อากาศยามราตรีเย็นสบายราวสายน้ำ
ในห้องโถงของตระกูลเจิ้ง มีแสงไฟสว่างไสว
ทุกคนก้มหน้า เงียบสงัดไร้สรรพเสียง
บรรยากาศในห้องมีเพียงความกดดันที่หนักอึ้ง
เจิ้งจุนเซี่ยนและพวกนั่งคุกเข่าอยู่กลางห้อง พวกเขาสีหน้าซีดขาวพร้อมกับมีสายตาที่ว่างเปล่า
เรื่องราวที่เกิดตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตอนนี้ ทำให้พวกเขาไร้การตอบสนอง
โดยเฉพาะเจิ้งจุนเซี่ยน
การโดนปลดจากหน้าที่ทั้งหมด เท่ากับความทุ่มเททั้งหมดกว่ายี่สิบกว่าปีสูญเปล่า นี่มันทรมานยิ่งกว่าฆ่าเขาให้ตายเสียอีก
“เจ้าบ้าน ทำแบบนี้มันแรงเกินไปหน่อยหรือไม่”
ชายชราก้าวออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวคำพูดที่ทำลายบรรยากาศเงียบสงัดในห้องโถง “ยังไงจุนเซี่ยนก็เป็นคนที่ท่านตั้งใจให้รับหน้าที่เจ้าบ้านคนต่อไป เรื่องราวที่เกิดเมื่อหัวค่ำกับการลงโทษที่จุนเซี่ยนได้รับ มันหนักเกินไปหรือไม่ นี่ไม่เท่ากับว่าตระกูลเจิ้งของเราต้องเอาคนเก่งขึ้นไปแขวนไว้บนหิ้งเฉยๆ หรือ”
ชายชราที่พยายามอ้อนวอนคือคุณปู่สามนั่นเอง
และบรรดาคนที่นั่งอยู่นั้นล้วนเป็นคนสำคัญของตระกูลเจิ้ง เป็นผู้ที่มีตำแหน่งในระดับสูง
ส่วนคุณปู่สามเป็นคนที่เป็นมีความอาวุโสสูงสุด
สายตาของจุนเซี่ยนปรากฏประกายวับไหวขึ้นมา ราวกับคนหมดหวังที่พยายามจะคว้าหมากตัวสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตตนเอง
หลังจากคุณปู่สามกล่าวออกมา คนที่เหลือต่างกล่าวสมทบเห็นด้วย
“ท่านเจ้าบ้าน คุณปู่สามพูดถูกต้อง ความสามารถของจุนเซี่ยนทุกคนต่างเห็นประจักษ์ การลงโทษเช่นนี้เหมือนบีบเขาให้ตายชัดๆ”
“ท่านเจ้าบ้านได้โปรดเมตตา คนมีความสามารถอย่างจุนเซี่ยน หากให้เป็นแค่ลูกจ้างคนหนึ่ง จะถือเป็นความสูญเสียของตระกูลเจิ้ง”
“จุนเซี่ยนและพวก ทำคุณประโยชน์ให้กับตระกูลมากมาย หากเห็นแก่ความดีของเขา ก็ไม่ควรได้รับโทษหนักเช่นนี้”
……
เมื่อได้ยินทุกคนต่างเห็นด้วยเช่นนี้
ความหวังในดวงตาของเจิ้งจุนเซี่ยนก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น เขาที่กำลังคุกเข่าอยู่ จึงประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกัน
ยังมีโอกาส ต้องมีหนทาง!
คนทั้งหมดกำลังพยายามช่วยเรา เจ้าบ้านจะต้องอนุโลมความผิดให้เราได้แน่!
ส่วนแววตาของอีกสามคนที่เหลือก็เป็นประกายออกมา
กฎหมายไม่สามารถสู้กฎหมู่ได้ ต่อให้วันนี้ทำเรื่องผิดร้ายแรงมากแค่ไหน แต่ผลงานที่พวกเขาทำเอาไว้แถมยังมีคนอื่นๆ คอยช่วยเหลือแบบนี้ เจ้าบ้านคงจะต้องกลับมาพิจารณาใหม่อีกแน่
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเจิ้งจุนหลินที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าบ้านเจิ้งเต็มไปด้วยความคับแค้น
เขาก้มหน้า กำหมัดแน่นจนเสียงกระดูกลั่น เส้นเลือดหลังมือปูดโปน
ในความทรงจำของเขา ภาพเหตุการณ์ตอนนี้เกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน!
เป็นเพราะความสามารถที่แตกต่างกัน
ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะถูกหรือผิด คนพวกนี้เข้าข้างเจิ้งพวกจุนเซี่ยนมาตลอด ส่วนเขาที่เป็นหนุ่มเพลย์บอยในสายตาทุกคนนั้นคือคู่แข่งที่พยายามจะเอาชนะพวกเขาให้ได้มาตลอด
ในฐานะที่เขาเป็นลูกแท้ๆ ของเจ้าบ้าน ทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เจิ้งจุนหลินรู้อยู่แก่ใจดีว่า พ่อของเขาจะต้องฟังคนรอบตัวด้วย
เจิ้งจุนหลินมองด้านหลังของเจ้าบ้านเจิ้งอย่างคับข้องใจ
ในตอนนั้น ต่อให้บิดาของเขาเปลี่ยนคำสั่ง ยกเลิกการลงโทษของเจิ้งจุนเซี่ยนและพวกเขาก็ไม่แปลกใจอะไร
เพราะความอยุติธรรมเช่นนี้ อยู่คู่กับเขามาถึงยี่สิบปีแล้ว!
ทว่า
ปั้ง!
เจ้าบ้านเจิ้งเอามีดฟาดลงบนโต๊ะอย่างแรง
เสียงดังสนั่นราวฟ้าผ่า ทำเอาทุกคนตกใจจนหน้าถอดสี
เจิ้งจุนหลินตัวสั่นแล้วมองไปทางเจ้าบ้านเจิ้งอย่างเหลือเชื่อ
หลังจากนั้น
เจ้าบ้านเจิ้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “คุณปู่สาม ท่านกล่าวถูกต้อง ต่อให้อยู่ต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ผมก็กล้ากล่าวตามตรงว่า ก่อนหน้านี้ผมวางเจิ้งจุนเซี่ยนให้เป็นผู้ที่จะมารับหน้าที่เจ้าบ้านจริง”
น้ำเสียงเย็นเฉียบราวคมมีด
ทำให้ทุกคนต่างเกิดความหวาดหวั่นจนเม้มปากแน่นรอคำพูดประโยคถัดไป
“แต่เวลาเปลี่ยน คนก็ย่อมเปลี่ยน! แต่อย่าลืมว่าตระกูลเจิ้งเกิดขึ้นได้เพราะผม กฎการแข่งขันกันขึ้นเป็นเจ้าบ้าน ผมก็เป็นคนกำหนดเอง”
เจ้าบ้านเจิ้งขมวดคิ้วแน่น ร่างกายของเขาแผ่รังสีของความน่าเกรงขาม “แต่ผมจะบอกให้พวกคุณได้รู้ไว้ว่าการวางโตโอหังของพวกเจิ้งจุนเซี่ยนทั้งสี่คนนี้ ก่อนหน้านี้ผมได้บอกพวกเขาเอาไว้แล้วว่างานเลี้ยงคืนนี้จะพบกับผู้ให้โชค ขอให้พวกเขาคว้าโอกาสนั้นไว้ให้ดี เรื่องนี้แม้แต่จุนหลินลูกชายผม ผมยังไม่บอกเลย
พวกเขาทั้งสี่คนไม่เพียงคว้าตัวผู้ให้โชคคนนั้นไว้ไม่ได้ แต่กลับทำตัววางโตไร้มารยาท ไม่แยกแยะผิดถูก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้สั่งสอนพวกแกได้ยังไง”
พวกของเจิ้งจุนเซี่ยนสี่คน เมื่อได้ยินประโยคนี้พลันรู้สึกมวลท้องด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ
โดยเฉพาะเจิ้งจุนเซี่ยนที่ถึงกับยกมือขึ้นมาทุบตัวเองอย่างแรง
สายตาของเจิ้งจุนหลินที่ล่องลอยมองไปรอบๆ หันไปจ้องเจ้าบ้านเจิ้งอย่างยินดี
ในที่สุด…พ่อก็เข้าข้างเราบ้างแล้ว!
คุณปู่สามที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในที่นั่น มองเจิ้งจุนเซี่ยนอย่างเวทนาก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง
“พวกจุนเซี่ยนอายุยังน้อย พวกเขาเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่คิดจะช่วยปกป้องกฎระเบียบของตระกูลเราเท่านั้น อีกอย่างคุณเฉินที่ท่านนับถือว่าเป็นผู้ให้โชคนั้น เขาสำคัญกับพวกเราขนาดนั้นเชียวหรือ”
เท่านั้น?
สำคัญหรือ?
เจ้าบ้านเจิ้งอารมณ์พุ่งปี๊ดจนกัดฟันยิ้มออกมา “คุณปู่สาม ท่านคงแก่จนเลอะเลือนไปแล้ว ความเข้าใจของท่านที่มีเกี่ยวกับตระกูลเจิ้งมากเท่ากับเจ้าบ้านตระกูลเจิ้งอย่างผมรึ”
“ท่าน……” คุณปู่สามร่างสะท้าน เข้าเบิกตากว้างพลางกัดฟันกรอด
เจ้าบ้านเจิ้งโบกมือ “หากเป็นความผิดทั่วไป พวกเจิ้งจุนเซี่ยนสามารถใช้ความดีหักล้างได้ แต่เรื่องที่เกิดในงานเลี้ยงวันนี้ ความดีของพวกเจิ้งจุนเซี่ยนไม่สามารถใช้หักล้างได้!”
“ผมจะบอกความจริงให้ทุกคนฟัง ผมเองเป็นคนช่วยให้เจิ้งจุนเซี่ยนประสบความสำเร็จจนกวาดเงินในตลาดหุ้นมาได้หลายพันล้าน แต่นั่นเป็นเพราะคุณเฉินต่างหาก แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ทุกคนที่อยู่ที่นี่มีใครยังคิดว่าผมลงโทษแรงเกินไปอีกหรือไม่”
เปรี้ยง!
คำพูดดั่งสายฟ้า
ทุกคนในที่นั่นต่างชะงักงัน
ส่วนเจิ้งจุนเซี่ยนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเมื่อได้ยินดังนี้ก็ช็อกจนไม่สามารถสะกัดกั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไป
เขาร้องไห้โฮออกมาและคลานไปตรงหน้าเจ้าบ้านเจิ้งแล้วเกาะขาของเจ้าบ้านเจิ้งเอาไว้พร้อมร้องวิงวอน
“ท่านเจ้าบ้าน ผมสำนึกผิดแล้ว จุนเซี่ยนสำนึกผิดแล้วจริงๆ ได้โปรดให้อภัยจุนเซี่ยนด้วยเถิด ได้โปรดให้ผมได้มีโอกาสไปขอโทษคุณเฉินสักครั้ง”
เสียงร้องไห้โหยหวนน่าสังเวชใจ
เจิ้งจุนหลินเห็นเช่นนี้ความคิดเริ่มล่องลอย
ในฐานะที่เป็นลูกชายแท้ๆ ของเจ้าบ้าน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เห็นภาพแบบนี้ด้วยตาตนเอง!
แต่กระนั้น
เจ้าบ้านกลับถีบเจิ้งจุนเซี่ยนกระเด็น แล้วตวาดเสียงแข็งว่า
“แกมันอวดดีดิบเถื่อนแบบนั้นใส่คุณเฉิน ทำโทษแค่นี้ก็นับว่าน้อยเกินไปแล้ว ขืนยังกล้าโอหังอีกล่ะก็ อย่าหาว่าเจ้าบ้านอย่างฉันไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน!”
เจิ้งจุนเซี่ยนทำอะไรต่อไม่ถูก
แบบนี้…ยังเรียกว่าไว้หน้ากันอยู่อีกเหรอ
“ออกไปให้หมด!”
เจ้าบ้านเจิ้งโบกมือไล่
คุณปู่สามและคนอื่นๆ ไม่กล้ารีรออีกต่อไป รีบให้เด็กทั้งสามคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น พยุงเจิ้งจุนเซี่ยนออกไป
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว ในห้องโถงก็กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง
เจิ้งจุนหลินเหม่อลอยอยู่ที่เดิม ราวกับคนไร้วิญญาณ
หลังจากเจ้าบ้านเจิ้งเอ่ยปากเรียกเขาว่า ลูกกิเลนแล้ว เขาถึงจะได้สติกลับมา
“พ่อ” ในดวงตาของเจิ้งจุนหลินเกิดประกายวับไหวมองไปที่เข้าบ้านเจิ้งอย่างตื้นตัน
“เด็กดี ไม่เสียแรงที่เป็นลูกกิเลนของพ่อ ตอนแรกพ่อก็คิดว่านิสัยอย่างลูกชีวิตนี้คงไม่มีทางทำเรื่องดีๆ ได้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่า ลูกจะได้ใจจากคุณเฉินตง”
เจ้าบ้านเจิ้งยกมือของเจิ้งจุนหลินขึ้นมาอย่างทะนุถนอม “หลายปีมานี้ทำให้ลูกต้องลำบากใจ พ่อก็อยากเข้าข้างลูก แต่กฎถูกกำหนดขึ้นมาแล้ว พ่อเลยต้องพิจารณาทุกอย่างไปตามสถานการณ์โดยรวมที่เกิดขึ้น”
ในตอนนั้นอารมณ์ของเจิ้งจุนหลินปั่นป่วน
ราวกับมีหลายความรู้สึกผสมปนเปอยู่ด้วยกัน
แต่เมื่อนึกถึงเฉินตงเขาก็รีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า “พ่อครับ เฉินตงสำคัญอย่างที่พ่อบอกจริงๆ หรือ”
ในดวงตาของเจ้าบ้านเจิ้งเริ่มร้อน เขาจึงกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ลูกต้องจำไว้ให้ดี บนโลกนี้หากคบถูกคน เดินถูกทาง ย่อมสำคัญกว่าความสามารถ! ระหว่างคนที่ช่วยมังกรให้ยิ่งใหญ่ กับคนที่พยายามจะเป็นมังกรเสียเอง ถ้าเทียบกันแล้วคนแรกย่อมมีโอกาสบินได้สูงกว่า!”
เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย เขาก็เอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “แค่ลูกได้รับความเชื่อใจจากคุณเฉิน พ่อก็พร้อมที่จะยกตำแหน่งเจ้าบ้านคนต่อไปให้อยู่ในมือของลูกอย่างสบายใจแล้ว”
ในหัวของเจิ้งจุนหลินเกิดเสียงดังราวฟ้าผ่า
แค่ได้พบกับเฉินตง ฉันเลยได้ตำแหน่งเจ้าบ้านอย่างง่ายดายแบบนี้เลยหรอ?
“พ่อ ผมจะไปหาเฉินตงเดี๋ยวนี้!” เจิ้งจุนหลานหันตัวขวับแล้ววิ่งออกไป
รอยยิ้มของเจ้าบ้านเจิ้งหายไป แต่เขาก็ไม่ได้ห้าม
เขามองเจิ้งจุนหลินที่ห่างออกไป ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความอ่อนโยนที่พ่อใช้มองลูก จากนั้นจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “คนโง่ก็มีโชคดีของตนเอง ถ้าลูกมีความสามารถ ทำไมพ่อต้องยกกิจการใหญ่โตนี้ให้คนอื่นด้วย? ในที่สุดตอนนี้ฉันก็รู้สึกว่าจัดการทุกอย่างได้สมเหตุสมผลเสียที!”
“ที่ตระกูลเจิ้งสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วในยุคของฉัน พวกคนแก่คร่ำครึในตระกูลคงคิดว่าฉันมีความสามารถสินะ แต่พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะในตอนนั้นฉันได้ช่วยมังกรเอาไว้ ส่วนฉัน…ก็เป็นผู้ถูกบงการก็เท่านั้น”