี้จริง ๆ หรอกมั้ง?
“ไม่มีเวลา” เฉินตงปฏิเสธออกไปตรงๆ
ในขณะที่กำลังจะวางสาย
เสียงของเฉินหยู่เฟยเย็นเยียบลงทันที: “หึ! ถ้าพี่ไม่ตกลง ฉันก็รับรองไม่ได้หรอกนะว่าจะทำอะไรที่มันเกินเลยไปกว่านั้นรึเปล่า บาดแผลของตาเฒ่าหลงนั่นคงจะเกือบหายดีแล้วใช่มั้ยล่ะ?”
“เธอกล้างั้นเรอะ!”
ความเกลียดชังฉายวาบขึ้นมาในดวงตาของเฉินตง
“ฉันมีอะไรให้ไม่กล้าล่ะ?”
เฉินหยู่เฟยพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ถึงยังไง ฉันก็เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฉิน ฉันจะเฆี่ยนตาเฒ่าหลงนั่นอีกสักกี่ครั้ง เขาก็ต้องเชื่อฟัง แล้วยอมให้ฉันเฆี่ยนต่อไปอยู่ดี”
เฉินตงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา สีหน้าเย็นจัดราวปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง โทสะปะทุเดือด
แม่คุณหนูใหญ่คนนี้ คิดจะเล่นกับไฟให้ได้จริง ๆ ใช่มั้ย?
แทบจะทันทีหลังจากนั้น เสียงของเฉินหยู่เฟยก็ดังขึ้นอีกครั้งจากปลายสาย
“ตกลงนะ เป็นคืนนี้เลย ยังไงฉันก็ไม่กินพี่เข้าไปหรอกน่า แค่หยอกให้กลัวเล่น ๆ หรอก แม้ว่าฉันจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับคุณย่า แต่ฉันก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง พูดตรง ๆ ถ้าคิดจะสู้กันเพื่อให้ได้สืบทอดตำแหน่งทายาทของตระกูล ก็คงจะเป็นไปได้ยากเป้าหมายของฉันคือการได้เป็นดาราดังในวงการบันเทิงต่างหาก ฉันจะไม่มัวมาเล่นกลยุทธ์ตาต่อตาฟันต่อฟันกับพี่ เหมือนกับพวกปากกัดตีนถีบพวกนั้นหรอกนะ”
เฉินตงพูดอย่างเย็นชา: “เวลา สถานที่”
หลังจากวางสายไป
เฉินตงนั่งบนเก้าอี้อย่างจมดิ่งอยู่ในความคิดแต่โทรศัพท์ในมือกลับถูกบีบแน่นจนส่งเสียงลั่นดังเอี๊ยด
คำพูดของเฉินหยู่เฟย ดูคล้ายว่าตัวเธอจะละวางความหยิ่งยโสจากในตอนแรกลงไปได้จนหมด ไม่เหมือนพวกเฉินเทียนเซิงกับเฉินเทียนหย่างคู่นั้น ที่ใช้แต่อารมณ์จนเหมือนเป็นพายุฝนคลุ้มคลั่งมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงมือ
แต่ท่าทางแบบนั้นของเธอ กลับทำให้เขารู้สึกหน่วง ๆ ในใจอย่างประหลาด
ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งละวางท่าทางอันหยิ่งยโสของตัวเองลง แล้วแสดงความไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ เขาย่อมไม่สามารถตอบโต้ด้วยความรุนแรงได้ หากไม่ทำตามที่เจ้าหล่อนพูด ไม่แน่ว่า ผู้หญิงคนนี้อาจแสดงด้านที่ชั่วร้ายของเธอออกมาอีกครั้ง
นี่ต่างหาก คือส่วนที่ยาก
เฉินตงถูขมับ แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้: “คืนนี้ เรามาดูกันว่า เธอจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?”
ในเวลาเดียวกัน.
อีกด้านหนึ่ง ในห้องเพรสซิเด้นท์เชลสวีทของโรงแรมไท่ซาน
หลังจากวางสาย เฉินหยู่เฟยก็ยกยิ้มน้อย ๆ: “ผู้ชายหนอผู้ชาย ช่างปั่นหัวง่ายซะจริงเชียว ถ้าฉันจัดการปัญหาเรื่องของแกเสร็จเมื่อไหร่ ฉันก็จะเข้าใกล้การเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉินมากขึ้นอีกขั้น วิธีการฆ่าคนมีตั้งมากมายเท่าไหร่ พวกผู้ชายต่ำต้อยต้องปากกัดตีนถีบอย่างแก มันช่างโง่เง่าซะจริง ๆ เลย”