ราชันเร้นลับ 911 : ฉากประหลาด
ไคลน์ก้มมองฝ่ามือตัวเอง กระจกตาสะท้อนภาพของเหรียญทอง
เหรียญทองกำลังหงายพร้อมกับเผยให้เห็นใบหน้าราชา
คำตอบสอดคล้องกับประโยคทำนาย บอกเป็นนัยว่าไคลน์สามารถมองตัวเองผ่านสายตาหุ่นเชิดได้!
หลังจากได้รับคำตอบ ไคลน์ยังคงลังเล คิดว่าตนควรประกอบพิธีกรรมเพื่อนำหุ่นเชิดเอ็นโซเข้าไปในมิติเหนือสายหมอกดีไหม เพราะที่นั่นค่อนข้างปลอดภัย ช่วยบรรเทาความรุนแรงจากการกัดกร่อนทางร่างกายและจิตใจได้หลายส่วน
แต่มันสงสัยว่า การทำแบบนั้นอาจไม่เกิดประโยชน์ เพราะสิ่งที่ผู้วิเศษเส้นทาง ‘โชคชะตา’ สังเกตเห็นน่าจะเป็นภาพฉายของมิติลึกลับที่อยู่บนร่างกาย หากกระทำบนหมอกสีเทา เอกลักษณ์ดังกล่าวอาจหายไป เฉกเช่นการพยายามสำรวจรูปร่างของช้าง แต่ดันเข้าไปทำในตัวช้าง
นิ้วมือค่อยๆ หดกลับทีละนิ้ว ไคลน์กำเหรียญทองในมือโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน ก่อนจะตัดสินใจได้
มันลุกพรวดขึ้น นำกริชเงินสำหรับพิธีกรรมออกมาสร้าง ‘กำแพงวิญญาณ’ เพื่อปกคลุมห้อง
นี่คือการป้องกันเสียงกรีดร้องและความผิดปรกติเล็กๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้!
ถัดมา ไคลน์ประกอบพิธีกรรมเพื่อโยน ‘ยุบพองหิวโหย’ เข้าไปในหมอกสีเทา
มันกลัวว่า ในตอนที่เกิดปัญหากับร่างกายตัวเอง ถุงมือจะฉวยโอกาสกลืนกินผู้สวม!!
นี่คือคุณสมบัติโดยธรรมชาติของยุบพองหิวโหย เมื่อมันยังไม่ได้กินอาหาร และไม่ได้กินมนุษย์วันละหนึ่งคนอย่างต่อเนื่อง มันจะกินผู้สวมใส่แทน และไคลน์มักปล่อยให้มันหิวมากกว่าให้อาหาร
หลังจากจัดระเบียบและเตรียมการอย่างแน่วแน่ ไคลน์เอื้อมมือไปหยิบแหวน ‘บุปผาโลหิต’ จากมือเอ็นโซและนำมาสวมที่มือซ้ายของตัวเอง
เป็นการรับประกันว่า แม้ตนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังสามารถครองสติควบคุมร่างกาย
ขณะเตรียมสวมใส่ ไคลน์ชะงักเล็กน้อยด้วยความลังเล หยุดอีกอยู่สักพักก่อนจะหยิบกระดาษกับปากกาและเขียนข้อความ
“ห้ามลืมถอดแหวน”
มันกังวลว่า หลังจากการทดลองสิ้นสุดลง ตนจะได้รับผลข้างเคียงจาก ‘บุปผาโลหิต’ จนทำให้สติปัญญาถดถอย ลืมถอดเจ้าสิ่งนี้ออก
เมื่อถึงตอนนั้น ทางรอดเดียวอาจเป็นการรอให้เจ้าหญิงแสนสวยมาจุมพิตเพื่อปลุก… ไม่สิ มาช่วยถอดแหวน… ไคลน์หัวเราะจิกกัดตัวเอง หายใจออกพร้อมกับถอดเสื้อนอก สวมแหวน
จากนั้น มันหันไปมองหุ่นเชิดตัวใหม่ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซ
ความลังเลเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ตราบใดตัดสินใจหนักแน่นไปแล้ว ไคลน์จะก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
หลังจากปรับอารมณ์เล็กน้อยด้วยการเข้าฌาน ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดค่อยๆ หมุนตัวกลับมามองร่างต้น
ในการมองเห็นของ ‘ผู้ชนะ’ ภาพแรกคือชั้นบางๆ ของหมอกสีขาวอมเทาที่กระจัดกระจาย
ท่ามกลางสายหมอกมีประตูแสงสว่างอันเจิดจ้าที่มีสีน้ำเงินเข้มเปื้อนจางๆ
ประตูแสงถูกสร้างจากลูกบอลแสงจำนวนนับไม่ถ้วน โดยที่ลูกบอลแสงแต่ละลูกกำลังโอบล้อมกระจุกหนอนแมลงที่ยุบพองตัวตลอดเวลา หนอนเหล่านั้นบ้างมีสีใส บ้างโปร่งแสง บนลำตัวมีลวดลายและสัญลักษณ์ซับซ้อนยากอธิบาย
ยังไม่ทันที่ไคลน์จะมีเวลาเพ่งมองรายละเอียด สมองพลันขาวโพลนก่อนจะหมดสติคาที่
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ มันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นด้วยภาวะความจำเสื่อมครู่หนึ่ง เกือบคิดไปตนนอนหลับตามปกติจนกระทั่งถึงเช้า
เกิดอะไรขึ้น? ข้างนอกยังมืดอยู่เลย… ไคลน์ใช้สองมือพยุงตัวนั่ง ส่งผลให้ตระหนักได้ว่า ตนกำลังนอนบนพื้น
ทันใดนั้น เมื่อเหลือบเห็นเอ็นโซจากหางตา ภาพและเสียงมากมายพลันปรากฏขึ้นภายในใจ
อา… เรากำลังศึกษาว่าเส้นทาง ‘สัตว์ประหลาด’ มองเห็นอะไรจากเราในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น… ร่างกายของเรารับภาระเกิดขีดจำกัดจนเป็นลมหมดสติในพริบตา? เสียงกรีดร้องที่เจ็บปวดนั่น… เป็นเสียงของเรา? ไคลน์ที่เริ่มฟื้นคืนความทรงจำ รีบตรวจสอบสภาพร่างกายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นบาดแผลชุ่มเลือดบนร่างกาย คล้ายกับจะมีบางสิ่งโผล่ออกมาจากข้างใน
ทันใดนั้น บนบาดแผลฉกรรจ์เหล่านี้ เลือดเนื้อบนผิวหนังเริ่มยุบพองและระเบียบใหม่อย่างรวดเร็วจนผิดปกติ
ไคลน์รีบก้มมองพื้นและพบว่าในจุดที่ตัวเองเคยนอน รอยเลือดถูกพิมพ์จนเป็นเค้าโครง
โชคดีที่เราสวมแหวนบุปผาโลหิต ไม่อย่างนั้นอาจเสียชีวิตน่าอนาถเนื่องจากบาดแผลฉกรรจ์อันเกิดจากภาวะร่างกายถูกกัดกร่อนกะทันหัน… ไม่มีทางเดาได้เลยว่าความตายในครั้งนี้จะทำให้คืนชีพในร่างใด จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ประหลาด… ไคลน์ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก มองไปรอบตัวและพบว่าโต๊ะกับเก้าอี้อยู่ในสภาพพลิกคว่ำ แต่กำแพงวิญญาณยังไม่ถูกทำลาย
สถานการณ์ปัจจุบันทำให้มันเบาใจลงหลายส่วน ก่อนจะรีบตรวจสอบจนแน่ใจว่าความผิดปรกติไม่ลุกลามไปไกลกว่าร่างกายตัวเองและพื้นที่ใกล้เคียง
พิจารณาจากความเร็วในการฟื้นฟูบาดแผล ไคลน์เชื่อว่าตนหมดสติไปไม่เกินหนึ่งนาที
มันยกเก้าอี้มาวางและนั่งลง รู้สึกคล้ายกับหลงลืมบางสิ่ง แต่ยังนึกไม่ออก
จนกระทั่งสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น จึงหันไปเห็นข้อความที่เขียนว่า ‘อย่าลืมถอดแหวน’ ทันใดนั้น มันรีบถอดแหวนทองคำฝังทับทิมบนมือซ้ายออก
เมื่อความทรงจำทยอยกลับคืนมา ไคลน์ส่ายหน้าด้วยความกลัวเจือความขบขัน
ในบางครั้ง ดวงก็สำคัญไม่แพ้กัน… หากผลข้างเคียงด้านลบของแหวนบุปผาโลหิตสุ่มได้ค่าที่รุนแรงที่สุด เราอาจจะอ่านหนังไม่ออกไปตลอดชีวิต เนื่องจากไม่เข้าใจข้อความที่บอกให้ถอดแหวน…
เมื่อเห็นแผลตามตัวใกล้หายดี มันบังคับให้ ‘หุ่นเชิด’ เอ็นโซสวมแหวนบุปผาโลหิตกลับไป แต่ถอดแหวนดอกไม้เขียวออก
จัดการอย่างหลังเสร็จ ไคลน์ไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไป สมาธิกลับไปสนใจภาพที่เห็นก่อนจะหมดสติ – ภาพที่ผู้วิเศษเส้นทางโชคชะตามองเห็นจากร่างกายตน
ประตูแสงที่เปื้อนสีน้ำเงินเข้มเล็กน้อย ลูกบอลแห่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วน หนอนโปร่งใสและโปร่งแสงยุบพองตัวเป็นกลุ่ม สัญลักษณ์และลวดลายที่ลึกลับและซับซ้อน คล้ายกับอัดแน่นไปด้วยความรู้มากมาย แต่ไม่ช่วยให้ผู้ที่จ้องมองกระจ่างในสิ่งใด… ภาพเหล่านี้สื่อถึงสิ่งใด?
หรือจะเป็นร่างสัตว์ในตำนานที่สอดคล้องกับมิติลึกลับเหนือหมอกสีเทา? สัตว์ในตำนานของลำดับ 0… เทพแท้จริง?
เนื่องจากถูกม่านหมอกบดบัง จึงมีเพียงผู้วิเศษบนเส้นทาง ‘โชคชะตา’ เท่านั้นที่สามารถมองเห็น ส่งผลให้ได้รับการกัดกร่อนและแรงกระแทกอย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ? แต่ในทำนองเดียวกัน เป็นเพราะมีสายหมอกคอยกลั่นกรอง ผู้วิเศษของเส้นทาง ‘โชคชะตา’ จึงไม่แตกสลายโดยสมบูรณ์เหมือนกับตอนที่จ้องมองเทพแท้จริงโดยตรง… แต่ข้อเสียคือจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ กลับมา?
ไคลน์ไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พยายามใช้พลังทำนายช่วยแปลความหมายเชิงสัญลักษณ์ของฉาก
ประตูแสงดูคล้ายกับสัญลักษณ์ด้านหลังเก้าอี้ ‘ผู้ฝึกหัด’ อาจหมายถึงมิสเตอร์ประตู…
ลูกบอลแสงที่เรียงซ้อนกันนับไม่ถ้วน… ดูเหมือนภาพที่เราใช้ในการเข้าฌาน และนั่นเกิดจากเทคนิคการทำสมาธิบนโลกเก่าที่เราลอกมาจากในนิยาย… จิตใต้สำนึกของเราได้รับผลกระทบ ส่งผลให้เลือกความทรงจำที่คล้ายกันออกมาแสดงแทน หรือว่า ‘ตัวเลือก’ ของเราส่งผลต่อฉากของมิติเหนือสายหมอกที่ทุกคนเห็น?
หนอนโปร่งใสที่ยุบพอง… สิ่งนี้ดูคล้ายกับกลุ่มก้อนหนอนแมลงบนบัลลังก์ยักษ์บนยอดหลักของเทือกเขาโฮนาซิส แต่มันต่างออกไปเล็กน้อย หรือจะเป็นเพราะอีกฝ่ายคือลำดับ 0 ‘เดอะฟูล’ แห่งเส้นทางนักทำนาย? แต่เรายังมองหนอนตัวที่โปร่งแสงไม่ชัด คงวิเคราะห์อะไรได้ยาก…
และนอกจากนั้น… สีน้ำเงินเข้มบนพื้นผิวประตู สิ่งนี้ทำให้เรานึกถึงส่วนลึกของมิติลึกลับ จุดเรายังไม่สามารถปีนขึ้นไปถึง… ในตอนที่ยืนบนบันไดแสงขั้นสูงสุด เรามองเห็นเมฆครึ้มบนท้องฟ้า สีของมันคือน้ำเงินเข้ม…
หลังจากคิดอยู่นาน มิอาจหาคำตอบได้ด้วยข้อมูลในปัจจุบัน จำต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจชั่วคราว รอรวบรวมข้อมูลและเบาะแสเพิ่มเพื่อวิเคราะห์ในอนาคต
จัดการเก็บกวาดเสร็จ มันเดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่มิติสายหมอก เตรียมตรวจสอบสภาพร่างกายของตนให้ละเอียดถี่ถ้วนเป็นครั้งสุดท้าย ขณะเดียวกันก็เพื่อยืนยันว่า หุ่นเชิดเอ็นโซยังมีพลังติดตัวประเภท ‘ดวงดี’ และ ‘ความฉิบหาย’ หลงเหลืออยู่หรือไม่
…
ณ บายัม ย่านชุมชนแออัด ภายในห้องทรุดโทรมที่ไม่ใหญ่โตจนเกินไป
‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาที่กำลังนั่งหลังโต๊ะและมองไปทางประตู พลันได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะพิเศษ
“เข้ามา” เธอพูดโดยไม่ปิดบังเนื้อเสียง
ประตูไม้ส่งเสียงเสียดสีขณะเปิดออก ‘แฮงแมน’ ที่สวมเสื้อคลุมศีรษะสีดำเดินเข้ามา
เมื่อเห็นชุดคลุมของอีกฝ่าย แคทลียาดันแว่นตาหนาเตอะบนสันจมูกเข้าไปพลางยิ้มมุมปาก
“ถ้าคุณออกไปสภาพนี้ รับประกันได้เลยว่าไม่ถึงห้านาที คุณจะถูกรายล้อมด้วยคนของโบสถ์วายุสลาตัน”
เธอมิได้ปลอมตัว เนื่องจากทราบดีว่า หลังจากยอมให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ขึ้นเรือ ‘อนาคตกาล’ ข่าวลือดังกล่าวคงแพร่สะพัดไปทั่วท้องทะเลแล้ว และแฮงแมนคงเดาได้ไม่ยากว่า ‘เฮอร์มิท’ คือ ‘พลเรือเอกดาว’
อัลเจอร์ไม่ตอบสนองในทันที เลือกที่จะปิดประตูก่อน จากนั้นก็ดึงเก้าอี้ออกมานั่งพลางกล่าวหน้านิ่ง
“คุณก็เหมือนกัน”
ความหมายของมันก็คือ จากบรรดาเจ็ดนายพลโจรสลัดทั้งหมด ‘พลเรือเอกดวงดาว’ เป็นถึงอันดับสองรองจาก ‘พลเรือเอกขุมนรก’ และต้องสงสัยว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างใกล้ชิด ย่อมตกเป็นการไล่ล่าของกองกำลังต่างๆ จำพวกโบสถ์วายุสลาตันและโบสถ์รัตติกาล ค่าหัวในปัจจุบันจึงสูงถึงสี่หมื่นห้าพันปอนด์แล้ว ไม่ว่าจะย่างกรายเข้าเมืองไหน ตราบใดที่ไม่ปลอมตัว นั่นหมายถึงการยอมให้ปัญหามากมายถาโถมเข้าใส่
แคทลียาผงกศีรษะเล็กน้อยพลางหันไปจ้องหน้าแฮงแมนที่ถูกเสื้อคลุมหัวบังไว้
“เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน การปลอมตัวคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์… แต่ช่างเถอะ ฉันเคารพการตัดสินใจของคุณ”
เธอยังคงสวมแว่นต่อไป
บรรยากาศคุกคาม แถมยังมั่นใจมาก สมแล้วที่เป็นพลเรือเอกดวงดาว… อัลเจอร์ในสภาพสวมหน้ากากปกปิดใต้เสื้อคลุมอีกชั้น เลิกสนใจหัวข้อเกี่ยวกับการปลอมตัว รีบพูดเข้าประเด็นหลัก
“ขอบคุณที่ยอมช่วย”
‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียานำมือขวาจับข้อศอกซ้าย
“ฉันยังคาใจ ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของคุณ ผนวกกับทรัพยากรที่คุณมี ถึงแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากฉัน แต่ก็น่าจะรับมือกับปัญหาของ ‘ช่างฝีมือ’ ได้ไม่ยากเย็น แล้วทำไมถึงยอมขอร้องให้ฉันมาช่วย?”
อัลเจอร์ที่เตรียมคำตอบไว้แล้ว กล่าวด้วยเสียงเรียบ
“ผมไม่ต้องการตกเป็นขี้ปากของคนอื่น”
คล้ายกับแคทลียาเข้าใจความนัยแฝง เธอไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบ
“ฉันต้องการข้อมูลเพิ่ม”
อัลเจอร์พยักหน้าแผ่วเบา
“จากการสังเกตและการคาดเดาของผม ‘ช่างฝีมือ’ คงถูกควบคุมตัวโดยสาวกดวงจันทร์บรรพกาล… น่าจะเป็นคนขององค์กรดั้งเดิมในทวีปใต้ ไม่ใช่ผู้ทรยศของโรงเรียนชีวิต”
สีหน้าของแคทลียายังไม่แปรเปลี่ยน ตอบหลังจากคิดสักพัก
“ทำไมถึงไม่ให้มิสเตอร์มูนช่วย เขาน่าจะสนใจเรื่องนี้”
อัลเจอร์ยกมุมปากเล็กน้อย ตอบเสียงเรียบ
“ถ้าพวกเราแก้ไม่ได้ บางทีอาจต้องพึ่งพาเขา”