กู้ชิงหยิ่งตัวสั่น
แม้ว่าจะพยายามทำตัวเข้มแข็ง แต่เวลานี้ดวงตาของเธอพร่าไปด้วยไอน้ำ
“ลูกคือคนที่แม่อุ้มท้องมาสิบเดือน เวลาลูกพยายามฝืนยิ้ม แม่ต้องมองออกอยู่แล้ว”
หลี่หวั่นชิงมีสีหน้าอ่อนโยน เธอใช้มือขวาของตนเอาผมดำขลับของกู้ชิงหยิ่งที่ปรกอยู่ตรงหน้าผากไปเหน็บไว้ด้านหลังหู “เรื่องทุกข์ใจของลูก แม่มองออก แต่ถ้าลูกไม่อยากพูด แม่ก็จะไม่บังคับ แต่ถ้าลูกอยากร้องแม่จะกอดลูกไว้เอง”
น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลยิ่งทำให้กู้ชิงหยิ่งไม่อาจหยุดตัวเองไว้ได้
เธอพุ่งเข้าซบในอกของหลี่หวั่นชิง น้ำตาของเธอไหลพราก
หลี่หวั่นชิงกอดกู้ชิงหยิ่งไว้หลวมๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย เธอโอบหลังกู้ชิงหยิ่งเอาไว้ด้วยความสงสาร
บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้นของกู้ชิงหยิ่ง
และในเวลานั้น
โทรศัพท์ของหลี่หวั่นชิงพลันส่งแสงสว่าง กู้โก๋ฮั๋วส่งข้อความเข้ามา
“สรุปแล้วลูกเราเป็นอะไร”
“คุณดูออกด้วยหรอ” หลี่หวั่นชิงปลอบไปพลางตอบข้อความ
“ไร้สาระน่า! ลูกสาวของเราคือไข่ในหินของพวกเรา ลูกเป็นอะไร คิดว่าคนเป็นพ่อจะมองไม่ออกหรือไง ไม่งั้นแล้วทำไมเมื่อกี้ผมต้องรับปากคุณไปส่งๆ ด้วยล่ะ”
หลี่หวั่นชิงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบข้อความ
“ลูกแต่งงานกับตงเอ๋อไปแล้ว อะไรที่ลูกไม่อยากพูด พวกเราก็อย่าถามมากนักเลย”
“ลูกของเราเศร้าขนาดนั้น ถ้าเศร้าจนส่งผลต่อร่างกายจะทำยังไง”
“ถ้าพวกเราเข้าไปยุ่งมากเกินไป มีแต่จะทำให้พวกเขาสองคนยิ่งวุ่นวายขึ้นเปล่าๆ”
หลี่หวั่นชิงตอบข้อความแล้ววางโทรศัพท์ลง โดยไม่สนใจกู้โก๋ฮั๋วอีก
เธอรู้ดีว่ากู้โก๋ฮั๋วคือคนที่หวงลูกสาวที่สุด แต่เธอเองก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเข้าไปยุ่ง
การกระทบกระทั่งกันระหว่างสามีภรรยาเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง
ครอบครัวเดียวสามารถจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้เอง เมื่อสองครอบครัวมารวมกันแล้วก็ไม่ใช่เรื่องราวระหว่างสามีภรรยาเพียงสองคนอีก
สุดท้ายแล้ว กู้ชิงหยิ่งก็ไม่ได้เล่าเรื่องให้หลี่หวั่นชิงฟัง
กู้ชิงหยิ่งร้องไห้จนเหนื่อยจนหลับคาอกของหลี่หวั่นชิง
กลายเป็นค่ำคืนที่ไร้เสียงเจรจา
เช้าวันต่อมา
เฉินตงเปิดประตูออกมา
การนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ทำให้เขารู้สึกเหนื่อย รอบดวงตาปรากฏรอยคล้ำ
เมื่อลงไปข้างล่าง กู้ชิงหยิ่งกำลังนั่งกินข้าวเช้าอยู่เป็นเพื่อนกู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิงแล้ว
“ที่รัก วันนี้ฉันอยากพาพ่อแม่ออกไปเที่ยวหน่อยนะคะ” กู้ชิงหยิ่งกล่าวกับเฉินตงพร้อมรอยยิ้ม
เฉินตงชะงักไป หลายวันที่ผ่านมานี้เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มของกู้ชิงหยิ่งเลย
เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน กลับทำให้เขารู้สึกราวกับผ่านไปเป็นแรมปี
“ได้สิ เดี๋ยวให้พี่คุนหลุนกับพี่เสี่ยวลู่ไปเป็นเพื่อนด้วย” เฉินตงพยักหน้า
“โอเคค่ะ”
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ กู้ชิงหยิ่งได้นำคนอื่นๆ ออกจากวิลล่าไป
เฉินตงมองดูรถเคลื่อนตัวออกไปจากวิลล่าด้วยความรู้สึกสับสน
ท่านหลงเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เฉินตง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชาย รีบหาเวลาอธิบายให้คุณนายน้อยเข้าใจนะครับ กระผมรู้สึกเป็นห่วงที่เห็นคุณนายน้อยเป็นแบบนี้”
“แล้วคิดว่าผมไม่เป็นห่วงหรอ” เฉินตงยิ้มอย่างขมขื่น
เมื่อล้างใบหน้าที่อ่อนล้าของเขาเสร็จแล้ว เฉินตงก็มุ่งหน้าไปยังบริษัทไท่ติ่ง
ภูเขาซี่สุ่ย
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่อยู่ใกล้ๆ เมืองนี้
อากาศบนภูเขาสดชื่น ทิวทัศน์สวยงาม
แค่วันธรรมดาก็มีคนไม่น้อยแล้วที่เดินขึ้นเขามาชมวิวทิวทัศน์ที่นี่ หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนก็จะยิ่งมากขึ้น
รถโรลส์-รอยซ์หยุดอยู่ริมถนน
เมื่อลงจากรถแล้ว กู้ชิงหยิ่งก็จับมือกู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิง “พ่อกับแม่คงจะไม่ได้มาเที่ยวที่ภูเขาซี่สุ่ยนานแล้วใช่ไหมคะ”
กู้โก๋ฮั๋วถอนหายใจพลางมองร่างกายอ้วนท้วนของตัวเองโดยอัตโนมัติ แล้วเอ่ยอย่างลังเลว่า “เสี่ยวหยิ่ง ลูกแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะพาพ่อขึ้นเขา?”
“ใช่ค่ะ” กู้ชิงหยิ่งยิ้มสดใส
หลี่หวั่นชิงหยิกแขนกู้โก๋ฮั๋ว “คุณเป็นพ่อแท้ๆ ลูกสาวอยากจะขึ้นเขา คุณจะยกพุงอ้วนๆ ของตัวเองมาเป็นข้ออ้างไม่ยอมขึ้นงั้นหรือ ที่ภูเขาซี่สุ่ยก็ไม่ได้สูงอะไรมาก ถือว่าลดความอ้วนก็แล้วกัน”
“ได้ๆๆ”
กู้โก๋ฮั๋วสูดอากาศเย็นๆ พลางกัดฟันรับปาก
คุนหลุนกับฟ่านลู่รั้งท้ายอยู่ เฝ้ามองคนทั้งสามเดินขึ้นภูเขาซี่สุ่ยไปอย่างมีความสุข
คุนหลุนส่ายหน้าอย่างหนักใจ “ไม่สบายใจเลยที่เห็นคุณนายน้อยเป็นแบบนี้”
“ไม่รู้เลยว่าร่างกายบอบบางของเธอจะทนรับเรื่องพวกนี้ไปได้ถึงเมื่อไหร่” ฟ่านลู่รู้สึกสงสารอย่างมาก
เรื่องเข้าใจผิดเรื่องหนึ่ง
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด
แต่กู้ชิงหยิ่งเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์จึงมองไม่ออก สิ่งที่แบกรับเอาไว้นั้นมากเกินกว่าจะจินตนาการได้
แต่การต้องแสร้งว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นต่อหน้าพ่อแม่ ทำให้คุนหลุนกับฟ่านลู่รู้สึกปวดใจมาก
และในตอนที่คนทั้งห้ากำลังมุ่งหน้าขึ้นไปบนภูเขาซี่สุ่ยนั้น
กลางเขา
“คุณปู่คะ พวกเฉินตงทำแบบนี้ ทำไมพวกเราต้องรอด้วยคะ จะกลับเลยก็ได้ ทำไมปู่ถึงเป็นคนดีรับทุกอย่างเอาไว้เองหมด แถมวันนี้ยังมีอารมณ์มาเดินเขา และเลื่อนกำหนดกลับหงหุ้ยออกไป”
เย่หลิงหลงเดินไป บ่นไป
ภูเขาซี่สุ่ยไม่ใช่ภูเขาสูงชันจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายด้วยการมาขึ้นเขาที่นี่สบายมากสำหรับเธอ
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ไปพบเฉินตงเมื่อวาน เย่หลิงหลงกลับรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
จู่เหลาของหงหุ้ยที่ยิ่งใหญ่และหงกุ้นของหงหุ้ย อุตส่าห์ไปถึงที่บ้านเพื่อขอโทษ นับว่าเป็นการให้เกียรติมากขนาดไหนแล้ว?
แต่นี่กลับโดนคนใช้ของเฉินตงไล่กลับแถมยังพูดจาข่มขู่อีก!
ความน่าโมโหเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กยันโต เย่หลิงหลงเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก!
“หลิงหลง เรื่องบางเรื่องหนูไม่เข้าใจ”
เย่หยวนชิวยิ้มอย่างไร้อารมณ์ เขามองเย่หลิงหลงที่กำลังโมโหจัดแล้วเอ่ยว่า “นิสัยแข็งกร้าวของหนู ถ้าแก้ได้ก็แก้ซะ ไม่งั้นวันหน้าจะเสียเปรียบ”
“ใครทำให้หนูต้องเสียเปรียบ หนูจะจัดการมัน!”
เย่หลิงหลงกำหมัดแน่น ท่าทางของเธอราวกับลูกเสือ
เย่หยวนชิวส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ตั้งแต่เล็กยันโต เธอถูกตนและคนในหงหุ้ยตามใจจนเสียนิสัย
แต่การที่ไม่ได้พบเฉินตงเมื่อวาน ก็ทำให้เย่หยวนชิวรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
เฉินตงเพิ่งจะเข้าหงหุ้ย สิ่งแรกที่ควรทำคือการเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น
หากกลับไปง่ายๆ แบบนี้ การเชิญเฉินตงเข้าหงหุ้ยได้มันจะมีความหมายอะไร?
ด้วยเหตุนี้เย่หยวนชิวจึงถ่วงเวลาการเดินทาง และตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน เผื่อจะมีโอกาสดีๆ ได้พบเฉินตงแล้วค่อยกลับหงหุ้ย
เพื่อเป็นฆ่าเวลา เขาเลยให้เย่หลิงหลงหาสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ เพื่อมาพักผ่อนกันก่อน
“คุณปู่คะ ได้ยินมาว่าภูเขาซี่สุ่ยมีดอกเบญจมาศทั่วไปหมด ช่วงนี้เป็นฤดูที่ดอกเบญจมาศกำลังบานพอดี ต้องสวยมากแน่ๆ เลยค่ะ”
เย่หลิงหลงเอ่ยขึ้นมา
“ดอกเบญจมาศ?”
เย่หยวนชิวเม้มปาก “ฤดูนี้พอดีหรือ อย่างนั้นก็ดีเลย”
ปู่หลานสองคนรีบสาวเท้าขึ้นไปบนเขาอย่างรวดเร็ว
บนเขา
กู้ชิงหยิ่งอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเธอราวดอกไม้ที่กำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา
กู้โก๋ฮั๋วกับหลี่หวั่นชิงก็มีความสุขเช่นกัน แต่คนทั้งสองมักจะหันไปสบตากันอยู่บ่อยๆ และต่างรู้ถึงความทุกข์ใจของอีกฝ่ายดี
กู้ชิงหยิ่งแกล้งมีความสุข สองสามีภรรยาก็แกล้งทำเป็นมีความสุขเช่นกัน
ไม่ว่าใครต่างไม่ยอมเปิดเผยการโกหกด้วยเจตนาดีนี้
คุนหลุนกับฟ่านลู่ที่เดินตามมาด้านหลัง เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ตลอดก็รู้สึกไร้คำพูด
“คุณพ่อคุณแม่คะ พวกเราใกล้จะถึงยอดเขาแล้ว ช่วงเวลานี้ดอกเบญจมาศกำลังบานบนยอดเขาพอดี ต้องสวยมากแน่ๆ”
กู้ชิงหยิ่งจูงกู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า
กู้โก๋ฮั๋วตกใจจึงเอ่ยว่า “เดี๋ยวก่อนลูกสาวสุดที่รักของพ่อ เดินช้าลงหน่อย ตอนนี้หนูมีเด็กตัวน้อยอยู่ในท้องนะ”
แต่นอกจากกู้ชิงหยิ่งจะไม่ลดความเร็วลงแล้ว กลับยิ่งเร่งฝีเท้าขึ้นอีก
ไม่นานนัก คนทั้งห้าคนก็ขึ้นไปถึงยอดเขา
ภาพที่เข้าสู่สายตานั้นคือ ทุ่งดอกไม้บานสะพรั่ง กลิ่นหอมอบอวล
แม้ว่าจะยังเป็นตอนเช้าอยู่ แต่ก็มีคนจำนวนมากแทรกตัวเข้าไปอยู่ท่ามกลางดอกไม้เพื่อถ่ายรูป
ภาพทุ่งดอกไม้ทำให้คนทั้งสามอุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึง
และในตอนนั้นเอง
เสียงคนสูงวัยผู้หนึ่งเอ่ยดังขึ้น
“เดือนเก้าย่างเข้าสารทฤดู ถึงยามเบญจมาศเบ่งบาน เหล่าบุปผาอื่นเหี่ยวเฉา”
เสียงท่องกลอนทุ้มลึก น้ำเสียงน่าเกรงขาม
ในขณะที่เสียงนี้ดังขึ้น
รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งพลันมลายหายไป
สีหน้าของฟ่านลู่เปลี่ยนไป เธอคว้าแขวนของคุนหลุนเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว
แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “พี่คุนหลุน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”