ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ตอนที่ 758

ตอนที่ 758

ราชันเร้นลับ 758 : ผลตอบแทนความพยายาม
ในช่วงเย็น ไคลน์ที่เพิ่งกลับจากวิหารนักบุญแซมมวลและเตรียมเดินขึ้นไปยังห้องอาหารบนชั้นสอง หันไปเห็นพ่อบ้านวอลเตอร์เดินเข้ามาทักทายอย่างนอบน้อม

“นายท่าน เรื่องที่คุณต้องการสืบ ได้รับคำตอบแล้ว”

ต่อหน้าคนรับใช้ ไคลน์ไม่ได้ถามเพิ่มเติม เพียงพยักหน้ารับอย่างใจเย็น

“ไปคุยที่ห้องหนังสือ”

วอลเตอร์เดินตามชายหนุ่มจนถึงชั้นสาม เฝ้ามองริชาร์ดสันเปิดประตูห้องอ่านหนังสือ ตามด้วยจุดตะเกียงแก๊สริมผนังด้านใน

ไคลน์เดินไปที่โต๊ะทำงานอย่างไม่รีบร้อน นั่งลงและมองหน้าพ่อบ้าน รอให้อีกฝ่ายเล่าออกมา

วอลเตอร์ส่งสัญญาณให้ริชาร์ดสันออกไปเฝ้าด้านนอกประตู เดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงาน เรียบเรียงคำพูดในใจ

รอจนกระทั่งประตูปิด มันกล่าว

“สามีของมาดามวาฮาน่าเป็นพ่อค้าผ้า ทำงานกับเพื่อนคนหนึ่ง ลงทุนไปเป็นเงินหนึ่งพันปอนด์ แต่อีกฝ่ายกลับหนีไปกับพร้อมสินค้า… เธอขอร้องให้ส.ส. มัคท์และมาดามลีอานน่า ช่วยกดดันให้ตำรวจเร่งติดตามคดีโดยเร็ว แต่คดีลักษณะแบบนี้ กรมตำรวจเองก็ไม่รับประกันความสำเร็จ”

ไคลน์หยิบปากกาหมึกซึมสีดำบนโต๊ะทำงาน วาดเล่นในอากาศ

“สำหรับครอบครัวของมาดามวาฮาน่า เงินจำนวนหนึ่งพันปอนด์ไม่ใช่ก้อนเล็กๆ”

เท่าที่มันทราบ รายได้ต่อปีของครูสอนพิเศษมักไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ ยิ่งถ้านายจ้างจัดหาที่พักและอาหาร ค่าจ้างก็ยิ่งถูกลง

แม้วาฮาน่าจะมีนายจ้างเป็นชนชั้นสูงหลายตระกูล แต่รายได้ต่อปีสูงสุดก็คงไม่เกินห้าร้อยปอนด์… นอกจากนั้น รายจ่ายส่วนใหญ่ยังต้องหมดไปกับเครื่องแต่งกายและการดูแลรูปร่างหน้าตา เพื่อไม่ให้นายจ้างมองว่าไม่เหมาะสมที่จะเป็นครูสอนมารยาท…

“ใช่ครับ สามีของเธอมีรายได้ค่อนข้างปานกลางในหมู่พ่อค้าผ้า เงินลงทุนหนึ่งพันปอนด์จึงนับว่ามหาศาล” วอลเตอร์เล่าเสียงเบา

เป็นเงินที่เยอะสำหรับเราเหมือนกัน… ไคลน์ถอนหายใจและยิ้ม

“ผมเพิ่งมาถึงเบ็คลันด์ ยังไม่สนิทกับกรมตำรวจ”

วอลเตอร์ตอบกลับทันที

“นายท่าน เมื่อครั้งที่เคยรับใช้ไวเคาต์คอนราด ผมมีโอกาสได้รู้จักคนในสมาคมนายตำรวจอาวุโสประจำกรุงเบ็คลันด์”

สมาคมนายตำรวจอาวุโสประจำกรุงเบ็คลันด์? เท่าที่เราทราบ สมาคมนี้เป็นกลุ่มตำรวจยศใหญ่ในซิลวารัสยาร์ด แม้แต่ผู้กำกับการที่ดูแลเขตระดับเขต ก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วม…

ซิลวารัสยาร์ดหมายถึงกรมตำรวจของเบ็คลันด์ ตั้งชื่อถามถนนที่ตั้ง

สมแล้วที่เคยเป็นพ่อบ้านตระกูลใหญ่… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ยิ้มและส่ายหน้า

“สำหรับตอนนี้ พวกเรายังไม่จำเป็นต้องออกหน้า มาดามวาฮาน่าคงมีคนคอยให้ความช่วยเหลือมากมาย ถึงจะไม่นับส.ส. มัคท์ แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อยที่สามารถทำให้ซิลวารัสยาร์ดหันมาสนใจคดีนี้”

มันเว้นวรรค พูดอย่างไม่แยแส

“ผมเคยเห็นจุดต่ำสุดของสังคมมาแล้ว รู้จักกฎการอยู่รอดของมนุษย์เป็นอย่างดี ในบางกรณี ตำรวจก็มีประโยชน์ไม่มากเท่ากลุ่มอันธพาลหรือนักล่าค่าหัว… วอลเตอร์ คุณไปที่กรมตำรวจเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับคดี จากนั้นก็แวะไปยังผับชื่อดังในย่านสะพานเบ็คลันด์และเขตตะวันออก ประกาศค่าหัวพร้อมเงินรางวัล… ไม่ว่าจะเป็นการพบตัวคนร้ายหรือพบสินค้า ผมจะมอบรางวัลให้สองร้อยปอนด์… หึหึ หวังว่าแก๊งนักต้มตุ๋นนั่นจะยังอยู่ในเบ็คลันด์”

“รางวัลสองร้อยปอนด์?” วอลเตอร์ทวนตัวเลข อดไม่ได้ที่จะหันไปมองนายจ้าง คล้ายกับไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อสะสางปัญหาให้วาฮาน่า

มันอ้าปากเล็กน้อย ราวกับต้องการเตือนบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวออกไป เพียงตอบกลับด้วยเสียงขึงขัง

“ครับ นายท่าน”

“ผมจะฝากเงินไว้กับคุณ” ไคลน์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์

วอลเตอร์รับปึกเงินสดก้อนใหญ่ ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม

“ให้ผมบอกมาดามวาฮาน่าไหมครับ?”

ไคลน์ยิ้ม

“ไม่ต้อง”

วอลเตอร์พยักหน้าและทำความเคารพ

“ความใจกว้างของนายท่านจะแพร่กระจายไปทั่วละแวกนี้”

เขตตะวันออก ถนนดาราวี ภายในผับที่คับแคบแต่มีชีวิตชีวา

ซิล สตรีเจ้าของผมสีทองสั้นที่ถูกหวีอย่างประณีต เดินแหวกฝูงชนอันพลุกพล่านซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าและเหงื่อโชยหึ่ง ตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์บาร์

หญิงสาวใช้นิ้วเคาะแผ่นกระดาน กล่าวกับบาร์เทนเดอร์

“วันนี้มีงานใหม่เข้ามาบ้างไหม”

หากเป็นคนอื่น การโพล่งถามตรงๆ โดยไม่สั่งเครื่องดื่ม บาร์เทนเดอร์จะทำเป็นหูทวนลม แต่เมื่อเหลือบเห็นซิล นักล่าค่าหัวที่ไม่มีใครอยากให้เธอเมา มันทำได้เพียงถอนหายใจ

“มีงานน่าสนใจมาใหม่ จ่ายหนักถึงสองร้อยปอนด์”

“สองร้อยปอนด์?” ซิลเกือบคิดว่าตนหูฝาด เพราะนอกจากงานของมิสออเดรย์ ซึ่งเป็นงานที่ยากกว่านี้หลายเท่า เธอไม่เคยพบงานใดที่มีค่าตอบแทนสูงเท่านี้ในย่านสะพานเบ็คลันด์หรือเขตตะวันออกมาก่อน แม้กระทั่งภารกิจตามหาตัวอะซิก·อายเกสที่ทำให้นักล่าค่าหัวต่างพากันฮือฮา ก็ยังมีค่าตอบแทนเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์

สำหรับนักล่าค่าหัวทั่วไป ขอเพียงทำงานเช่นนี้ให้สำเร็จ พวกมันไม่ต้องทำงานไปอีกหนึ่งปีเต็มก็ยังได้!

และสำหรับซิล เงินก้อนนี้มีความหมายต่อเธอมาก เพราะหลังจากทำงานให้ชายสวมหน้ากากสีทองมาหลายเดือน เธอทราบเบื้องต้นว่าอีกฝ่ายคือคนของ MI9 หากตนสะสมคะแนนผลงานถึงค่าที่กำหนด เธอสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับสูตรโอสถ ‘นักสอบสวน’ ได้

ด้วยเหตุผลข้างต้น ค่าตอบแทนส่วนใหญ่จึงมาในรูปแบบของ ‘คะแนนผลงาน’ มากกว่าเงิน ส่วนเงินเก็บของซิลจะมาจากการทำงานล่าค่าหัวด้วยพลังของ ‘เจ้าพนักงาน’ เป็นหลัก

หากแลกสูตรปรุงโอสถได้เมื่อไร เรายังต้องใช้เงินเพื่อซื้อวัตถุดิบหลัก แต่ตอนนี้มีเงินติดตัวแค่สามร้อยปอนด์เศษเท่านั้น… ฟอร์สพูดถูก เงินไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ก็สำคัญต่อชีวิตมาก… คิดถึงจุดนี้ ซิลมองไปทางบาร์เทนเดอร์ ถามหลังจากใคร่ครวญ

“ภารกิจอะไร? ใครเป็นคนจ้าง?”

“ตามหาแก๊งต้มตุ๋น พวกมันโกงค่าผ้าเป็นเงินหนึ่งพันปอนด์” บาร์เทนเดอร์หยิบใบประกาศส่งให้ซิล พลางกล่าว “ผู้ว่าจ้างน่าจะเป็นพ่อบ้าน เรียกตัวเองว่าวอลเตอร์ ทำงานรับใช้มิสเตอร์ดอน·ดันเตสบนถนนเบิร์คลุน หากจับคนร้ายได้หรือเจอผ้าที่เป็นสินค้า เธอสามารถไปรับรางวัลได้ที่นั่น”

ซิลพลิกอ่านข้อมูลอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น ฉากที่สอดคล้องกันเริ่มปรากฏขึ้นภายในใจ ช่วยนำทางการสืบสวน

“ฉันจะทำงานนี้” หญิงสาวเงยหน้าและตอบ

บาร์เทนเดอร์ยักไหล่

“ไม่ใช่แค่เธอ นักล่าค่าหัวทุกคนของที่นี่ต่างเลือกทำงานนี้… แถมบางคนยังมีความคิดแหวกแนว”

“แหวกแนว?” ซิลถามอย่างสงสัย

บาร์เทนเดอร์หัวเราะในลำคอ

“พวกเขาบอกว่า มิสเตอร์ดอน·ดันเตสทั้งร่ำรวยและใจกว้าง หากเขายังขาดบอดี้การ์ด คนเหล่านั้นจะเสนอตัวทำงานให้… แต่ผ่านไปสักพักก็ต้องล้มเลิกความคิด เพราะงานบอดี้การ์ดไม่มีอิสระเท่ากับนักล่าค่าหัว แค่จะดื่มยังต้องรอให้เลิกงานก่อน”

นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา แต่ว่า… เราเป็นได้แค่นักล่าค่าหัว… ซิลพยักหน้า กระโดดลงจากเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์ เดินออกจากร้านโดยไม่มัวรีรอ

วันถัดมา ไคลน์ที่เพิ่งกินมื้อเที่ยงเสร็จ เตรียมออกไปเดินเล่นในสวนเพื่อย่อยอาหาร

ทันใดนั้น พ่อบ้านวอลเตอร์เดินเข้ามาจากนอกบ้าน ตามหลังชายหนุ่มไปโดยไม่กล่าวคำใด รอจนกระทั่งไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ

“นายท่าน มีสองเรื่อง” มันกล่าวด้วยท่าทางเคารพ

“สองเรื่อง?” ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจ เพราะคิดว่าจะมีเพียงหนึ่ง

วอลเตอร์พยักหน้า

“ใช่ครับ เรื่องแรกก็คือการโอนหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเบ็คลันด์จักรยาน ตอนนี้มีคนยอมจ่ายในราคาหนึ่งหมื่นปอนด์แล้ว… นายท่านต้องการจะประมูลแข่งหรือไม่?”

ขึ้นไปถึงหนึ่งหมื่นปอนด์แล้ว? เจ๋ง! ไคลน์แสร้งทำหน้าเครียด ก่อนจะตอบ

“ผมยังใหม่กับเบ็คลันด์มาก มีหลายๆ สิ่งต้องยับยั้งชั่งใจ… ปล่อยไปก่อน ไม่ต้องไปสนใจ…”

“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์กล่าวต่อ “นักต้มตุ๋นที่หลอกขายผ้าให้สามีของมาดามวาฮาน่า ตอนนี้ถูกจับตัวได้แล้ว นักล่าค่าหัวคนดังกล่าวกำลังรอรับเงินรางวัลจากผม”

“เร็วขนาดนี้เชียว?” ไคลน์เอียงคออย่างประหลาดใจ จ้องไปทางพ่อบ้าน

ถ้ามันลงมือเอง ปัญหาคงคลี่คลายได้ภายในวันเดียว เพราะมีเทคนิคการทำนายด้วย ‘แท่งวิญญาณหาคน’ แสนสะดวกสบาย แต่ปัญหาคือ นักล่าค่าหัวส่วนใหญ่มักไม่ใช่เส้นทางนักทำนาย

แต่ก็อาจเป็นผู้วิเศษที่ชำนาญการแกะรอยและตามหาคน… ไคลน์สรุปในใจ

วอลเตอร์ยืนยันคำตอบ

“ใช่ครับ เร็วกว่าที่ผมคิดไว้เช่นกัน… ตามที่นักล่าค่าหัวคนนั้นรายงาน เธอสืบสวนแบบย้อนรอยจากช่องทางที่คนร้ายปล่อยของ จนกระทั่งสาวไปถึงแก๊งต้มตุ๋นเหล่านั้น”

ช่องทางที่คนร้ายปล่อยของถูกหาพบภายในวันเดียว? ป่านนี้พวกมันคงถูกสั่งสอนด้วยกำปั้นเหล็กไปแล้วสินะ… ไคลน์พยักหน้ารับ

“นักล่าค่าหัวคนนั้นชื่ออะไร? ฝีมือของเธอยอดเยี่ยมมาก”

“เธอเรียกตัวเองว่าซิล” วอลเตอร์ตอบตามจริง

บ้าน่า… ไคลน์เกือบผงะ แต่โชคดียังที่มีพลังการทรงตัวขั้นสุดยอดของตัวตลก

ข่มความปั่นป่วนภายในใจสักพัก ชายหนุ่มปกปิดความผิดปรกติด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันไปพูดกับอีกฝ่าย

“ขอข้อมูลติดต่อนักล่าค่าหัวคนนั้นไว้ บางที เราอาจต้องพึ่งพาเธอในอนาคต”

“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์ไม่ได้มองว่าคำสั่งของดอน·ดันเตสผิดปรกติ เพราะชนชั้นสูงมักมีช่องทางติดต่อกับคนทำงานสีเทาเสมอ

ไคลน์ไม่ได้สานต่อบทสนทนา เพียง ‘อืม’ และกล่าว

“ได้คืนจากคนร้ายเท่าไร”

“เงินสดที่แก๊งต้มตุ๋นพกติดตัว รวมกับผ้าที่ยังขายไม่ออก ทั้งหมดแปดร้อยห้าสิบปอนด์ครับ” คล้ายกับวอลเตอร์กำลังรอให้นายจ้างถาม มันตอบอย่างฉะฉานด้วยข้อมูลที่เตรียมไว้ล่วงหน้า

“ทำได้ดี” ไคลน์พยักหน้า “หลังจากจ่ายค่าตอบแทนเสร็จ บอกให้เธอนำแก๊งต้มตุ๋นไปส่งสถานีตำรวจใกล้ๆ พร้อมกับของกลาง”

สถานีตำรวจเขตเหนือ

วาฮาน่าและบาคุส สามีของเธอ ต่างมองไปยังสารวัตรยศใหญ่ฝั่งตรงข้าม ซักถามด้วยความประหลาดใจอย่างพร้อมเพรียง

“ได้คืนแล้วหรือคะ?”

“พวกมันถูกจับแล้ว?”

สารวัตรตอบด้วยรอยยิ้ม

“ใช่”

หลังจากทราบว่ามีเงินสดและผ้าเหลืออยู่เท่าไร วาฮาน่ากับบาคุสถอนหายใจอย่างโล่งอก

เงินที่หายไปจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ พวกมันยังพอรับได้ นอกจากนั้น ผ้าที่เหลืออยู่ก็ยังสามารถทำกำไรได้ด้วยการต่อยอด โดยรวมแล้ว ความเสียหายจึงไม่รุนแรงมากนัก

สองสามีภรรยาขอบคุณสารวัตรซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตามบาคุสให้ไปชี้ตัวคนร้ายและสินค้า

วาฮาน่ายังคงนั่งที่เดิมโดยไม่สูญเสียความสง่างาม เผยรอยยิ้มพลางพูดกับสารวัตรยศใหญ่ด้านหน้า

“ตำรวจทำงานได้รวดเร็วผิดคาดมาก ขอถามได้ไหนคะ พวกคุณสืบจนพบแก๊งต้มตุ๋นได้ยังไง?”

เนื่องจากทราบว่าสตรีมีเสน่ห์และสง่างามตรงหน้ารู้จักกับส.ส. ไม่ช้าก็เร็วคงได้ทราบความจริง สารวัตรจึงไม่คิดปิดบัง

“อันที่จริง คดีนี้ถูกปิดโดยนักล่าค่าหัวคนหนึ่ง เธอเริ่มสืบจากช่องทางที่คนร้ายปล่อยของ จนตามจับได้เมื่อไม่นานมานี้”

“พวกคุณจ้างนักล่าค่าหัวด้วยหรือ?” วาฮาน่าเริ่มเข้าใจเรื่องราว

สารวัตรส่ายหน้าและตอบ

“เปล่า มีใครบางคนลงประกาศไปก่อน รางวัลตอบแทนคือสองร้อยปอนด์”

“สองร้อยปอนด์?” วาฮาน่าทวนคำซ้ำอย่างประหลาดใจ

นั่นไม่ใช่เงินก้อนเล็กๆ มากกว่ากำไรที่สามีของเธอคาดหวังจากธุรกิจนี้ด้วยซ้ำ!

เมื่อเห็นสารวัตรยืนยัน วาฮาน่าอดไม่ได้ที่จะถาม

“ใครเป็นคนตั้งรางวัลนำจับหรือคะ?”

“นักล่าค่าหัวไม่ได้บอก แต่เธอมาพร้อมกับสุภาพบุรุษที่แต่งตัวเหมือนพ่อบ้าน” สารวัตรเริ่มบรรยายรูปลักษณ์ของวอลเตอร์อย่างคร่าว

วาฮาน่าพอจะเดาได้ว่าเป็นใคร จึงเอนหลังเล็กน้อย พึมพำอย่างเหม่อลอย

“สองร้อยปอนด์…”

ในช่วงบ่าย วาฮาน่าที่มาสอนมารยาทให้บุตรสาวของส.ส. มัคท์ กล่าวขอบคุณมาดามลีอานน่าที่พยายามช่วยเหลือปัญหาของตน

ลีอานน่า สตรีเจ้าของเส้นผมสีเขียวเข้ม ปฏิเสธอย่างถ่อมตน ก่อนจะถาม

“วาฮาน่า ฉันได้ยินว่าคุณเป็นครูสอนมารยาทให้มิสเตอร์ดอน·ดันเตสด้วย เขาเป็นคนแบบไหนหรือ”

วาฮาน่าครุ่นคิดสักพัก

“เป็นสุภาพบุรุษตัวจริง บุคลิกอบอุ่น ใจกว้าง มีเมตตา มารยาทดี อ่อนโยน และฉลาดหลักแหลม”

ลีอานน่าพยักหน้าเล็กน้อย หันไปมองหญิงสาวด้านข้างที่ค่อนข้างทระนงตน หัวเราะในลำคอ

“น่าเสียดายที่อายุมากไปสักนิด ไม่อย่างนั้นคงนัดเขามาดูตัว… ดีล่ะ ฉันจะชวนเขามาร่วมงานเต้นรำในช่วงสุดสัปดาห์นี้”

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท