ราชันเร้นลับ 853 : ความแตกต่างของชั้นเชิงวาทศิลป์
คิดว่ายังไง? ถ้าฉันรู้คำตอบคงไม่ต้องถ่อมาถึงที่นี่ คงหาโอกาสรายงานเบื้องบนอย่างอ้อมๆ ไปแล้ว! เลียวนาร์ดพึมพำเงียบพลางพิจารณาคำตอบ
ระหว่างนี้ มันพบว่าแม้ตนจะกำลังยืนก้มมองดอน·ดันเตสบนเก้าอี้เอนหลัง แต่อีกฝ่ายกลับแผ่ออร่าของผู้ที่เหนือกว่าออกมาอย่างชัดเจน ราวกับหัวหน้านั่งฟังรายงานจากลูกน้อง
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้เลียวนาร์ดเกิดความกระอักกระอ่วน เหลียวซ้ายแลขวาเพื่อเลื่อนเก้าอี้มานั่งเอนหลัง กึ่งสร้างความผ่อนคลายกึ่งจงใจรักษามาด
“ผมคิดว่าเขา… หรือพวกคุณ… กำลังมองหาบางสิ่ง… ย้อนกลับไปสมัยยังอยู่ทิงเก็น เขาเคยแทรกซึมเข้ามาในหน่วยเหยี่ยวราตรีเพื่อค้นหาบางสิ่ง และที่นี่ กรุงเบ็คลันด์ เขาได้แทรกซึมเข้าไปประตูยานิสเพื่อตามหาสิ่งนั้น! ในครั้งแรก เขาไม่พบสิ่งที่ต้องการ จึงอาศัยการบุกจู่โจมของอินซ์·แซงวีลล์เพื่อทำเป็นแกล้งตายและหลบหนีออกมา… ครั้งที่สอง เขาก็ยังไม่พบสิ่งที่ต้องการ จึงออกจากประตูยานิสมาโดยมิได้แตะต้องสิ่งใด!”
ประโยคของเลียวนาร์ดอัดแน่นไปด้วยน้ำเสียงคุกคาม จงใจสื่อให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตนค้นพบความจริงเบื้องหลังเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ และไคลน์·โมเร็ตติ หวังสร้างบรรยากาศกดขี่มิให้ดอน·ดันเตสทำตัวตามสบายและเล่นลิ้น
อย่างที่คิด เขากลับไปขุดหลุมศพเรา… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบสบายๆ
“หลังจากล้มเหลวในครั้งแรก คุณคิดว่าพวกเราจะไม่สืบข้อมูลจนมั่นใจก่อนลงมือหรือ? ก็อย่างที่ทราบ ภารกิจแบบนี้มีโอกาสทำเพียงครั้งเดียว หากล้มเหลวก็หมดสิทธิ์แก้ตัว… ดังนั้น ในสถานการณ์ที่เป้าหมายไม่ชัดเจน ใครจะโง่พอที่จะลงมือ?”
เขาไม่ปฏิเสธคำพูดเรา ยอมรับโดยนัยว่าไคลน์·โมเร็ตติคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ คือจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดผู้สังกัดองค์กรลับที่ศรัทธาในเดอะฟูล… เลียวนาร์ดพยายามไม่ขมวดคิ้ว เปลี่ยนมานั่งไขว่ห้างขวาทับซ้าย
“หมายความว่า ไม่ใช่หาสิ่งที่ต้องการไม่พบ แต่เกิดความล้มเหลวเนื่องจากปัจจัยภายนอก? ในสองปฏิบัติการที่ผ่านมา มีวัตถุเพียงสองชิ้นที่เหมือนกันระหว่างวิหารพระแม่เซเลน่าและวิหารนักบุญแซมมวล: สมบัติปิดผนึก 2-049 และสมุดบันทึกของตระกูลอันทีโกนัส… สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส… ต้องใช่แน่… ไคลน์·โมเร็ตติเข้าร่วมเหยี่ยวราตรีเพราะสิ่งนี้!”
แม้กระบวนการอนุมานจะผิดไปไกล แต่คำตอบกลับออกมาถูก… ไคลน์หัวเราะในลำคอพร้อมกับตอบ
“สมองมีไว้แค่คั่นหูเท่านั้นหรือ… หากจุดประสงค์ของเขาคือสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสจริง มีโอกาสมากมายที่เขาจะชิงไปก่อนที่เหยี่ยวราตรีจะได้ครอบครองมัน… และถึงแม้จะอยู่ในมือพวกคุณ เขาก็ยังมีโอกาสมากมายให้ช่วงชิงกลับมาครอง สำหรับรายละเอียดเชิงลึก คุณน่าจะรู้ดีกว่าผมกระมัง… และถ้าในเมื่อเป้าหมายคือสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสจริง ทำไมเขาถึงไม่ช่วงชิงออกมาทั้งๆ ที่มันถูกเก็บอยู่ข้างใน?”
เลียวนาร์ด·มิเชลที่ถูกเย้ยหยัน พลันตระหนักว่าทฤษฎีที่ตนคิดขึ้นมาได้กะทันหันเต็มไปด้วยช่องโหว่และความขัดแย้ง ภายในใจจึงเกิดความละอายผสมโกรธ
มันสูดลมหายใจเข้าออก
“แล้วทำไมถึงพยายามแทรกซึมประตูยานิสสองครั้งสองครา แถมคราวนี้ไม่เพียงจะไม่ได้อะไรกลับไป ไม่ทิ้งอะไรไว้ แต่ยังเข้าสู่สภาวะแปลกประหลาด”
เลียวนาร์ดกล่าวจบ มันเห็นดอน·ดันเตสเจ้าของจอนสีขาวเผยรอยยิ้มลุ่มลึก
“สำหรับอย่างหลัง ผมเองก็ไม่ทราบเหตุผลเช่นกัน บางทีคุณควรลองถามเทพธิดารัตติกาลดูนะ”
เทพธิดา… เขากำลังพูดเรื่องอะไร? เลียวนาร์ดผุดความประหลาดใจทันที มิอาจจินตนาการได้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นในประตูยานิส
ถัดมา มันได้ยินดอน·ดันเตสหัวเราะและพูด
“สำหรับคำถามแรก ผมว่าคุณกำลังเข้าใจบางสิ่งผิดไปถนัด… สมาชิกขององค์กรเรามาจากร้อยพ่อพันแม่ เข้าร่วมองค์กรด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่าง ก่อนหน้านั้นใครจะมีความเชื่ออย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร นั่นไม่เกี่ยวกับพวกเรา… เฉกเช่นผมที่มีทั้งอดีตและปัจจุบัน จุดประสงค์ที่ผมเดินทางมายังเบ็คลันด์ ก็เหมือนกับนามสกุลที่มอบให้ตัวเอง”
ดันเตส…นิยาย ‘การกลับมาของเอิร์ล’ … เขาเข้าร่วมองค์กรลับที่ศรัทธาเดอะฟูลเพื่อกลับมายังเบ็คลันด์และแก้แค้น? เลียวนาร์ดพยักหน้าพลางครุ่นคิด
ไคลน์เว้นวรรคสองสามวินาที จิบไวน์แดง ก่อนจะยิ้มและเล่าต่อ
“เขาก็เช่นกัน… ชายผู้คืนชีพจากคำสาปของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส… เขาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราเพื่อแก้แค้น”
ไคลน์จงใจเอ่ยถึงนามสกุลดันเตส เอ่ยถึงการแก้แค้น เพื่อแยกดอน·ดันเตสออกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์และไคลน์·โมเร็ตติ ด้วยกังวลว่าเลียวนาร์ดอาจค้นพบความผิดปรกติในอนาคต และจับทั้งสามคนเชื่อมโยงเป็นคนเดียว
มันชักนำบทสนทนาให้ผู้ฟังถูกโน้มน้าวโดยไม่รู้ตัว หลงเชื่อว่าดอน·ดันเตสไม่เกี่ยวข้องกับไคลน์·โมเร็ตติ สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือการแก้แค้น เพราะโลกนี้มิได้มีผู้เคียดแค้นเพียงสองคน
เลียวนาร์ดวางขาที่ไขว้หางลงโดยไม่รู้ตัว โน้มร่างกายท่อนบนมาด้านหน้าเล็กน้อย
“แก้แค้น? เขาต้องการแก้แค้นใคร?”
เมื่อถามจบ สุภาพบุรุษวัยกลางคนมาดสง่างามและภูมิฐานตรงหน้า เผยรอยยิ้มตรงมุมปากอย่างมีเลศนัย
“ลาเนวุส แล้วก็… อินซ์·แซงวีลล์”
“อินซ์·แซงวีลล์…” เลียวนาร์ดโพล่งขึ้นและพึมพำคำเดิมสักพัก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว ไม่กล่าวคำใดออกมาเป็นเวลานาน
ดวงตาของมันมองตรงแต่ไม่จดจ่อ ไม่มีใครทราบว่ากำลังคิดสิ่งใด
ฟู่ว… หลังจากเงียบงันสักพัก เลียวนาร์ดคลายกำปั้นพลางถอนหายใจ
มันถามด้วยเสียงแหบพร่า
“ลาเนวุสถูกเขาฆ่าใช่ไหม”
“ถูกต้อง” ไคลน์แอบถอนหายใจ ตอบเยือกเย็น
เลียวนาร์ดอ้าปาก คล้ายกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา ทำได้เพียงเม้มริมฝีปากแน่น
เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายบรรลุจุดประสงค์ในการมาที่นี่ ไคลน์หัวเราะในลำคอพลางเปลี่ยนบทสนทนา
“หากคุณมีจุดประสงค์ที่คล้ายคลึงกัน หรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านได้ทุกเมื่อ บางทีท่านอาจยอมตอบสนอง”
ท่าน… ตัวตนลึกลับในเงามืดนามว่าเดอะฟูล? เลียวนาร์ดเชื่อว่าดอน·ดันเตสเป็นพวกชอบเผยแผ่ศาสนา พยายามชักชวนคนส่งเดชเป็นนิสัย จึงไม่ได้เก็บเอาไปใส่ใจ เพียงตอบสนองด้วยความเงียบ
ไคลน์หันไปยิ้มและพูด
“แล้วก็ ฝากคำพูดไปถึงพาลีส·โซโรอาสเตอร์ด้วยว่า สมาชิกองค์กรคนหนึ่งของเรา เผชิญหน้ากับผู้เย้ยเทพอามุนด์ในดินแดนเทพทอดทิ้ง”
ประโยคเมื่อครู่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลจนเลียวนาร์ดทำตัวไม่ถูกไปสักพัก เสียงของชายวัยกลางคนดังกังวานในหัว
ดินแดนเทพทอดทิ้ง? ดินแดนที่ถูกเทพทอดทิ้งซึ่งแม้แต่เจ็ดเทพจารีตก็ยังหาไม่พบ แต่หนึ่งในสมาชิกขององค์กรพวกเขากลับผ่านเข้าออกดินแดนเทพทอดทิ้งได้!
ผู้เย้ยเทพอามุนด์… ตาแก่เคยเล่าว่า เขากำลังหลบหนีจากคนที่มีนามสกุลว่าอามุนด์… ถูกอีกฝ่ายโจมตีจนบาดเจ็บหนักและทำได้เพียงฝังตัวเป็นปรสิตในร่างมนุษย์…
น้ำเสียงและท่าทางของดอน·ดันเตสบ่งบอกว่าชายคนนี้คือสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตรอดมาจากยุคสมัยที่สี่ แถมยังมีฝีมือทัดเทียมระดับเดียวกับตาแก่… ต่อหน้าเขา เราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกต่ำต้อย ไม่หลงเหลือความมั่นใจในตัวเอง…
ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน เลียวนาร์ดพยักหน้า
“ผมจะไปบอกเขาให้”
อา ดูเหมือนว่าในตอนที่เลียวนาร์ดเข้าฝันคนอื่น ชายชราในตัวจะไม่ได้ยินหรือเห็นในสิ่งเดียวกัน ไม่อย่างนั้น หลังจากได้ยินชื่อ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ก็ควรแสดงปฏิกิริยาที่ผิดปรกติออกมา… สอดคล้องกับคำพูดของ ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสตินที่เคยกล่าวไว้ว่า: เว้นเสียแต่นักกวีอดีตเพื่อนร่วมงานของเราจะตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง คุณปู่ในตัวจึงจะแสดงอาการผิดปรกติและลงมือกระทำบางสิ่ง… เยี่ยม หมายความว่าเขาไม่ใช่ ‘ปรสิตแบบสมบูรณ์’ … ไคลน์ตีความข้อมูลจากเบาะแสที่พบ ก่อนจะเผยรอยยิ้ม
“เชิญกลับไปได้ และไม่ต้องกังวล เป้าหมายของผมไม่ใช่โบสถ์รัตติกาล”
ตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่… ไคลน์เสริมเงียบ
เลียวนาร์ดที่ได้รับข้อมูลเพียงพอ ตัดสินใจไม่แช่อยู่นาน ลุกขึ้นจากเก้าอี้และโค้งศีรษะทักทาย
จากนั้นก็ออกจากความฝันของดอน·ดันเตส
…
ภายในห้องริมถนนด้านหลังวิหารนักบุญแซมมวล เลียวนาร์ดตื่นขึ้นพร้อมกับได้ยินเสียงค่อนข้างชราของปรสิตในร่างกาย
“เขาพูดว่าอะไรบ้าง?”
เลียวนาร์ดเรียบเรียงคำพูด
“เขายอมรับตรงๆ ว่าเป็นสมาชิกขององค์กรลับที่ศรัทธาเดอะฟูล ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าไคลน์·โมเร็ตติคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์… เป้าหมายของพวกเขาคือการแก้แค้น… เป็นแค้นของแต่ละคน”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบงันสักพัก
“เขาได้พูดไหมว่าทำไมไคลน์·โมเร็ตติถึงคืนชีพได้? หรือใช้วิธีใดในการแกล้งตายอย่างสมจริงจนน่าเหลือเชื่อ”
เลียวนาร์ดนึกทบทวนสักพัก
“เขาอธิบายว่าเป็นคำสาปจากสมุดบันทึกของตระกูลอันทีโกนัส”
คำสาป… ทันใดนั้น เลียวนาร์ดเพิ่งฉุกคิดได้ว่า ดอน·ดันเตสเลือกใช้คำค่อนข้างแปลก
เหตุใดพลังที่ช่วยให้คืนชีพอีกครั้ง ถึงถูกเรียกว่าเป็นคำสาป!
พาลีส·โซโรอาสเตอร์มิได้สงสัยในประเด็นดังกล่าว เพียงถามหลังจากเว้นวรรคครู่หนึ่ง
“เขาพูดอะไรอีก?”
เลียวนาร์ดไม่ปิดบัง เล่าตรงไปตรงมา
“เขาเอ่ยถึงผู้เย้ยเทพอามุนด์ ระบุว่าสมาชิกคนหนึ่งขององค์กรได้เผชิญหน้ากับอามุนด์ในดินแดนเทพทอดทิ้ง… ตาแก่ นี่ใช่อามุนด์เดียวกับที่คุณเคยพูดถึงไหม?”
เสียงในใจเงียบงันเป็นเวลานานก่อนจะตอบ
“คงใช่”
มันเว้นวรรคเล็กน้อย
“ข้าเชื่อว่าดอน·ดันเตส… ไม่สิ เดอะฟูลผู้อยู่เบื้องหลังเขา อาจเป็นหนึ่งในสหายเก่าแก่ของข้า”
ตาแก่คิดว่าตนอยู่ระดับเหนือกว่าดอน·ดันเตสหนึ่งขั้น หรืออาจจะมากกว่านั้น… เขาเป็นเทวทูตเดินดิน? เลียวนาร์ดครุ่นคิด
“เพื่อนเก่าคนไหน?”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์ไม่ตอบ แต่ย้อนถาม
“เจ้ามีความคิดจะเปิดโปงเรื่องของดอน·ดันเตสกับไคลน์·โมเร็ตติไหม?”
เลียวนาร์ดเงียบงันราวสิบวินาที ตามด้วยตอบเสียงแผ่ว
“ตอนนี้ยัง… บางที ผมกับเขาอาจได้ร่วมมือกัน… และทางศาสนจักรก็มิได้เกิดความสูญเสียใดจากเหตุการณ์ครั้งนี้”
ปรสิตในร่างกายมิได้กล่าวสิ่งใดต่อ คล้ายกับหลับไปแล้ว
เลียวนาร์ดเงยศีรษะขึ้นอย่างไม่รีบร้อน นั่งอ่านเอกสารเกี่ยวกับคดีที่เกี่ยวข้องสักพักจึงพึมพำกับตัวเอง
“เขาทิ้งเราไม่เห็นฝุ่น…”