เปรี้ยง!
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเย่ เฉินตงก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า
สิ่งที่น่าตกใจที่ฉินเย่พูดขึ้นในสายโทรศัพท์ก็คือ
“บริษัททางภาคตะวันตกเฉียงเหนือบริษัทนั้น ไม่เพียงแต่ไร้ความสามารถที่จะโจมตีเราเท่านั้น แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในแถบภาคตะวันตกเฉียงเหนืออีกด้วย!”
คำพูดประโยคเดียวราวกับสายฟ้าฟาดลงมา
แม้ว่าผลที่ออกมา จะไม่ต่างกับสิ่งที่ท่านหลงพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้มากนัก
แต่เมื่อตอนนี้ได้ฟังสิ่งที่ฉินเย่พูด เฉินตงก็ยังคงรู้สึกตกใจไม่น้อยอยู่ดี
ไม่เป็นที่รู้จัก หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ไม่อยู่ในกลุ่มบริษัทการลงทุนชั้นแนวหน้าในแถบตะวันออกเฉียงเหนือเสียด้วยซ้ำ!
บริษัทที่ไม่แม้แต่จะติดอันดับเช่นนี้ แต่จู่ๆ กลับเข้าร่วมสถานการณ์ อีกทั้งยังดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น และสุดท้ายยังร่วมมือกับอีกสี่บริษัทเข้าช้อนซื้ออีก
เป็นที่รู้กันดีว่า ในตอนนั้นที่ตระกูลฉินสามารถขึ้นแท่นเป็นตระกูลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งแห่งซีสู่ได้ เป็นเพราะปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงที่ฉินเย่สร้างขึ้น สามารถกวาดเงินมาจากตลาดลงทุนไปได้หลายหมื่นล้านหยวน และสร้างความมั่นคงขึ้นมา
ความสามารถทางด้านการเงินของฉินเย่นั้น หากจะพูดว่าเป็นอัจฉริยะที่ไม่อาจหาใครเทียบได้ก็ยังดูไม่เกินจริง
ส่วนเรื่องที่บริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ทั้งสี่บริษัทร่วมมือกันจนกลายเป็นมหาอำนาจ การที่ฉินเย่ไม่อาจต้านทานไว้ได้นั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
แต่บริษัทในภาคตะวันตกเฉียงเหนือบริษัทนั้น ซึ่งเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ เท่านั้น แต่กลับเข้าร่วมเป็นหนึ่งในการต่อสู้ของเหล่าเทพเจ้า เพื่อร่วมแบ่งผลประโยชน์ได้อย่างนั้นหรือ?
นี่มันไร้สาระจริงๆ!
“เจ้าหนูฉินเย่ บริษัทนั้นมีชื่อว่าอะไร?” ท่านหลงเอ่ยถาม
ฉินเย่ตอบ “ชื่อว่าจุนหลิน กรุ๊ป”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ท่านหลงยิ้มออกมาอย่างหดหู่ จากนั้นจึงลูบจมูกแล้วพูดว่า “เจ้าหนูฉิน นายถูกบริษัทแบบนั้นแบ่งเนื้อชิ้นใหญ่ไป รู้สึกเหมือนกับตัวเองเล่นกับนกอินทรีแล้วถูกจิกตาเข้าให้ใช่ไหมล่ะ”
“ผู้เฒ่าหลง เลิกกระแนะกระแหนผมได้แล้ว”
ฉินเย่โต้กลับด้วยความรู้สึกผิดหวัง
จากนั้น เขาก็พูดขึ้นอีกว่า “พี่ตง อีกสองบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ มีบริษัทหนึ่งที่ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว คือ หงหุ้ย ส่วนอีกบริษัทหนึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับRothschild
เปรี้ยง!
เฉินตงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า รูม่านตาหดแคบลงด้วยความตกใจ
เขาไม่รู้จัก “หงหุ้ย” แต่เขารู้จักRothschild!
ตระกูลมั่งคั่งเก่าแก่ และเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ!
เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง เพื่อระงับความรู้สึกตกใจ แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “มีRothschildเข้าร่วม ครั้งนี้นายต้องแพ้อย่างราบคาบแน่นอน”
“ฉันวางสายก่อน ยังต้องคิดแผนการในขั้นต่อไปอีก” เสียงของฉินเย่เบาลงเล็กน้อย
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เฉินตงก็ยิ้มออกมาอย่างหดหู่
เขารับรู้ได้ถึงความหดหู่และไร้เรี่ยวแรงของฉินเย่
แต่เรื่องนี้ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจเช่นไร
ฉินเย่เป็นอัจฉริยะก็จริง และมีความเย่อหยิ่งของอัจฉริยะอยู่
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับRothschild แม้แต่อัจฉริยะเองก็ยังถูกบดบังรัศมีได้
ตระกูลมั่งคั่งเก่าแก่ลำดับต้นๆ ของโลก มีประวัติศาสตร์ของการดำรงอยู่อันยาวนาน ซึ่งยากที่ตระกูลมั่งคั่งธรรมดาๆ จะเทียบชั้นได้
ตระกูลฉินเคยเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ก็จริง
แต่ตำแหน่งตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดแห่งซีสู่ ก็มีการผลัดเปลี่ยนกันจากรุ่นสู่รุ่น มีการเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไป
ไม่ว่าจะรากฐานด้านใดก็ตาม ไม่มีทางเทียบกับยักษ์ใหญ่อย่างRothschildได่เลย
เช่นเดียวกับตระกูลฉิน
สิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะนั้น ต้องดูว่ากำลังเปรียบเทียบอยู่กับใคร
หากเทียบกับคนธรรมดาอาจเป็นอัจฉริยะ แต่เมื่อจับไปวางไว้กับกลุ่มหัวกะทิในตระกูลเฉิน อาจเป็นเพียงแค่พวกหางแถวก็ได้
เฉินตงเงยหน้าขึ้นมองท่านหลง “ท่านหลง คุณรู้จักหงหุ้ยไหม? เป็นยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคของเราหรือ?”
“ครับ”
ท่านหลงพยักหน้า แววตาของเขาเริ่มลึกซึงขึ้น
“หากจะย้อนถึงประวัติของหงหุ้ย สามารถสืบย้อนกลับไปได้กว่าสองร้อยปี เริ่มแรกรวมตัวกันเป็นแก๊ง การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ในที่สุดหงหุ้ยก็ออกจากภูมิภาคของเรา และก้าวเข้าสู่ระดับนานาชาติ ด้วยการขยายอำนาจอย่างทวีคูณทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ วิธีการที่เข้มข้นรุนแรงนี้ ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างบ้าคลั่งมากว่าสองร้อยปี ด้วยรากฐานเช่นนี้ ทำให้ตระกูลมั่งคั่งจำนวนไม่น้อยในระดับสากลยังต้องรู้สึกอับอาย”
“เมื่อเทียบกับRothschildล่ะ?” เฉินตงถาม
ท่านหลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มออกมาด้วยท่าทีประหลาด
“ต้องดูว่าเปรียบเทียบกันด้านใด หากเป็นทักษะทางธุรกิจนั้นRothschildเหนือกว่า แต่ถ้าหากเทียบวิธีการที่สกปรกนั้น หงหุ้ยสามารถทำให้ตระกูลมั่งคั่งกว่า 90% รู้สึกหวาดกลัวได้ ซึ่งRothschildก็เป็นหนึ่งในนั้น”
เฉินตงเข้าใจในทันที
จากที่ท่านหลงกล่าวมา อันที่จริงแล้วหงหุ้ยไม่ถือว่าเป็นตระกูลมั่งคั่งเก่าแก่ แต่เป็นการรวมกลุ่มที่ซับซ้อนของผู้มีอิทธิพล
ก้าวผ่านการพัฒนามากว่าสองร้อยปี ทำให้รากเล็กๆ มารวมตัวกันจนกลายเป็นต้นไม้ที่สูงตระหง่านอย่างหงหุ้ย
ถึงแม้จะไม่ใช่ตระกูลมั่งคั่งเก่าแก่ แต่อิทธิพลและรากฐานที่มีอยู่ ก็ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลมั่งคั่งตระกูลอื่นๆ อย่างแน่นอน
“น่าสนใจจริงๆ”
เฉินตงลูบจมูก แล้วยิ้มออกมาอย่างมีนัย “ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่า ฉัน เฉินตง จะสามารถดึงดูดRothschildและหงหุ้ยให้ลงมือได้ ช่างมีความสามารถอะไรเช่นนี้?”
“คุณชาย เรื่องนี้ดูเหมือนจะซับซ้อนมาก ผมแนะนำว่าช่วงนี้เจ้าหนูฉินควรจะกลับมาตั้งหลักดูลาดเลาก่อนจะดีกว่า” ท่านหลงพูดอย่างเคร่งขรึม
เขาไม่ได้สนใจบริษัทเงินทุนในประเทศทั้งสามแห่ง
แต่หงหุ้ยและRothschildนั้น จะไม่ระมัดระวังคงไม่ได้!
ยักษ์ใหญ่ทั้งสองเป็นเหมือนกับสัตว์ร้าย หากยังดื้อดึงต่อไปในเวลานี้ เกรงว่าพวกเขาจะก้าวเข้าสู่สถานการณ์อันตรายที่ไม่อาจแก้ไขได้อีก
ท่านหลงเข้าใจภูมิหลังของครอบครัวเฉินตงดี ถึงแม้จะมีของขวัญที่เฉินเต้าหลินมอบเอาไว้ให้ก่อนที่จะหายตัวไป แต่เมื่อเทียบกับหงหุ้ยและRothschildแล้ว ก็ยังถือว่าต่างกันลิบลับนัก
“ต่อให้ฉันอยากจะเก็บดาบ แต่ฉินเย่นั้นไม่มีทาง”
เฉินตงหัวเราะ แววตาของเขาดุดัน “ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนต่างถือมีดเดินมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว หากฉันเก็บดาบ ไม่เท่ากับรอให้ยักษ์ใหญ่เหล่านั้นพังประตูเข้ามาเข่นฆ่าถึงในบ้านตามอำเภอใจหรอกหรือ?”
ท่านหลง “……”
เฉินตงโบกมือ “ตอนนี้เราพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ฉินเย่จะต้องจัดการได้แน่นอน”
เฉินตงไม่ได้มีนิสัยอ่อนแอและยอมให้รังแกได้ง่ายๆ ถ้าหากอ่อนแอและยอมให้รังแกได้ง่ายๆ จริง เขาคงไม่ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้
บุคลิกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร แต่นิสัยโดยแท้ไม่มีวันเปลี่ยน
การเก็บดาบ ต้องคอยจังหวะที่เหมาะสม หากเก็บดาบในสถานการณ์เช่นนี้ ก็เท่ากับการตัดแขนตัดขาตนเองและนั่งรอความตาย
หากต้องเก็บดาบอย่างคนไร้ค่า ไม่เท่ากับยอมสู้จนหลังชนฝาสักครั้งจะดีกว่า
เมื่อเห็นสีหน้าของท่านหลงดูเคร่งขรึมลง เฉินตงก็พูดต่อว่า “ท่านหลง ช่วงนี้คงต้องรบกวนนายให้ช่วยตรวจสอบจุนหลิน กรุ๊ป ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือให้ฉันด้วย การปรากฏตัวของเขาไม่ปกติ ฉันรู้สึกว่ายังมีบางอย่างซ่อนอยู่”
นัยน์ตาหมองหม่นของท่านหลงเป็นประกายขึ้นทันที
เขาเข้าใกล้เฉินตงโดยไม่รู้ตัว แล้วกระซิบถาม “คุณชายกำลังสงสัย……นายท่าน?”
เฉินตงยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร “ถ้าหากเป็นมิตร ก็เป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นพ่อ ถ้าหากเป็นศัตรู ก็ยากที่จะเดาได้”
เขามีความคิดเช่นนี้จริงๆ
การลงมือของจุนหลิน กรุ๊ปนั้นแปลกประหลาดจริงๆ
อีกทั้งดูๆ ไปแล้ว บริษัทนี้ก็ไม่น่ามีความสามารถมากพอที่จะลงมือได้
ประจวบเหมาะกับที่พ่อได้มีการเตือนให้ระวังตัว ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นกับบริษัทของฉินเย่
หากจะไม่ให้คิดว่าจุนหลิน กรุ๊ปและพ่อมีความเชื่อมโยงกัน อย่างว่าแต่เฉินตงเลย แม้กระทั่งคนอื่นก็ไม่อาจทำได
“ผมเข้าใจแล้วครับ” ท่านหลงพยักหน้าแล้วเดินออกไป
ตอนที่เดินไปถึงประตู มีเสียงของเฉินตงดังขึ้นด้านหลัง
“อีกอย่าง การเฝ้าติดตามภายในตระกูลเฉิน ก็อย่าให้คลาดสายตาเด็ดขาด”
ความระมัดระวังนำมาซึ่งความปลอดภัย ตอนนี้พ่อเองก็หายตัวไป ถือว่าต้องสูญเสียที่พึ่งหลักไป เฉินตงจึงจำเป็นต้องระมัดระวังให้มากขึ้น
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน เฉินตงเอนตัวลงบนเก้าอี้นอน แหงนมองดาวบนฟ้าด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง
พักใหญ่
เฉินตงค่อยๆ พึมพำขึ้นว่า “พ่อ พ่อหายตัวไปได้อย่างไรกันแน่? และกำลังกลัวอะไรกันแน่?”
นี่คือสิ่งที่เฉินตงคิดไม่ตกในตอนนี้
เจ้าบ้านของตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่ เพราะเหตุใดจึงถูกบีบบังคับให้ต้องหลบซ่อนตัวเช่นนี้?
ลมยามค่ำคืนพัดเย็น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เฉินตงค่อยๆ คล้อยหลับไป
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินเข้ามาใกล้ๆ
จากนั้น ก็มีเสท้อคลุมตัวหนึ่งห่มลงมาบนร่างกายของเขา
มีเสียงอันอบอุ่นของกู้ชิงหยิ่งดังขึ้นข้างๆ หู “ดึกแล้ว กลับไปนอนที่ห้องกับฉันนะคะ?”
#### บทที่ 407 สาวงาม
เฉินตงลืมตาขึ้น
ใบหน้ารูปไข่อันงดงามของกู้ชิงหยิ่งปรากฏขึ้นในดวงตา
แสงไฟสลัวๆ
แววตาของกู้ชิงหยิ่งเต็มไปด้วยความห่วงใยและความอบอุ่น
เมื่อเห็นเฉินตงมีท่าทีเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
“มัวแต่นั่งนิ่งอยู่ทำไม? คนโง่” ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมาและกล่าวตำหนิ
เฉินตงยิ้ม จากนั้นจึงลุกขึ้นและเอ่ยถามว่า “ผมอยู่ตรงนี้คนเดียวมานานเท่าไหร่หรือ?”
“อืม เกือบจะรุ่งสางแล้ว ท่านหลงไม่ให้รบกวนคุณ บอกว่าคุณมีเรื่องกังวลใจ แต่ฉันเห็นคุณไม่ลงไปข้างล่างเสียที จึงรู้สึกเป็นห่วง”
กู้ชิงหยิ่งคล้องแขนเฉินตง มองเข้าไปในแววตาของเฉินตง แล้วรู้สึกเป็นห่วง
เธอไม่อยากให้เฉินตงต้องรู้สึกเหนื่อยใจ แต่เธอก็รู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ผู้ชายของเธอ ต้องการสวมมงกุฎของราชา ต้องการขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ของราชา
และสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ก็คือ คอยสนับสนุนเขาอยู่เงียบๆ คอยดูแล และให้ความอบอุ่นกับเขา
เมื่อกลับถึงห้องนอน
เฉินตงอาบน้ำ นอนลงบนเตียง แต่ไม่หลับ
กู้ชิงหยิ่งยังคงซบอยู่ในอกของเขา และคอยเหลือบมอใบหน้าของเฉินตงอยู่เป็นระยะ
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด
มีเพียงไฟหัวเตียงที่ส่องแสงสลัวๆ
มีกลิ่นหอมจางๆ ลอยอยู่ในอากาศ
“นอนไหม?” กู้ชิงหยิ่งถาม
“นอนไม่หลับ” เฉินตงส่ายหัว ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทรมาน”
ทรมาน?!
กู้ชิงหยิ่งตัวสั่นเล็กน้อย ใบหน้าอันงดงามของเธอแดงก่ำขึ้นทันที
ดวงตาของเธอสั่นคลอน ริมฝีปากแดงระเรื่อของกู้ชิงหยิ่งเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินมาว่า เวลาที่ภรรยาตั้งต้อง สามีมักต้องทรมาน”
เฉินตงตกตะลึง ความคิดทั้งหมดว่างเปล่าในทันที
สวรรค์!
ภรรยาสาวจอมโง่เขลาของเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
ตรงไปตรงมาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ยังไม่มันรอให้เฉินตงเอ่ยปากอธิบาย
จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งก็ทำตัวเหมือนลูกแมวตัวน้อย แนบตัวลงไปบนอกของเฉินตง แล้วเอ่ยปากขึ้นมา “ฉันช่วยคุณได้นะ”
คำพูดนี้ทำให้เฉินตงรีบกลืนคำพูดของตัวเองลงไปในทันที
และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
หลังจากที่กู้ชิงหยิ่งตั้งท้อง เขาก็ไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ามานานแล้ว……
ตอนนี้ภรรยาเสนอตัว จึงอดไม่ได้ที่เขาจะรู้สึก……หุนหันพลันแล่นเล็กน้อย
“ต้องการไหม?” กู้ชิงหยิ่งกระซิบถามที่ข้างหูของเฉินตง
ลมร้อนผ่าว ทำให้แววตาของเฉินตงเคลิ้มไป
สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่น่าจะมีปัญหาใช่ไหม?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินตงก็อดไม่ได้ที่จะมีเปลวไฟลุกผ่าวขึ้นในดวงตา และหันมองกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ตรงหน้า
แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นท้องของกู้ชิงหยิ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ไฟในดวงตาก็ดับมอดลงทันที
หากยังคิดเรื่องพวกนี้ตอนภรรยากำลังตั้งท้องแล้วล่ะก็ ถือเป็นผู้ชายประเภทไหนกัน?
เฉินตงแอบด่าตัวเอง จากนั้นจึงยื่นมือไปลูบดั้งจมูกของกู้ชิงหยิ่งด้วยความเอ็นดู “เด็กโง่ คุณคิดอะไรของคุณ?”
กู้ชิงหยิ่งผงะไป
เฉินตงอธิบาย “ที่ผมบอกว่าทรมาน เป็นเพราะหลายวันมานี้เกิดเรื่องขึ้น ทั้งเรื่องของแม่ผม เรื่องที่ฉินเย่ถูกเล่นงาน และยังมีเรื่องพ่ออีก นอกจากเรื่องของแม่ผมแล้ว เรื่องอื่นๆ ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ ดังนั้นจึงรู้สึกทรมาน”
“ฮะ?!”
กู้ชิงหยิ่งหน้าถอดสี ทั้งตกใจทั้งอับอาย
ราวกับลูกแมวที่ตื่นตระหนก รีบมุดหัวเข้าไปในอ้อมแขนของเฉินตงในทันที อีกทั้งยังดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวอีกด้วย
“หึ คนบ้า ต่อไปคุณพูดให้มันชัดเจนในประโยคเดียวได้ไหม ทำให้ ทำให้ฉัน……คุณนี่มันแย่จริงๆ”
เมื่อได้ยินกู้ชิงหยิ่งบ่นออกมาด้วยความเขินอาย เฉินตงก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริงในทันที
น้ำให้ความทุกข์ในใจเบาบางลงไปมาก
เขายื่นมือไปปิดโคมไฟ หดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่ม แล้วกอดกู้ชิงหยิ่งนอนหลับไป
สามวันต่อมา
มีข่าวร้ายรายงานมาจากฉินเย่เรื่อยๆ
บริษัทมหาอำนาจทั้งห้าร่วมมือกันโจมตี ต่อให้อาศัยความสามารถของฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียน ก็ยังยากที่จะรับมือได้ และรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนยากเกินต้านทาน
ถึงแม้บริษัทการเงินของฉินเย่จะมีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมหาอำนาจทั้งห้า ก็ยังคงถูกกดดันอยู่ดี
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินตงไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของฉินเย่แม้แต่น้อย
เพราะเขารู้ดีว่า เรื่องนี้ฉินเย่ถนัดกว่าเขามาก
ถึงขั้นว่า แม้กระทั่งฉินเสี่ยวเชียนเอง เขาก็ยังเทียบไม่ติด
รู้จักใช้คนให้ถูกกับงาน ถือเป็นหนทางของราชา
และนี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ในตอนต้น เขาอาศัยเส้นสายจากท่านหลงในการชักชวนฉินเย่มาร่วมงาน เพื่อการขยับขยายและพัฒนา!
หากเข้ายื่นมือเข้าไปก้าวก่ายตอนนี้ จะยิ่งกลับทำให้เรื่องวุ่นวายไปกว่าเดิม ถึงขั้นอาจกระทบต่อแผนการของฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียนได้
อีกทางด้านหนึ่ง
ท่านหลงเองก็สืบเรื่องของจุนหลิน กรุ๊ปมาได้อย่างชัดเจนแล้ว
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา กลับทำให้เฉินตงรู้สึกจนใจ
ทุกหน่วยข่าวกรองระบุออกมาอย่างชัดเจนว่า จุนหลิน กรุ๊ป เป็นเพียงแค่ “มดตัวเล็กๆ” ตัวหนึ่งเท่านั้น
ไม่มีเงินหมุนเวียนก้อนโต ไม่มีผู้มีอิทธิพลคอยหนุนหลัง ไม่เป็นที่รู้จักในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเพียงแค่จัวหนึ่งในฝูง ไม่มีอะไรพิเศษ
บริษัทที่ธรรมดาเช่นนี้
แต่จู่ๆ กลับเข้าร่วมการซื้อขายในตลาดการเงินครั้งนี้ด้วย
เงินจำนวนหลายหมื่นล้านภายใต้การบริหารของฉินเย่ เมื่อต้องรับมือกับมหาอำนาจทั้งสี่อย่างพวกหงหุ้ย Rothschild ก็เหมือนราวกับปลาได้น้ำ
ถึงแม้เฉินตงกับท่านหลงจะรู้ดีว่า “มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น แสดงว่าต้องมีปีศาจอยู่แน่นอน” แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ไม่อาจรู้ได้ว่า “ปีศาจ” อยู่ที่ไหนกันแน่
แต่สิ่งเดียวที่เฉินตงมั่นใจก็คือ
จุนหลิน กรุ๊ป น่าจะเป็นศัตรูมากกว่ามิตร
เพียงแต่ในตอนแรกที่จุนหลิน กรุ๊ป เข้ามาในตลาด ได้ช่วยดันราคาขึ้นหนึ่งครั้ง หลังจากนั้น จุนหลิน กรุ๊ปก็ร่วมมือกับอีกสี่บริษัท เข้าจัดการช้อนซื้อหุ้นห้องฉินเย่อย่างไร้ความปรานี
นี่จึงเป็นการความคิดแรกเริ่มของเฉินตง ที่คิดว่าจุนหลิน กรุ๊ปคือพ่อไปจนหมดสิ้น
สุดท้ายสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ ความจนใจและสิ้นหวัง
สามวันมานี้ ฉินเย่ไม่ติดต่อกับเฉินตงเลย เฉินตงเองก็ไม่ติดต่อกับฉินเย่
การต่อสู้ทางการเงิน หากจะพูดว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเห็นทีว่าก็คงจะไม่เกินจริง
เวลาเพียงเสี้ยววินาที ก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้
เฉินตงรู้ดีว่า สามวันมานี้ ฉินเย่แบกรับความกดดันเอาไว้จนยากที่จะจินตนาการได้
สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือ ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เข้างานและเลิกงานตามปกติ และบริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง
เย็นวันนี้
หลังจากเลิกงาน เฉินตงเพิ่งจะเดินลงมาจากตึกใหญ่ของบริษัท
ก็มีหญิงสาวสวมใส่เสื้อโค้ตสีดำเดินเข้ามากล่าวทักทาย
“คุณเฉิน พบกันครั้งแรก ช่วยแนะนำด้วยค่ะ”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนราวกับเสียงขับขานของนกการเวก ดังก้องเข้าไปในหู
ในขณะเดียวกันเธอก็ยื่นนิ้วมือที่เรียวยาวเหมือนลำเทียนออกมา
เฉินตงถูกนิ้วมือเรียวงามที่อยู่ตรงหน้าดึงดูดเข้าอย่างจัง ช่างสวยจริงๆ
ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ทุกสัดส่วนราวกับได้รับการออกแบบมาอย่างดี
เพียงมือข้างเดียว ก็ทรงเสน่ห์ขนาดนี้
“คุณคือใคร?” เฉินตงขมวดคิ้วถาม
เสื้อโค้ตสีดำห่อหุ้มร่างกายที่สง่างามเอาไว้ ภายใต้หมวกกันแดดใบใหญ่สีดำ บวกกับการที่อีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาอยู่ ทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจนนัก
ทันทีที่พูดจบ
หยิบสาวที่อยู่ตรงหน้าก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นให้เฉินตง
แววตาของเฉินตงเต็มไปด้วยความสงสัย
เป็นป้ายหนึ่งชิ้น ทำมาจากไม้จันทน์ ขนาดไม่ใหญ่นัก ใหญ่กว่าจี้หยกทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้านบนมีตัวอักษรสีแดงสลักอยู่หนึ่งคำ——หง!
“คุณคือคนของหงหุ้ย?” เฉินตงตกใจอย่างมาก
คำว่าหงที่เขาพอจะนึกเชื่อมโยงไปได้ ก็เห็นจะมีแต่หงหุ้ยที่ปรากฏขึ้นมาในสายตาของเขาเมื่อเร็วๆ นี้
“เชิญคุณเฉินตามดิฉันไปคุยเป็นการส่วนตัวหน่อย”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แสดงให้เห็นว่ายอมรับ
เป็นการส่วนตัว?
ส่วนตัวอะไร?
เฉินตงรู้สึกงุนงงในทันที ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเย่โดนเล่นงานในครั้งนี้ ด้วยสถานะและที่ที่เขาดำรงอยู่ในตอนนี้ ไม่มีทางที่จะรู้จักชื่อของหงหุ้ยได้เลย
หากจะพูดว่าเป็นคนแปลกหน้า ก็ดูจะไม่เกินจริง
แล้วมีอะไรจะต้องคุยเป็นการส่วนตัว?