เวลาหกโมงเย็น
เฉินตงเลิกงานตรงเวลา
แต่พอเขาออกมาจากประตูบริษัท เมฆครึ้มสีดำที่ก่อตัวมานานก็เปลี่ยนสภาพเป็นฝนกระหน่ำ
ฝนปรอยลงมาไม่ขาดตอน สาดกระเซ็นลงบนพื้น บรรยากาศพร่ามัว
“ฝนตกมาเร็วไปนิด”
เฉินตงขยี้จมูกก่อนจะสตาร์ทรถกลับไปยังคลับสี่ยิ่น
ฤดูใบไม้ร่วงฝนปรอย
ยิ่งทำให้ลานป่าไผ่เงียบสงบมากขึ้น
กู้ชิงหยิ่งนั่งถักเสื้อตัวน้อยอยู่เงียบๆ ท่านหลงนั่งพักผ่อนจิบชาอยู่บนเก้าอี้โยก
คุนหลุนกับฟ่านลู่ก็กำลังวุ่นทำงานอยู่ในห้องครัว
เป็นภาพที่ดูสงบสุขเป็นหนึ่งเดียว
ตอนที่เฉินตงมาหยุดยืนอยู่ที่ลานแล้วเห็นภาพนี้ เขาก็อดอมยิ้มออกมาอย่างสบายใจไม่ได้
ความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน หายไปเป็นปลิดทิ้งในตอนนี้
เขาเดินตรงเข้าไปหากู้ชิงหยิ่งเป็นคนแรก
“ที่รัก กลับมาแล้วหรอคะ”
เมื่อกู้ชิงหยิ่งเห็นเฉินตงก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส เธอชูเสื้อตัวน้อยที่กำลังถักอยู่ในมือขึ้นมาเพื่อโอ้อวด “คุณดูที่ฉันถักสิ ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”
“ไม่เลวเลย ดีกว่าก้อนหมูยอตั้งเยอะ” เฉินตงเย้าแหย่
กู้ชิงหยิ่งกลอกตาแล้วบ่นว่า “ใครไม่มีครั้งแรกกันบ้างล่ะคะ ฉันถักได้เท่านี้ก็นับว่าดีมากแล้ว ถ้ายังล้อปมด้อยของฉันอีก ฉันจะแทงคุณ”
เฉินตงยิ้มกว้าง
จากนั้นจึงเดินไปหาท่านหลงแล้วถามว่า “ท่านหลง ทางตระกูลเฉินส่งข่าวพ่อมาบ้างไหม”
ท่านหลงยิ้มอย่างขมขื่น “ทางตระกูลเฉินไม่เคยสั่งหน่วยข่าวกรอง ให้ลดระดับการตามหาพ่อของคุณลงเลย แต่ก็ไม่เคยได้เบาะแสอะไร กระผมเองก็รู้สึกเช่นกันว่าเรื่องนี้มันผิดปกติ”
ยิ่งกว่าผิดปกติเสียอีก
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ
คิ้วของเฉินตงขมวดแน่น ด้วยความสามารถของหน่วยข่าวกรอง ตระกูลเฉินแล้ว เวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ อย่าว่าแต่หาตัวเจ้าบ้านเลย ต่อให้หาคนธรรมดาคนหนึ่งจากคนจำนวนมากก็ควรจะต้องได้เบาะแสอะไรมาบ้างแล้ว
แต่นี่เป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลเฉิน!
ผู้นำของตระกูลเฉิน!
“คุณชายใจเย็นก่อน อย่างน้อยๆ พวกเราก็มีข้อมูลมากกว่าตระกูลเฉินอยู่หน่อย นั่นคือตอนนี้คุณท่านยังคงปลอดภัยอยู่ไม่ใช่หรือ”
ท่านหลงกะพริบตาแล้วยิ้มอย่างแปลกประหลาด
เฉินตงขยี้จมูก เขามองไปยังลานป่าไผ่แล้วเอ่ยว่า “ผมคิดว่าพวกเราควรจะย้ายกลับไปที่วิลล่าเขาเทียนซานกันได้แล้ว ขืนยังอยู่ที่นี่ต่อไปมีแต่จะยิ่งรู้สึกเกรงใจเปล่าๆ”
“กระผมเองก็คิดแบบนั้น” ท่านหลงพยักหน้า “ตอนนี้วิกฤตองค์กร hidden killers ก็ได้จบลงไปแล้ว โจวเย่นชิวก็ได้จัดการวิลล่าเขาเทียนซานเรียบร้อยแล้ว กลับไปก็ดีเหมือนกัน”
ช่วงเวลาอาหารค่ำ เฉินตงได้เอ่ยความคิดเตรียมจะย้ายกลับไปที่วิลล่าเขาเทียนซานออกมาเนื่องจากคลับสี่ยิ่นเป็นสถานที่ของท่านเมิ่ง ท่านเมิ่งตัดสินใจรับเขาเข้ามาอยู่อย่างเต็มใจในตอนที่เขากำลังลำบาก และดูแลเขาอย่างใส่ใจ ถึงตอนนี้วิกฤตได้ผ่านพ้นไปแล้วจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะอยู่ที่นี่ต่อ
เพราะอาจเป็นการสร้างความยุ่งยากให้กับท่านเมิ่ง
และเฉินตงพยายามที่จะไม่สร้างความยุ่งยากให้กับใคร
ราตรีปกคลุม
ฝนปรอยๆ อย่างคงโปรยปรายไม่หยุด
แสงไฟในเขตวิลล่าเขาเทียนซานสว่างไสว
แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ทหารรับจ้างในครั้งที่แล้วมา ภายในเขตวิลล่าก็รกร้างไปไม่น้อย
ผู้ที่จะสามารถอาศัยอยู่ในเขตวิลล่าเขาเทียนซานได้ ล้วนต้องเป็นคนชั้นสูงของเมืองนี้เท่านั้น
เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนั้น ไม่ว่าจะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้นมากเท่าไร ก็ยังคงไม่สามารถรั้งให้พวกชนชั้นสูงเต็มใจยอมอยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมไม่ปลอดภัยเช่นนี้ได้
มีเงินและอำนาจอยู่ในมือ ตัวเลือกก็ย่อมมากตามไปด้วย
บวกกับฝนปรอยๆ ที่ตกลงมาในวันนี้ ยิ่งทำให้เขตวิลล่าเขาเทียนซานตกอยู่ในสภาวะเงียบสงบ
มีเพียงเสียงตกเปาะแปะลงมาไม่ขาดสายเท่านั้น
ณ ประตูใหญ่เขตวิลล่า
รถแท็กซี่คันหนึ่งขับมาช้าๆ
เอี๊ยด!
รถหยุดลงพร้อมน้ำสาดกระเซ็น
แก๊ก
ประตูรถเปิดออก
หวางเต๋อเดินลงจากรถมาเป็นคนแรก เขากางร่มพลางหันหลังเข้าไปทางด้านในรถ
เมื่อหวางเห้าปีนขึ้นมาบนหลังเขาแล้ว เขาก็กัดฟันด้วยใบหน้าแดงก่ำ พร้อมออกแรงลุกขึ้นยืน
“ไอ้ตัวไร้ประโยชน์ แบกเสี่ยวเห้าดีๆ ด้วยล่ะ ถ้าทำเขาตก ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่”
จางซิ่วจือด่าพลางเดินลงมาจากรถ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สภาพสะบักสะบอม
หวางเต๋อจนปัญญา จึงไม่ได้เอ่ยตอบโต้ไป
ส่วนหวางเห้าที่อยู่บนหลังของเขา ตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงเอาแต่ส่งเสียงร้องไห้โอดโอย ขาทั้งสองข้างของเขาใส่เฝือกหนาๆ เอาไว้
หลินหลิ่งตงไม่ได้พูดเกินจริง เมื่อลั่นคำสั่งให้ตัดขาหวางเห้าแล้ว ก็คือตัดจริงๆ
“พี่คนขับรอเดี๋ยวนะ ถ้าพวกเราไม่ได้เข้าไปข้างใน ก็ต้องกลับมาขึ้นรถพี่ออกไปอีก”
จางซิ่วจือพยายามยิ้มแล้วหยิบเงินหนึ่งร้อยหยวนส่งให้คนขับรถ
จากนั้นจึงตรงไปประคองหวางเห้าและมุ่งหน้าเดินเข้าไปที่ประตูใหญ่ของวิลล่า
แต่เดินไปได้ไม่ไกลนัก ก็เกิดเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นจากทางด้านหลัง
เมื่อทั้งสองหันกลับไปมอง จึงพบว่ารถแท็กซี่ได้หักหัวเลี้ยวลงเขาไปแล้วอย่างรวดเร็ว
“ไอสัตว์นรก! ให้รอแป๊บเดียวก็ไม่ได้ จะรีบกลับไปชิงหมาเกิดหรือไง”
จางซิ่วจือกระทืบเท้าตึงตังและตวาดเสียงต่อว่า “พอหมดอำนาจเงินทอง แม้แต่คนขับรถหน้าโง่ยังกล้าขัดขืนแม่”
หวางเต๋อมองไปที่จางซิ่วจือด้วยสายตาที่มืดมนกว่าครั้งใด
“แกมัวแต่เหม่ออะไร เดินตามฉันมาสิ”
จางซิ่วจือมองค้อนหวางเต๋อ
หวางเต๋อไม่ได้โต้ตอบ และเดินตามไปราวกับเป็นเครื่องจักรกล
แต่เมื่อเห็นประตูบานใหญ่ที่สวยงามหรูหราของเขตวิลล่า
หวางเต๋อจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างลังเล “แม่ พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับเฉินตงแล้วนะ”
จางซิ่วจือหยุด
แล้วหันกลับมาถลึงตาใส่ และยกขาถีบไปที่ขาของหวางเต๋ออย่างแรง
“ไอ้ตัวไร้ประโยชน์ อยู่มาจนป่านนี้ได้ยังไง?”
และด้วยการถีบนี้เอง ทำให้หวางเต๋อที่ออกแรงแบกอยู่เสียสมดุล จึงพาเอาหวางเห้าล้มลงไปบนพื้นด้วยกัน
การกระแทกอย่างรุนแรงทำให้หวางเห้าส่งเสียงร้องเหมือนหมูถูกเฉือด
หวางเต๋อเองก็ล้มลงไปอย่างรุนแรงเช่นกัน
ทว่าปฏิกิริยาของจางซิ่วจือกลับเหนือความคาดคิด
เมื่อได้ยินเสียงร้องโอดครวญของหวางเห้า จางซิ่วจือจึงแยกเขี้ยวราวกับหมาบ้าแล้วทั้งถีบทั้งต่อยระรัวลงไปที่หวางเต๋อ
“แกมันเป็นสวะ ทำลูกร่วงได้ยังไง ทำไมแกไม่หน้าคว่ำตายไปแทนนะ?”
ทั้งด่าทั้งตีราวกับจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ
โดยไม่คิดจะไปช่วยประคองหวางเห้าที่นอนกลางสายฝน ร้องโหยหวนเลยแม้แต่น้อย
การกระทำนี้เอะอะวุ่นวาย
การ์ดที่เข้ากะอยู่ตรงประตูใหญ่ของวิลล่าก็วิ่งมาอย่างรวดเร็ว
“ดึกดื่นป่านนี้ มาทำอะไรกันที่นี่? ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”
การ์ดแผดเสียงไล่ สภาพน่าสังเวชของคนทั้งสามคนนี้ไม่มีทางเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเขตวิลล่าอย่างแน่นอน
“แกพูดบ้าอะไร? แกก็แค่หมาตัวหนึ่ง ริอ่านจะเป็นคนเหรอ? ฉันอยู่ในเขตวิลล่านี่แหละ ฉันเป็นเจ้านายของพวกแกนะ!”
จางซิ่วจือที่กำลังเดือดดาล หันขวับไปถลึงตาด่ากราด
สีหน้าของการ์ดทั้งสองคนเครียดขึ้นทันที
นี่คือคนที่อาศัยอยู่ในเขตวิลล่าหรือ?
คิดว่าหลอกเด็กอยู่รึไง?
และขณะที่กำลังจะแผดเสียงต่อไป
หวางเต๋อก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมานั่ง แล้วหันไปเอ่ยด้วยเสียงที่หมดอาลัยตายอยากกับจางซิ่วจือที่กำลังกระฟัดกระเฟียด
“เธอเลิกก่อเรื่องได้แล้ว ครอบครัวอยู่กันมาดีๆ เธอก็ทำพังไปแล้ว ไปเถอะ เฉินตงไม่มีทางออกมาพบพวกเราหรอก พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว เธออย่าทำเรื่องขายหน้าอีกเลยนะ ทำตัวเป็นคนดีๆ บ้าง!”
เปรี้ยง!
จางซิ่วจือที่กำลังเดือดดาลรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า
เธอเบิกตากว้างอย่างอาฆาตมาดร้าย แล้วค่อยๆ หันกลับมาที่หวางเต๋อ
“ที่ฉันต้องหน้าด้านแบบนี้ก็เพราะต้องการหาที่ลงหลักปักฐานให้พวกแก ตอนนี้แกยังว่าฉันว่าน่าอาย? แถมยังด่าว่าฉันไม่ใช่คนอีกเหรอ?”
วินาทีต่อมา
จางซิ่วจือกระโจนเข้าใส่หวางเต๋อแล้วคร่อมบนตัวเขาไว้ พลางใช้มือทั้งสองข้างข่วนหน้าของหวางเต๋ออย่างบ้าคลั่ง
“แกมันคนไร้สมอง ตอนนี้ถ้าไม่มาหาไอ้ตัวเส็งเคร็งนี่ พวกเราจะไปหาใครได้อีก? มันเป็นผัวเก่าของนังหวางหนันหนัน ตอนนี้มันรวยแล้ว ตอนนั้นคงจงใจให้เศษเงินพวกเราเพื่อถีบหัวพวกเราออกจากบ้าน มันฝันหวานเกินไปแล้ว! ฉันเป็นหนี้อยู่ตั้งหลายแสน ถ้าไม่มาเอาจากมัน จะให้ไปเอาที่ไหนล่ะ? หรือว่าจะรอจนพวกทวงหนี้มาหน้าบ้าน แล้วพวกเราสามคนค่อยกระโดดตึกลงมาดีล่ะ?”