ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ตอนที่ 684

ตอนที่ 684

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 684 : เผชิญหน้า
ราชันเร้นลับ 684 : เผชิญหน้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพล้ง!

ขณะจิลเซียสหันได้เพียงครึ่งตัว แก้วเบียร์ตกลงบนโต๊ะกลมด้านข้างพร้อมกับแตกละเอียด

แม้จะได้ยินเสียงปืน แต่มันก็มิได้คิดหลบ คล้ายกับรับรู้โดยสัญชาตญาณว่านั่นคือภาพลวงตา ท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายที่มีสิงห์พนันขี้เมาหมอบลงหรือไม่ก็วิ่งหนีตายอลหม่าน จิลเซียสดีดตัวขึ้นประหนึ่งสปริง สายตาจ้องเขม็งไปทางนักผจญภัยที่สวมหมวกและโค้ทสำหรับสุภาพบุรุษ ณ ทางเข้าผับ

เกอร์มัน·สแปร์โรว์… จิลเซียสพลันหดรูม่านตา อ้าปากกว้างพร้อมกับพึมพำ ‘ภาษากัดกร่อน’ จากนรก

ทันใดนั้น ไคลน์เหนี่ยวไกปืนของจริง ส่งกระสุนสีทองซีดที่คล้ายกับเพิ่งออกจากหม้อต้มพุ่งตรงมาทาง ‘จอมเชือด’ เจ้าของค่าหัวเก้าพันห้าร้อยปอนด์

ทว่า จิลเซียสเพียงยกมือขวาขึ้นเล็กน้อย กางห้านิ้วออกพร้อมกับจุดไฟสีฟ้าอ่อนบนฝ่ามือ ใช้สิ่งนี้หยุดกระสุนให้แน่นิ่งอย่างน่าเหลือเชื่อ

ในวินาทีที่เปลวไฟสีฟ้าแข็งตัว กระสุนถูก ‘จองจำ’ กลางอากาศ เกิดแสงสีทองสว่างวาบออกจากตัวกระสุน สลายไปจนเหลือเพียงความว่างเปล่า

ด้านข้างจิลเซียส สองบุคคลลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง คนหนึ่งเป็นสตรีผมสั้นถือปืนสั้นสองกระบอก อีกคนหนึ่งเป็นบุรุษกำยำสวมนวมชกมวย

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พวกมันแวะท่าเรือทอสคาร์เตอร์เพื่อเติมเสบียง จิลเซียสจึงไปไหนมาไหนเป็นกลุ่ม หรือไม่ก็ เป็นคนรู้จักของมันที่บังเอิญอยู่ในร้านพอดี!

ผู้วิเศษสามคน… จิลเซียสน่าจะอยู่ลำดับ 5… ในวินาทีนี้ ไคลน์นึกอยากโพล่งออกไปว่า ‘ขอโทษที่เข้ามารบกวน’

การจะโจมตี ‘ปีศาจ’ ไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ ต้องอาศัยความบังเอิญโดยแท้จริง แถมยังต้องปราศจากความลังเล ไม่อย่างนั้น ศัตรูจะรับรู้ถึงจิตสังหารและภัยคุกคาม

ส่งผลให้ ฝ่ายที่เปิดก่อนจึงไม่ได้ถือครองความได้เปรียบเสมอไป!

ไคลน์หันรีบหมุนตัว ในสภาพถือลูกโม่ด้วยมือข้างหนึ่ง ชายหนุ่มแหวกผ่านกลุ่มคนจำนวนมากของผับ ผ่านศีรษะสิงห์พนันขี้เมาที่กำลังนั่งยอง วิ่งตรงไปยังบันไดซึ่งนำไปสู่ชั้นสองของผับด้วยความเร็วสูง

ขณะกำลังเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าใกล้เป้าหมาย ลูกไฟสีฟ้าอ่อนพุ่งกระแทกราวบันไดพร้อมกับขยายตัวและระเบิดออก

บึ้ม!

ส่วนล่างของบันไดยุบหายไปครึ่งหนึ่ง อาคารผับสั่นสะเทือนหนักหน่วงไปทั้งหลัง กลิ่นกำมะถันลอยฟุ้งเข้มข้น

จิลเซียสและพรรคพวกทั้งสองกระโจนขึ้นมายังบันไดสองขั้นแรกอย่างคล่องแคล่ว ไล่ล่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์สุดชีวิต

ตึก! ตึก! ตึก!

ไคลน์รีบเผ่นหนีขึ้นชั้นสอง ระหว่างทางเปิดเนตรด้ายวิญญาณด้วยความชำนาญ

อาศัยพลังดังกล่าว ชายหนุ่มสามารถระบุได้ทันทีว่าห้องไหนไม่มีคนพักอาศัย ไคลน์เลือกพังประตูห้องหนึ่งพร้อมกับบิดเอวเล็กน้อย ทำท่าเตรียมกระโดดออกจากหน้าต่างเพื่อหนีออกจากผับ

ขณะเดียวกัน จิลเซียสและพวกพ้องที่ไล่ตามมาถึงชั้นสอง เมื่อเห็นฉากดังกล่าวเข้า พวกมันรีบกระจายตัวอย่างชำนาญ รายแรกไล่ตามไคลน์เข้าไปในห้อง ส่วนอีกสองคนแยกไปเข้าห้องด้านข้างที่อยู่ฝั่งเดียวกัน เตรียมกระโดดตามลงไปเพื่อไล่ล่าต่อ

และนี่คือสิ่งที่ไคลน์รอคอย!

ในเสี้ยววินาที ชายหนุ่มหมุนตัวกลับครึ่งรอบ ฝ่ามือข้างซ้ายที่สวมถุงมือดำ ทำท่าบีบอากาศอันว่างเปล่าพร้อมกับบิดข้อมือ

หญิงสาวผู้ใช้ปืนคู่ และชายกำยำสวมนวมชกมวย ยังคงทำตามแผนเดิมโดยไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงจากห้องด้านข้าง พวกมันรีบกระโดดออกจากหน้าต่าง จากนั้นก็หายตัวไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา

จุดประสงค์เดิมของพวกมัน ‘แยกกันไปขัดขวางศัตรู’ ได้ถูกไคลน์ใช้พลังบารอนแห่งการเน่าเปื่อย ‘บิดเบือน’ ให้เป็น ‘แยกกันทำงาน’ !

ถึงแม้จะแสดงผลไม่นาน แต่ก็มากพอจะเปิดโอกาสให้ไคลน์ได้ดวลตัวต่อตัวกับจิลเซียส!

ตุ้บ! หลังจากบิดเบือนเสร็จ ชายหนุ่มโน้มตัวลง กลิ้งไปบนพื้นห้องเพื่อหลบกลุ่มลูกไฟสีฟ้าอ่อนที่จิลเซียสกระหน่ำยิงใส่

เกิดเสียงระเบิดดังอึกทึกเป็นระยะ อาคารผับสั่นคลอนหนักหน่วงราวกับมีแผ่นดินไหวในละแวกใกล้เคียง

ถัดมา จิลเซียสพุ่งไปด้านหน้า ตรงเข้าห้องพักที่ค่อนข้างใหญ่

ได้เห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กระโดดกลิ้งไปมาอย่างชำนาญ ไม่ชอบเผชิญหน้ากับตนโดยตรง ‘จอมเชือด’ ควบคุมสติพร้อมกับขยับปาก เปล่งถ้อยคำชั่วร้ายออกมาเป็นภาษาปีศาจ

“เชื่องช้า!”

คล้ายกับทุกสิ่งภายในห้องหยุดนิ่งกะทันหัน การกลิ้งตัวของไคลน์เชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ขาดความต่อเนื่องและราบรื่น

จิลเซียสยังคงพุ่งเป้ามายังคู่ต่อสู้อย่างแน่วแน่ เปล่งภาษากัดกร่อนเพิ่มเติมอีกหนึ่งคำ

“ตาย!”

ร่างกายไคลน์พลันแข็งทื่อ ชะงักค้างในตำแหน่งเดิม แต่ไม่นานก็เริ่มหดตัวในลักษณะแบนราบ กลายเป็นกระดาษรูปคนที่ปกคลุมด้วยคราบสนิมสีแดง

แทบจะในเวลาเดียวกัน บุรุษสวมโค้ทกระดุมสองแถวและหมวกผ้าไหมตรงกึ่งสูง ปรากฏกายที่ข้างประตูห้อง มือซ้ายซึ่งสวมถุงมือดำสนิทจับลูกบิดแน่น ดึงซากประตูกลับเข้ามาปิดห้องและลงกลอน

ปึง!

เสียงรบกวนจากภายนอกพลันอันตรธานหาย คล้ายกับมิติภายในถูกตัดขาดจากโลกด้านนอกโดยสมบูรณ์ ประหนึ่งกรงปิดตายที่แข็งแกร่ง

ได้เห็นเช่นนั้น ร่างกายจิลเซียสเริ่มพองโต เสื้อผ้าเกิดการปริแตก

เพียงไม่นาน มันกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสูงกว่าสามเมตร ผิวพรรณดูหม่นหมอง ทั้งคล้ำและมอบความรู้สึกชั่วร้าย เขาแพะสองกิ่งที่งอกกึ่งกลางหน้าผาก เต็มไปด้วยลวดลายลึกลับนับไม่ถ้วน แผ่นหลังมีปีกค้างคาวสยายออกกว้าง รายล้อมด้วยเปลวไฟสีฟ้าอ่อนที่แผ่กลิ่นกำมะถันคละคลุ้ง

ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!

ลูกไฟสีฟ้าอ่อนเริ่มกระหน่ำยิงพร้อมเพรียง พุ่งถล่มบริเวณประตูห้องอย่างไร้ความปรานี ขณะเดียวกัน ดวงตาสีแดงของจิลเซียสพลันส่องแสง ปากขยับกล่าวถ้อยคำกัดกร่อน

“กัดกร่อน!”

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งการโจมตีระยะไกล!

ไคลน์กำหมัดซ้ายแน่นพร้อมกับดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อน ตามด้วยการบิดข้อมือครึ่งรอบ

กลุ่มลูกไฟสีฟ้าพลันสูญเสียวิถี ประสบความปั่นป่วนและไร้ทิศทางประหนึ่งอนุภาคโมเลกุล

บ้างกระแทกเพดาน บ้างชนประตู บ้างกระทบพื้นห้อง บ้างลอยกลับไปหาศีรษะของจิลเซียส ภายในห้องเกิดเสียงระเบิดโครมครามอย่างต่อเนื่อง ‘ผนึก’ ที่ไคลน์ใช้พลังบิดเบือนสร้างขึ้นเริ่มสั่นสะเทือนหนักหน่วง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีร่องรอยความเสียหาย

เปลวไฟสีฟ้าพลันสว่างวาบและลอยสูงขึ้นด้านบน เมื่อบรรยากาศเริ่มปกคลุมด้วยกลิ่นกำมะถันเข้มข้น ร่างกายไคลน์เริ่มทรุดตัว ผิวหนังถูกปกคลุมด้วยของเหลวสีดำเหนียวหนืด

บึ้ม!

ร่างของชายหนุ่มเกิดการระเบิด เศษกระดาษกระจัดกระจายท่ามกลางกลุ่มหมอกสีดำสนิท

ขณะเดียวกัน ไคลน์โผล่จากอีกด้านหนึ่งของห้อง ผิวหนังหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด เสื้อผ้าเสียหายจากแรงระเบิดและเปลวไฟจากนรก ปรากฏรูโหว่ชำรุดหลายแห่ง

ว่ากันตามตรง พลัง ‘กัดกร่อน’ ซึ่งโจมตีเป็นวงกว้าง สามารถแก้ทางพลัง ‘กระดาษคนตัวแทน’ ของไคลน์ได้ชะงักงัน ไม่มีทางหลบหลีกความเสียหายพ้นทั้งหมด และสะเก็ดความเสียหายก็มากเกินกว่าจะมองข้าม หรือกล่าวได้ว่า พลังชนิดนี้สามารถทำให้ไคลน์ตกที่นั่งลำบาก

อย่างไรก็ตาม ในการปะทะกันหนแรก ชายหนุ่มได้ ‘มอบ’ แก้วเบียร์ให้จิลเซียสเพื่อทำการ ‘ติดสินบน’ ส่งผลให้พลังทำลายและผลข้างเคียงของ ‘กัดกร่อน’ ลดลงจากปรกติมาก!

แต่จิลเซียสย่อมคาดไม่ถึงในเรื่องนั้น ชะล่าใจคิดว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์คงกำลังบาดเจ็บหนักจากพลังกัดกร่อน จึงทำการดึงดาบยาวที่สร้างจากเปลวเพลิงอย่างใจเย็น แต่ขณะเตรียมโจมตีซ้ำด้วยความดุดันและแข็งกร้าว หางตาจิลเซียสเหลือบไปเห็นถุงมือซ้ายของศัตรูส่องแสงสีทอง

เพียงพริบตา สายฟ้าสองเส้นพุ่งออกจากดวงตาไคลน์!

ทะลวงจิต!

“อั่ก!”

จิลเซียสส่งเสียงครวญคราง คล้ายกับถูกน้ำมนต์ร้อยขวดสาดใส่

อาศัยประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชน มันรู้ตัวทันทีว่าถูกเล่นงานด้วยทะลวงจิต และทราบว่าจะถูกโจมตีตามติดอีกหลายชุด สัญชาตญาณปีศาจจึงสั่งให้ร่างกายแปรสภาพเป็นของเหลวสีดำ ไหลซึมไปตามพื้นห้องและกระจายตัว

ของเหลวซึ่งดูราวกับสั่งสมแรงกระหายอันท่วมท้นในใจมนุษย์เอาไว้ ไหลไปตามพื้นห้องโดยมีเป้าหมายเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ด้วยบรรยากาศคุกคามดุจดังพร้อมจะกัดกร่อนทุกสรรพสิ่ง

สภาพแบบนี้… รับมือได้ยากมาก… หากศัตรูของ ‘ปีศาจ’ ไม่เตรียมความพร้อมหรือมีข้อมูลล่วงหน้า คงได้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแน่… โชคดีที่เราคอยเตือนตัวเองเสมอว่า อีกฝ่ายมีพลังของผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย จึงระงับอารมณ์มิให้พลุ่งพล่านจนเกินพอดี… ไคลน์ไม่คิดหลบหลีก ถุงมือซ้ายพลันถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์บริสุทธิ์และสว่างจ้า

แขนสองข้างกางออก สร้างลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่อาบด้วยเพลิงสีทองอร่าม พุ่งลงมาจากความว่างเปล่าเบื้องบน มอบความสว่างไปยังทุกซอกทุกมุมของห้อง ไม่มีเงาใดหลงเหลือเล็ดลอด!

ลำแสงพุ่งกระทบของเหลวในจุดที่มืดที่สุด ก่อนจะแผ่ออกไปยังบริเวณข้างเคียงในลักษณะคลื่นกระเพื่อม

ท่ามกลางแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์ ของเหลวสีเข้มส่วนใหญ่ระเหยไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังเหลือส่วนน้อยที่ขจัดไม่หมด

จิลเซียสรีบคืนสภาพเดิม ก่อตัวเป็นร่างกายใกล้กับหน้าต่าง

ยังคงเป็นรูปลักษณ์ของปีศาจสูงเกือบสามเมตร ท่าทางสุขุมเยือกเย็น แต่ความกระหายเลือดและจิตสังหารอันเข้มข้น เริ่มเอ่อล้นจนยากจะปกปิดให้มิดชิด

สภาพปัจจุบันของมันค่อนข้างอ่อนแอ จึงไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม รอให้อารมณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เกิดความแปรปรวนไปเอง จะได้เล่นงานด้วยการควบคุมแรงกระหาย เขาแพะสองกิ่งบนหน้าผากจิลเซียสเริ่มลุกไหม้ เตรียมโจมตีใส่จิตใจของศัตรูโดยตรง หวังให้อารมณ์บางชนิดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถูกกระตุ้น

และเมื่อเกิดแรงปรารถนา ความกระหายดังกล่าวจะถูก ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ใช้เป็นจุดอ่อนเล่นงาน!

ทว่า สติจิลเซียสกลับเริ่มวิงเวียนหนักหน่วง รุนแรงชนิดที่ว่า แผนการที่วางไว้เมื่อครู่เกือบเลือนหายไป!

นับตั้งแต่ที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่เกินห้าเมตร ไคลน์ไม่ขยับตัวมากนัก พยายามใช้พลังกระดาษคนตัวแทนและพลัง ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ ประคองสถานการณ์ ถ่วงเวลาให้ยืดออกไป นั่นเพราะชายหนุ่มกำลังเบี่ยงความสนใจเพื่อใช้ ‘ด้ายวิญญาณ’ ควบคุมร่างกายจิลเซียส!

ตามปรกติแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของร่างวิญญาณผู้วิเศษลำดับ 5 การใช้ด้ายวิญญาณเข้าควบคุมขั้นต้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เนื่องจากจิลเซียสถูก ‘ติดสินบน’ ด้วยเบียร์หนึ่งแก้ว ระดับการป้องกันจึงลดลงจากปรกติ และหลังจากนั้น ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายยังถูก ‘ทะลวงจิต’ และ ‘แสงศักดิ์สิทธิ์’ เล่นงานต่อเนื่อง จึงไม่แปลกที่ร่างวิญญาณจะอ่อนแอลง

ดังนั้น แม้ไคลน์ต้องแบ่งสมาธิไปใช้พลังอื่น แต่ก็ยังสามารถควบคุมร่างจิลเซียสในระดับขั้นต้นได้ภายในเวลาสิบห้าวินาที

การต่อสู้อันดุเดือดสงบลงในพริบตา อย่างไรก็ตาม ถึงสติของจิลเซียสจะเริ่มเฉื่อยชาลงไปบ้าง แต่ก็ยังกระทำบางสิ่งได้อยู่ อย่างเช่นการพยายามดิ้นรนขัดขืน ‘พลังควบคุม’ ซึ่งมีต้นตอมาจากก้นบึ้งจิตใจ

ดวงตาสีแดงสุขุมของมันกำลังสะท้อนร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เขาแพะทรงโค้งกึ่งกลางหน้าผากเริ่มลุกไหม้อย่างเกรี้ยวกราด มวลอารมณ์มหาศาลจำพวกความเกลียดชัง ความโลภ ตัณหา ความโกรธ และอีกมาก กำลังแผ่ขยาย

ไคลน์กำลังอยู่ในภาวะกึ่งเข้าฌาน เพ่งสมาธิกับการ ‘ควบคุม’ ศัตรูอย่างใจเย็น พยายามทำให้จิลเซียสหมดสิทธิ์ขัดขืนโดยเร็ว

…………………………………………….

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท