ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ตอนที่ 866

ตอนที่ 866

ราชันเร้นลับ 866 : บ้านเกิด
หลังจากได้ยินคำทักทายจากมิสจัสติส ‘เดอะฟูล’ ไคลน์พลันเกิดความรู้สึกประหลาด

เมื่อได้รู้จักตัวตน สถานะ และรูปลักษณ์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย ไคลน์เข้าใจทันทีว่าความสดใสร่างเริงของอีกฝ่ายมีต้นกำเนิดจากแหล่งใด แต่มิได้เกิดความอิจฉาริษยา มิได้คิดว่าอีกฝ่ายต้องลิ้มรสความทุกข์เสียบ้าง กลับกัน ท่ามกลางโลกอันแสนวุ่นวายและบ้าคลั่งใบนี้ การมีสตรีประเภทนี้อยู่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อย

ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเล็กๆ ขณะตอบรับคำทักทายของจัสติส

รอจนกระทั่งสมาชิกชุมนุมทาโรต์ทักทายเสร็จ แคทลียาดันกรอบแว่น หันศีรษะไปด้านข้างพร้อมกับโค้งศีรษะคำนับตัวตนบนเก้าอี้สุดขอบโต๊ะทองแดงยาว

“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ คราวนี้มีไดอารีสามหน้า”

ราชินีเงื่อนงำกลับมาออนไลน์แล้ว… ไคลน์จิกกัดในใจ ยิ้มและกล่าว

“ดี”

ไม่กี่วินาทีถัดมา แคทลียาที่ได้รับอนุญาต เขียนไดอารีสามหน้าเสร็จและมองพวกมัน ‘กระโดด’ ไปอยู่บนฝ่ามือมิสเตอร์ฟูล

ไคลน์ชำเลืองด้วยสายตาผ่อนคลาย ภายในใจเริ่มขมวดคิ้ว

ชายหนุ่มพบว่าไดอารีที่ราชินีเงื่อนงำส่งมาในคราวนี้ เป็นการเขียนในช่วงแรกๆ ของโรซายล์ ไม่มีข้อมูลสลักสำคัญ

ตามปรกติแล้ว ถ้ามิอาจจำแนกความสำคัญของไดอารี ก็ควรเลือกจากช่วงท้ายๆ มาก่อนไม่ใช่หรือ? เพราะนั่นอาจมีเบาะแสของการ ‘ลอบสังหาร’ จักรพรรดิโรซายล์ถูกบันทึกไว้… นึกว่าราชินีเงื่อนงำจะฉลาดกว่านี้เสียอีก… ไคลน์เกิดความเคลือบแคลงเล็กๆ ก้มหน้าอ่านไดอารีแผ่นแรกอย่างระมัดระวัง

“21 กันยายน เดินทางมาถึงเซนต์มิลลอม เริ่มการเยือนอาณาจักรข้างเคียงอย่างเป็นทางการในฐานะประมุข”

“อากาศที่ฟุซัคหนาวสมคำร่ำลือ ทั้งที่ยังไม่ถึงเดือนตุลาคม แต่กลับดูเหมือนจะมีหิมะตก ไม่แปลกใจว่าทำไมสินค้าขึ้นชื่อถึงเป็นเสื้อผ้าและเหล้า!”

“บ้าจริง คนที่นี่สูงชะมัด สมแล้วที่เป็นลูกหลานคนยักษ์ แต่ต้องยอมรับตามตรงว่า เราไม่ชอบความรู้สึกของการถูกก้มมองลงมาเลยสักนิด!”

“สำหรับค่ำคืนนี้ เราจะแวะไปผับ มองหาสาวงามชาวฟุซัคและชวนกันเมาหัวราน้ำ!”

อ่านถึงตรงนี้ ไคลน์เกิดเริ่มสงสัยว่า ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดตอาจจะแนบคำถามมาด้วยว่า เธอมีพี่น้องเป็นลูกครึ่งเชื้อสายฟุซัคอยู่หรือไม่?

ข่มใจไม่ให้ส่ายศีรษะ ไคลน์ก้มหน้าอ่านย่อหน้าที่สอง

“22 กันยายน ดูเหมือนว่าเราจะภาพตัด”

“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สาวงามชาวฟุซัคไปไหน? นี่เราพ่ายแพ้เธอในการดื่ม?”

“คนของสถานทูตบอกกับเราว่า สตรีที่นี่มักดื่มเก่งกว่าบุรุษ”

“ในอนาคตคงต้องเลือกผับให้ดี เราไม่อยากถูกคุณป้าอ้วนๆ ทำมิดีมิร้ายตอนภาพตัด”

“เหล้าที่นี่แรงมาก ทำเอาปวดหัวทั้งวัน แต่โชคดีที่ไม่ปวดก้น ดีล่ะ ต้องรีบนอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้มีนัดหมายไปเยี่ยมชมบรมมหาราชวังสนธยา”

“23 กันยายน บรมมหาราชวังสนธยาทั้งงดงามและยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือ ราวกับตำนานกลายเป็นความจริง ทุกส่วนของอาคารราวกับถูกสร้างมาเพื่อคนยักษ์”

“ในฐานะคนนอก เราทำได้แค่เดินวนสำรวจด้านนอก พบว่าบริเวณเชิงเขาของบรมมหาราชวังเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าโชยหึ่ง!”

“ที่นั่นมีผู้คนมากมาย บางคุกเข่า บ้างนั่ง บ้างเล่นฟลุตกระดูก มอบความรู้สึกผ่อนคลายและไพเราะ”

“เราเข้าไปทำความรู้จักกับคนเป่าฟรุตกระดูกคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมชาติ ชายนี้ตัวใหญ่กว่าปรกติมาก เป็นเจ้าของส่วนสูงถึงเกือบสามเมตรจากการกะเกณฑ์ด้วยสายตา”

“เขาชื่อโอเนจ เป็นคนของตระกูลหนึ่งในฟุซัคที่อ้างตัวว่าสืบเชื้อสายมาจากคนยักษ์บริสุทธิ์ เล่นฟลุตกระดูกได้เศร้ามาก เดิมทีไม่ใช่คนที่นี่ แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน… เมื่อเทียบกับชายชาวอินทิสที่วันๆ เอาแต่วนรอบกระโปรงสาวๆ ชายคนนี้ดูเป็นนักกวีที่น่ายกย่อง พูดถึงเจ้าพวกนั้นแล้วหัวเสีย ทำไมถึงได้ภาคภูมิใจกับโรคทางเพศสัมพันธ์ที่ตนเป็นกันนัก? นั่นทำให้เราต้องระวังตัวมากขึ้นหลายเท่า! จะทำอะไรก็ไม่สะดวก!”

“เราคุยกับโอเนจสักพัก ได้ความว่าเขาคิดถึงบ้านเกิดมาก”

“แต่ปัญหาคือ เขาเป็นคนของเซนต์มิลลอมโดยกำเนิด ไม่เคยออกไปไหน”

“โอเนจมิได้ตอบเราทันที แต่เริ่มด้วยการเป่าฟลุตกระดูกสองสามนาที จนกระทั่งเล่าว่าเขาคิดถึงสายเลือดคนยักษ์บริสุทธิ์ คิดถึงวังราชาคนยักษ์ในตำนาน”

“เขาเล่าว่า ตนและตระกูลของตนมักฝันถึงภูเขาลูกใหญ่ ฝันถึงกำแพงยักษ์ ฝันถึงวังขนาดมหึมาและอาคารข้างเคียงที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแสงสนธยาตลอดเวลา ที่นั่นคล้ายคลึงกับบรมมหาราชวังสนธยามาก แต่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า ใกล้เคียงตำนานยิ่งกว่า”

“ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ โอเนจและคนในตระกูลล้วนคิดตรงกันว่า สถานที่ดังกล่าวคือวังราชาคนยักษ์”

“เมื่อกล่าวจบ โอเนจค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวขอบคุณที่เราอยู่เป็นเพื่อนคุย เขากำลังจะเดินทางออกจากฟุซัคเพื่อตามหาวังราชาคนยักษ์ ตามหาบ้านเกิดของดวงวิญญาณ”

“เขาเชื่อว่า บนน่านน้ำสุดขอบตะวันออกของทะเลโซเนีย ที่นั่นอาจจะมีเส้นทางเข้าไปยังวังราชาคนยักษ์”

“เขายังเล่าอีกว่า แม้จะผ่านมาแล้วหลายพันปี แต่คนยักษ์ไม่เคยลืมบ้านเกิด ตอนนี้ถึงเวลาต้องเดินตามรอยบรรพบุรุษแล้ว หากไม่เจอจุดสิ้นสุดก็จะไม่มีวันหยุดเดินทาง”

“เขาเล่นฟลุตกระดูกอีกครั้งด้วยท่วงทำนองที่ทวีความเศร้าแต่ไพเราะ ก่อนจะลับสายตาไป”

“บ้านเกิด…”

บ้านเกิด… อ่านถึงตรงนี้ เป็นครั้งแรกที่ไคลน์เชื่อว่า ตนกับจักรพรรดิมีความคิดตรงกันทุกประการ

แม้โรซายล์จะเขียนคำเดิมซ้ำๆ สองสามหนในตอนท้าย มิได้ลงลึกรายละเอียด แต่ไคลน์สามารถคาดเดาอารมณ์ในวินาทีที่โรซายล์บันทึกข้อความเหล่านี้ เพราะตนกับโรซายล์นั้นไม่ต่างจากโอเนจ ยังมีบ้านเกิดทางจิตวิญญาณให้กลับไป

ถอนหายใจเงียบ ไคลน์พลิกไปยังหน้าที่สอง

“10 มกราคม เดินทางมาถึงเกาะโซเนีย”

“ที่นี่มีอีกชื่อหนึ่งว่าเกาะเอลฟ์โบราณ เต็มไปด้วยซากมรดกและวัฒนธรรมของเอลฟ์”

“ในวันแรกที่มาเยือน เราตกใจมากเมื่อพบว่าเอลฟ์สามารถทำ ‘ต้มเลือด’ ได้ด้วย แถมยังกินเครื่องในสัตว์และชำนาญการปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศ”

“พวกเขาประดิษฐ์แม้กระทั่งตะเกียบ?”

“เมื่อลองนึกทบทวนให้ดี ภาพของเอลฟ์บนจิตรกรรมฝาผนังที่เราเคยเห็น หากไม่นับเอลฟ์บางตนที่มีผมสีฟ้า โครงหน้า ความสูง สีผม และดวงตาคล้ายคลึงกับชาวเอเชียบนโลกเก่า… อย่าบอกนะว่าเป็นเพื่อนร่วมชาติของเรา?”

ตอนนั้นเราก็เคยมีความคิดแบบเดียวกัน แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ไม่มีทางที่มนุษย์จะเดินทางข้ามโลกได้มากขนาดนั้นในคราวเดียว เรียกได้ว่าแทบจะทั้งเผ่าพันธุ์ เราน่าจะคิดมากไปเอง… และพฤติกรรมกับวัฒนธรรมของโลกเก่า ก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ได้เช่นกัน เพราะหลายสิ่งหลายอย่างก็เป็นเช่นนั้น… ไคลน์รีบอ่านด้วยความสนใจ ต้องการทราบว่าโรซายล์ค้นพบเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่

“13 มกราคม พักนี้เรายุ่งอยู่กับการเก็บรวบรวมโบราณวัตถุ หนังสือเก่าแก่ และนิทานพื้นบ้านของท้องถิ่น ส่งผลให้ลืมเขียนไดอารีมาสองสามวัน”

“แม้หลายสิ่งจะถูกบรรดาโบสถ์หลักนำออกไปแล้ว แต่เราก็ยังค้นพบของมีค่า”

“หลายๆ ตำนานระบุตรงกันว่า ‘ราชาเอลฟ์’ ซอนญาธริมเป็นผู้คิดค้นตะเกียบ เป็นผู้คิดค้นการกินเครื่องในและเลือดสัตว์ มีการบันทึกไว้ว่าเทพบรรพกาลตนนี้เชี่ยวชาญการจำแนกเครื่องเทศ หลายตำนานลงความเห็นตรงกันว่า ท่านคือบรรพบุรุษของเอลฟ์ เป็นเอลฟ์ตนแรกของโลก ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านนำเผ่าพันธุ์ของตนอพยพออกจากทวีปตะวันตกที่มีอยู่แต่ในเทพนิยาย มาอาศัยบนทวีปเหนือ”

“หรือว่าชายคนนั้นจะเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมชาติของเรา? เป็นนักเดินทางข้ามโลกคนแรก?”

“ตัวเขาตามลำพังสามารถสร้างเผ่าพันธุ์ได้มากมายขนาดนี้เชียว? หรือว่าเทพบรรพกาลมีอำนาจเช่นนั้น?”

“แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีภรรยาเป็นเอลฟ์… อา คงต้องไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างรอบคอบ”

“16 มกราคม หลังจากการสืบสวนเพิ่มเติม เอลฟ์อาจไม่เกี่ยวข้องกับผู้เดินทางข้ามโลก เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้ทิ้งเบาะแสหรือสัญลักษณ์ใดที่เกี่ยวกับภาษาจีนหรืออังกฤษ”

“พวกเขาใช้ภาษาเอลฟ์มาตั้งแต่เริ่มแรก และไม่ใช่สิ่งที่เราคุ้นเคยเลยสักนิด”

“นอกจากนั้น ก่อนที่เราจะมาที่นี่ แทบไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใดที่เป็นเทคโนโลยีของโลกเก่า เช่นเดียวกันกับวลีดัง อาจมีสุภาษิตหรือนิทานสอนใจที่คล้ายคลึงกันในบางเรื่อง แต่ยกตัวอย่างและใช้คำแตกต่างกันชัดเจน”

“เมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาประกอบเข้าด้วยกัน ไม่มีสิ่งใดสนับสนุนข้อสันนิษฐานของเรา เรื่องนี้ค่อนข้างน่าผิดหวังทีเดียว แต่อีกใจหนึ่งก็โล่งอก เพราะถ้ามีผู้เดินทางข้ามโลกมาก่อนจริง เราคงทำตัวไม่ถูก”

“17 มกราคม เราฝันถึงบ้านเกิดที่กำลังจะเลือนหายไปจากความทรงจำ”

อย่างที่คิด จักรพรรดิเองก็ทิ้งสมมติฐานดังกล่าวเหมือนกับเรา… ไคลน์พลิกไปอ่านไดอารีหน้าสุดท้าย

“2 เมษายน ลูกสาวของเราฉลาดมาก พูดได้ตั้งแต่ยังไม่ครบหนึ่งขวบ! แม้จะยังจดจำคำศัพท์ได้ไม่มาก แต่พัฒนาการทางสมองจะต้องก้าวกระโดดแน่นอน!”

“เลือดของพ่อมันเข้มข้น!”

“ไม่ว่าจะมองมุมใด หน้าตาของเธอก็เหมือนกับเราสมัยเด็กที่โลกเก่ามาก… อย่าบอกนะว่าดวงวิญญาณสามารถสืบทอดทางกรรมพันธุ์ได้บางส่วน? ฮะฮะ! คิดแบบนั้นไปก่อนก็แล้วกัน”

“แบร์นาแดตเป็นชื่อที่ดี ฟังดูน่ารักน่าชัง แต่ในใจลึกๆ ของเราอยากตั้งชื่อเล่นเป็นภาษาจีนให้เธอ”

“เฮ่อ… เธอคงไม่ได้เห็นหน้าปู่และย่าที่แท้จริง”

“3 เมษายน อารมณ์อันพลุ่งพล่านที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้เรานอนไม่หลับ แต่โชคดีที่เราเข้าฌานเป็น”

“แต่นั่นทำให้เราเกิดความลังเลว่าควรแอบสอนภาษาจีนกลางให้แบร์นาแดตดีไหม”

“ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าจะให้เธออ่านไดอารีที่เราเคยเขียนไปทั้งหมด แบบนั้นขอฆ่าตัวตายดีกว่า! ภาพลักษณ์ความเป็นพ่อในใจลูกสาวคงพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี!”

“แต่ว่า การเขียนไดอารีเป็นภาษาจีนกลางคือความเชื่อมโยงสุดท้ายระหว่างเราและโลกเก่า… ในฐานะลูกสาว เธอควรสืบทอดความเชื่อมโยงนี้ไว้บ้าง”

“6 เมษายน หลังจากครุ่นคิดมาตลอดหลายวัน เราตัดสินใจจะสอนภาษาจีนสองตัวให้แบร์นาแดตจดจำในฐานะสัญลักษณ์พิเศษ ระบุว่าสิ่งนี้คือคาถาที่พ่อทิ้งไว้ ขอให้จดจำไปจนวันตาย”

“เธอไม่จำเป็นต้องเข้าใจความหมาย ขอแค่จดจำให้ได้ก็พอ”

“อักษรจีนสองตัวที่ว่าก็คือ”

“บ้านเกิด” (故乡)

บ้านเกิด… ไคลน์ทวนคำด้วยดวงตาอุ่นๆ

ชายหนุ่มเข้าใจทันทีว่าทำไมราชินีเงื่อนงำถึงเลือกไดอารีสามหน้านี้ เพราะแต่ละหน้ามี ‘คาถา’ ที่บิดาเคยสอนถูกเขียนอยู่

“บ้านเกิด”

ในเวลานี้ ห้วงอารมณ์ไคลน์เป็นราวกับสายน้ำ บนพื้นผิวอาจดูสงบ แต่ลึกลงไปมีกระแสน้ำวนเชี่ยวกรากซ่อนอยู่มากมายและไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง

ไคลน์ถอนสายตากลับ เสกให้ไดอารีหายไป จ้องหน้าแคทลียาและถาม

“คำถามของเจ้าคือ?”

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท