หลี่เต๋อซานไม่เข้าใจ
แม้แต่คนในตระกูลหลี่ทั้งหมดก็ไม่เข้าใจ
การที่คุ้นเคยอยู่กับความเย่อหยิ่งจองหองมานาน ทำให้ทุกคนเอาแต่คิดว่า ตระกูลหลี่นั้นยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ต่อให้สิ่งปลูกสร้างจะพังทลายลงมา แต่เศษซากที่เหลืออยู่ก็ยังสามารถใช้เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาราวอยู่เหนือกว่าใครต่อใครได้ไม่เปลี่ยน
แต่คุณท่านใหญ่หลี่รู้ดีว่า กระแสคลื่นพายุในเมืองหลวงมันรุนแรงเชี่ยวกรากแค่ไหน ใคร ๆ ต่างก็ชี้ดาบมาที่ตระกูลหลี่ ฉากหน้าอาจดูสงบนิ่ง แต่ในความเป็นจริง กลับเต็มไปด้วยฝูงหมาป่าที่ลับดาบรอการโจมตีอยู่นานแล้วต่างหาก
ในเมืองหลวงที่ซึ่งเต็มไปด้วยมังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อนเช่นนี้ ก็มีบางคนที่เป็นสัตว์ประหลาด
เมื่อไหร่ก็ตามที่ตระกูลหลี่แสดงอาการอ่อนล้า พวกนั้นก็จะจู่โจมเข้ามาจากทุกด้าน เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลหลี่ก็ไม่ต่างอะไรกับไก่ที่ถูกเชือดถูกถอนขนจนเกลื่อนกลาด อูฐที่ผอมแห้งใกล้ตาย ไม่มีทางจะตัวใหญ่ไปกว่าม้าที่อ้วนพี
ตระกูลหลี่ทุกวันนี้ ไม่มีใครในตระกูลที่สามารถหยุด “ฝันร้าย” ฉากนี้ลงได้
มีเพียงเฉินตงเท่านั้น!
ความสามารถและนิสัยใจคอของเฉินตง เป็นอะไรได้รับการยืนยันมานานแล้ว
กุญแจที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เฉินเต้าหลินที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเฉินตง
หากสามารถใช้เฉินตงเป็นทางผ่าน เข้าไปพึ่งพาภูเขาอันยิ่งใหญ่แบบตระกูลเฉินได้ วิกฤตที่ตระกูลหลี่เผชิญอยู่ในตอนนี้ ก็เท่ากับได้รับการแก้ไขได้ทันที
หากเทียบว่าในเมืองหลวงมีมังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อน ตระกูลเฉินก็คือสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาอย่างแท้จริง แค่เพียงลืมตาแล้วพ่นลมหายใจออกมา ก็สามารถกดดันบีบบังคับมังกรและพยัคฆ์ ด้วยกรงเล็บขนาดมหึมานั้นได้ในพริบตา
ฟ้ามืดไปทุกที
คุณท่านใหญ่หลี่เพิกเฉยต่อคำทัดทานของหลี่เต๋อซาน ฝืนออกจากโรงพยาบาลจนได้
หลังจากที่ทั้งสองเช็กอินที่โรงแรมไท่ซาน คุณท่านใหญ่หลี่ก็ทำตัวหน้าด้าน ติดต่อเฉินตงไปอีกครั้ง
แต่ความเด็ดขาดของเฉินตง ทำให้คุณท่านใหญ่หลี่เครียด จนเกือบจะกระอักเอาเลือดเก่าออกมาจนกบปากอีกครั้งเลยทีเดียว
อีกด้านหนึ่ง
วิลล่าเขาเทียนซาน แสงไฟสว่างไสว
เนื่องจากเพดานราคาบ้านในเมืองระดับนี้ แม้จะเป็นยามค่ำคืนอันมืดมิด วิลล่าเขาเทียนซานก็ยังส่องสว่างไปด้วยแสงไฟอันเป็นเอกลักษณ์ งดงามตระการตาเหนือกว่าที่อื่น
เฉินตงจูงมือกู้ชิงหยิ่ง เดินไปตามถนนอย่างเงียบ ๆ สายลมยามค่ำคืนพัดโชยแผ่วพลิ้ว
กู้ชิงหยิ่งแอบชำเลืองตามองเฉินตง ท่าทางครุ่นคิด
“เธออยากจะถามอะไรฉันรึเปล่า?”
ในที่สุด เฉินตงก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้น
“หา?”
กู้ชิงหยิ่งไม่ได้มีท่าทางร้อนใจอะไร แต่ก็พูดขึ้นในที่สุดว่า “เรื่องของตระกูลหลี่”
“หืม?”
เฉินตงหยุดเดิน หันไปมองกู้ชิงหยิ่งอย่างนุ่มนวล
กู้ชิงหยิ่งพูดขึ้นช้า ๆ ว่า: “ฉันคิดว่าด้วยขนาดของตระกูลหลี่ ถ้าคุณยอมรับคุณท่านใหญ่หลี่ได้ นั่นจะเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง สำหรับการเป็นผู้สืบทอดตระกูลเฉินให้กับคุณได้นะ”
ความเด็ดขาดของเฉินตงตอนที่รับสายจากคุณท่านใหญ่หลี่เมื่อครู่นี้ ถูกกู้ชิงหยิ่งทำให้เกิดอาการสะดุดขึ้นมาเสียแล้ว
เธอไม่ค่อยเห็นความมุ่งมั่นเช่นนี้ ในตัวของเฉินตงบ่อยนัก
มันเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง ที่เกือบจะเรียกว่าใกล้เคียงเจตนาฆ่า ไม่ก็ความโหดเหี้ยมเย็นชาอย่างถึงที่สุด
เฉินตงรู้ว่ากู้ชิงหยิ่งกำลังคิดเพื่อตัวเขาอยู่ จึงไม่รู้สึกโกรธเลย
เขายิ้มเล็กน้อย บีบจมูกโด่งรั้งของกู้ชิงหยิ่งเบา ๆ : “เด็กโง่ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ แต่ฉันแค่ไม่อยากทำเฉย ๆ น่ะ”
กู้ชิงหยิ่งงงงันไปชั่วขณะ
เฉินตงจับมือกู้ชิงหยิ่งแล้วเดินต่อไป เดินไปพลางก็พูดไปพลางว่า: “ฉันไม่มีวันลืมสิ่งที่แม่ของฉันได้รับตอนที่เธอถูกลักพาตัวไปที่บ้านตระกูลหลี่ แล้วก็ไม่มีวันลืมความขุ่นเคืองใจของแม่ที่มีต่อตระกูลหลี่ได้ไปตลอดกาล เรื่องอะไรที่แม่ไม่อยากทำ ฉันจะทำได้ยังไงกันล่ะ?”
สีหน้าของกู้ชิงหยิ่งอึดอัดคล้ายหายใจไม่สะดวก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย
เธอไม่รู้เลยว่า ในทุกคำพูดของเฉินตงนั้น ได้รวมเรื่องราวเลวร้าย หรือต้องก้าวผ่านประสบการณ์แย่ ๆ มามากมายแค่ไหน
แต่เธอก็ยังกระชับมือของเฉินตงไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว เหมือนเป็นการปลอบโยนจิตใจ
“วางใจเถอะ ต่อให้ฉันไม่ยอมรับตระกูลหลี่ ฉันก็ยังมีความสามารถพอที่จะได้รับตำแหน่งเจ้าบ้านคนต่อไปแน่นอน”
เฉินตงยิ้มอย่างมั่นใจ ดวงตาเปล่งประกายสดใส: “บริษัทไท่ติ่งของฉัน บริษัทบันเทิงของฉู่เจียนเจีย ทั้งยังมีบริษัทของโจวจุนหลง รวมถึงหุ้น 50% ในบริษัทการเงินของตระกูลฉินที่ฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียนบริหารอยู่ ทั้งหมดนี้คือหมากตัวสำคัญของฉัน ในการใช้เป็นสิ่งต่อรองเพื่อตำแหน่งเจ้าบ้าน”
“แล้วก็มีตระกูลกู้ของเราด้วย!” กู้ชิงหยิ่งขึ้นเสียงสูงปรี้ดอย่างร้อนรน
เฉินตงผงะ เผยรอยยิ้มอ่อนโยน: “ใช่เลย แล้วก็ยังมีผลงานของตระกูลกู้ของเธอด้วย คุณนายหญิงของท่านเจ้าบ้าน”
ไม่เหมือนคำพูดที่ใช้บอกรักหวานซึ้ง แต่กลับทำให้หัวใจของกู้ชิงหยิ่งสั่นไหวได้อย่างรุนแรง
เธอไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นหรือไม่เป็นเจ้าบ้าน เธอสนใจแค่คำว่า “คุณนาย”สองคำนั้นต่างหาก
นี่คือสิ่งที่เธอเฝ้ารอมานานถึงสามปี สิ่งที่ต้องการที่สุดของที่สุด
แค่ได้จับมืออีกฝ่ายไว้ แล้วแก่เฒ่าไปด้วยกัน
“กลับบ้านกันเถอะ” เฉินตงจูงมือกู้ชิงหยิ่งพาเธอเดินกลับบ้านช้า ๆ
เมื่อทั้งสองใกล้จะถึงประตูหน้าบ้านแล้ว กลับเห็นคุนหลุนที่รีบวิ่งออกมาหาอย่างเร่งรีบ
“คุณชาย แย่แล้วครับ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เฉินตงถาม
คุนหลุนตอบกลับว่า “ ส่วนกลางแจ้งมาว่า มีรถหรูมาจอดคาอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าวิลล่าครับ เขาระบุชื่อมาเลยว่าต้องการจะพบคุณ ถ้าไม่ได้พบจะไม่ยอมย้ายรถออกไปครับ!
เฉินตงพูดติดตลกว่า “บริษัทดูแลส่วนกลางของโจวเย่นชิว กลายเป็นพวกไก่อ่อนขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย?”
เขายังจำได้ว่า ตอนที่หวางเห้าขับรถออดี้ A4 บุกเข้ามาในวิลล่า เพื่อที่จะหยุดหวางเห้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของวิลล่าถึงกับขับรถอีกคันพุ่งเข้าชนออดี้ A4 ของหวางเห้าตรง ๆ แรงชนนั้นมากพอจะทำให้รถพังยับ จนเกือบจะกลายเป็นเศษเหล็กไปเลยทีเดียว
แต่เฉินตงเข้าใจดีว่า คนระดับที่ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านี้ ไม่กล้าลงมือทำอะไรรุนแรงได้ น่ากลัวว่าบารมีของอีกฝ่าย ต้องมากพอที่จะกดดันโจวเย่นชิวได้แบบอยู่หมัดแน่นอน
ลูบ ๆ จมูกเสร็จเฉินตงก็พูดกับกู้ชิงหยิ่งว่า: “เธอกลับบ้านไปก่อนเถอะ ตอนกลางคืนลมมันเย็น รักษาสุขภาพให้ดี ให้คุนหลุนไปกับฉันก็พอแล้ว”
“ได้” กู้ชิงหยิ่งไม่ถามอะไรมาก เดินตรงกลับบ้านไปทันที
เฉินตงกับคุนหลุนเดินไปที่ประตูทางเข้าวิลล่า
ในเวลานี้
รถเบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่ง จอดขวางทางเข้าวิลล่าอยู่
รปภ.หลายสิบคนมองหน้ากัน ไม่กล้าลงมือทำอะไรบุ่มบ่าม
ครั้งแรกที่รถมาถึง พวกเขาก็เข้าไปสอบถาม
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือคำว่า – ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง
เมื่อพวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ก็ส่งผลให้โจวเย่นชิวตื่นตระหนกจนต้องออกคำสั่งด้วยตัวเองเลยว่า ไม่ให้กระทำการอะไรโดยพลการ แล้วรีบแจ้งให้เฉินตงรับทราบโดยทันที
รปภ.ไม่รู้หรอกว่า “ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง” คืออะไร แต่พวกเขาไม่ใช่คนโง่ คนที่ทำให้โจวเย่นชิวมีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้ แปลว่าคนในรถจะต้องเป็นพวกคนใหญ่คนโตที่มีอิทธิพลอย่างแน่นอน
“ดูสิ คุณเฉินมาแล้ว!”
รปภ.ร้องออกมาอย่างโล่งอก
รปภ.ที่เหลือต่างก็หันไปตามเสียงเรียกนั้น สีหน้าของแต่ละคนดูผ่อนคลายลงไปได้บ้างเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน.
เฉินตงและคุนหลุนมาปรากฏตัวที่ประตูวิลล่า
ประตูรถเบนท์ลีย์คันนั้น ก็เปิดออกมาติด ๆ เช่นกัน
สีหน้าของหลี่เต๋อซานดูมืดทะมึน ก้าวลงจากรถก่อนแล้วไปเปิดประตูรถอีกด้านหนึ่ง ช่วยประคองคุณท่านใหญ่หลี่ลงจากรถ
เขาไม่เข้าใจอย่างมาก ทั้งไม่พอใจมากด้วย ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าในอกเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
แต่เขาก็ไม่กล้าคัดค้านคำพูดของพ่อ
เพราะหากว่าคุณท่านใหญ่หลี่ยังมีชีวิตอยู่หนึ่งวัน เขาก็คือท้องฟ้าที่คุ้มหัวคนตระกูลหลี่หนึ่งวัน!
คุณท่านใหญ่หลี่อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก มือหนึ่งถือไม้เท้า มือหนึ่งต้องมีคนคอยพยุง
ถึงกระนั้น ร่างของเขาก็ยังสั่นงันงก ราวกับว่าพร้อมจะล้มลงไปกับพื้นได้ทุกเมื่อ
ผิวซีดเซียว เต็มไปด้วยความน่าหดหู่ใจ ราวกับไม้แห้งที่กำลังจะตาย พร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่
“ท่าทีของฉันมันชัดเจนแน่วแน่เพียงพอแล้ว คุณก็อายุตั้งขนาดนี้แล้วนะ ยังจะหน้าด้านไร้ยางอายจนถึงขั้นนี้เลยเชียวเหรอ?”
น้ำเสียงเย็นชาแฝงความขยะแขยง ดังออกมาจากปากของเฉินตง
เขาเดินไปหยุดที่หน้าประตู มองไปที่คุณท่านใหญ่กับหลี่เต๋อซานด้วยแววตาลุ่มลึกเย็นชา
หลี่เต๋อซานตัวเกร็ง เตรียมจะเปิดปากเพื่อโต้กลับ
ทันใดนั้น
คุณท่านใหญ่หลี่ก็ปล่อยมือหลี่เต๋อซาน เดินโซเซไปข้างหน้า ในขณะเดียวกันก็โยนไม้เท้าในมือทิ้งไปด้วย
ตึง
คุกเข่าลงบนพื้นตรง ๆ ทั้งอย่างนั้น
ภาพฉากนี้ ถึงกับทำให้ทุกคนตรงนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปตาม ๆ กัน
คุณท่านใหญ่หลี่ร้องไห้น้ำตาไหลอาบหน้า ยกมือขึ้นแล้วค่อยๆ โขกคำนับลงกับพื้น
ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงแหบแห้งเจือเสียงสะอื้นดังขึ้นในลำคอของเขา
“ตงเอ๋อ ตาผิดไปแล้ว…”
บึ้ม!
หลี่เต๋อซานราวกับร่างทั้งร่างถูกฟ้าผ่า ช็อกจนแทบสติหลุด
ชั่วเวลานั้น ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน แต่ไม่ว่าความคับข้องใจของเขาจะมากไปกว่านี้อีกสักเท่าไหร่ ก็ยังต้องคุกเข่าตามคุณท่านใหญ่หลี่อยู่ดี เขาจึงคุกเข่าลงกับพื้นตามพ่อไปอีกคน
รปภ.หลายสิบคนได้แต่เบิกตากว้าง คนแก่อายุปูนนี้ถึงกับมาคุกเข่าให้คุณเฉินจริงๆ เหรอเนี่ย?
อย่างไรก็ตาม
ตั้งแต่ต้นจนจบ ท่าทีของเฉินตงยังคงเยือกเย็น ไม่แสดงคลื่นอารมณ์ใด ๆ ออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย
“คนแก่ไม่น่าเคารพ พูดจาไม่อายปาก!”
เฉินตงพูดทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง ก็หันหลังแล้วเดินจากไป