ราชันเร้นลับ 954 : ปราสาทเก่าแก่ที่แปลกประหลาด
ซิลและฟอร์สประสานสายตากัน ไม่มีใครกล่าวสิ่งใด
ผ่านไปสักพัก ฟอร์สยิ้มแห้ง
“ฮะฮะ… เธอยังไม่นอนหรือ?”
ซิลขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอเมื่อครู่?”
“ไม่มีอะไร ฉันเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ เมื่อเกิดปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวง อาการของฉันไม่ค่อยดี และยิ่งแย่ลงถ้าเป็นจันทราโลหิต” ฟอร์สแสร้งทำเป็นปรกติ
ซิลมองเพื่อนสนิทด้วยสายตาขึ้นลง ดึงผ้าห่มขึ้น
“เธอมียานอนหลับไม่ใช่หรือ?”
“ตอนนี้ไม่จำเป็น ฉันดีขึ้นแล้ว” เมื่อเห็นซิลไม่ซักไซ้ ฟอร์สแอบโล่งใจ “นอนกันดีกว่า พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าป่า”
โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม ซิลหันหลังกลับ กอดผ้าห่มและหลับตา
ผ่านไปไม่นาน ลมหายใจของเธอเริ่มส่งเสียงดัง เป็นจังหวะที่ยาวและสม่ำเสมอ
ฟอร์สจ้องเพดานห้องที่ว่างเปล่า ปล่อยให้ความคิดล่องลอยจนกระทั่งหลับไปเอง
…
เที่ยววันถัดไป ใจกลางป่าเดแลร์ ด้านหน้าปราสาทที่เสื่อมโทรมและปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์เขียว
ฟอร์สปาดเหงื่อจากหน้าผาก ถอนหายใจแผ่ว
“มาถึงสักที…”
ซิลชำเลืองก่อนจะพูด
“เจ้าของโรงแรมบอกว่า ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงก็ถึงที่นี่…”
พวกเธอออกก่อนหกโมงเช้า ใช้เวลาเดินทางจริงเกือบเจ็ดชั่วโมง
มุมปากฟอร์สกระตุกเล็กน้อย
“อุดมคติกับความจริงอาจจะแตกต่างกัน ตามทางที่พวกเรามานั้นไม่มีร่องรอยของทางเดิน ต้องสำรวจเองและสร้างเส้นทางใหม่เอง!”
ซิลหยิบมีดสามคมออกมาถือ พยักหน้าและกล่าว
“เธอน่าจะเดาได้ไม่ยากว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปฏิเสธไกด์ที่เจ้าของโรงแรมแนะนำ”
“ในฐานะโหราจารย์ ฉันไม่คิดว่าเรื่องเล็กน้อยแบบนี้จะสร้างปัญหาใหญ่ แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาด พวกเรามาถึงที่หมายได้อย่างราบรื่น! นอกจากนั้น เวลาก็ยังประจวบเหมาะ เหล่าภูตผีกำลังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุด!” ฟอร์สยิ้มพร้อมกับถือบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ นิ้วหนึ่งชี้ไปข้างหน้า “ฉันมีคำถามในใจมาสักพักแล้ว ยิ่งขบคิดก็ยิ่งงุนงง”
“คำถาม?” ซิลจ้องปราสาทที่ถูกทิ้งร้างและปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์
ฟอร์สกุเรื่องขึ้นมาบ่ายเบี่ยง
“ลองตอบฉันมา… ทำไมเจ้าของถึงต้องสร้างปราสาทไว้กลางป่า? แถมยังไม่มีถนนหนทาง…”
แต่ยังไม่ทันกล่าวจบ เธอเริ่มพบว่าประเด็นนี้น่าสนใจและผิดธรรมชาติอย่างมาก
ซิลครุ่นคิดสักพัก
“บางทีอาจเคยมีถนน แต่หลังจากถูกทิ้งร้าง นานวันเข้า ร่องรอยก็หายไป”
ฟอร์สสางผมข้างใบหู ส่ายหน้าและกล่าวต่อ
“แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องทิ้งปราสาท? หากคำนึงด้านความปลอดภัย ตามปรกติแล้วจะไม่มีใครสร้างปราสาทห่างไกลจากตัวเมืองมากนัก เพราะมันเต็มไปด้วยอันตราย แต่ถ้าใช้แค่ในช่วงวันหยุดพักร้อน ตามนิสัยของพวกขุนนาง พวกเขาต้องคอยบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะแพงสักแค่ไหนก็ตาม”
ซิลโพล่งขึ้น
“เพราะถูกผีสิง?”
ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก
“ใครก็ตามที่มีเงินพอจะสร้างปราสาทหลังนี้ จะไม่มีปัญญาจ้างผู้วิเศษมาไล่ผีเชียวหรือ? ฉันกลับสงสัยว่าสามโบสถ์หลักและรัฐบาลไม่รู้ว่ามีปราสาทหลังนี้อยู่… ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้วัตถุดิบวิเศษหลงเหลืออยู่ภายใน”
กล่าวถึงตรงนี้ เธอเสนอความเป็นไปได้
“ปราสาทโบราณของผีดูดเลือด?”
สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ชอบอาศัยห่างไกลผู้คน และมักเกี่ยวข้องกับป่าทึบและปราสาทเก่าแก่
นอกจากนั้น ข้อมูลของปราสาทก็ยังมาจากผีดูดเลือด
“เป็นไปได้” ซิลเห็นพ้อง ก่อนจะเสนออีกหนึ่งความเห็น “แต่ฉันไม่เคยได้ยินว่าผีดูดเลือดกลัวภูตผี พวกเขาน่าจะขับไล่วิญญาณอาฆาตโบราณได้ไม่ยากไม่ใช่หรือ?”
มีเหตุผล… อย่าบอกนะว่าผีดูดเลือดเป็นพวกไม่สนใจเงินทอง ไม่สนใจการครอบครองวัตถุดิบวิเศษ? ฟอร์สนึกทบทวนท่าทีของเดอะมูนสักพัก ก่อนจะปฏิเสธสมมติฐานของตัวเองและกล่าว
“…เว้นเสียแต่จะมีปัญหาที่ยากจะสะสาง ส่งผลให้แม้แต่ผีดูดเลือดที่แข็งแกร่งก็เลือกจะเลี่ยงมัน”
หากเป็นเช่นนั้น ภารกิจในคราวนี้ของพวกตนคงเต็มไปด้วยอันตรายเหนือจินตนาการ
ซิลอืมในลำคอ
“รีบสำรวจเบื้องต้นในตอนที่แดดแรงกันเถอะ”
“ตกลง” ฟอร์สขยับเข้าใกล้ปราสาทเก่าแก่ทีละก้าวโดยถือบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ในมือ
เพียงไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงทางเข้าซึ่งมีหินขวางไว้กว่าสองในสาม พบว่าใต้เถาวัลย์สีเขียว กำแพงหินเต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่าง สึกกร่อนอย่างรุนแรง คล้ายกับถูกสร้างในอดีตเมื่อนานมากแล้ว
ซิลไม่รีบร้อนเข้าไป ส่งสัญญาณบอกฟอร์สให้เดินอ้อม
เมื่อวนกลับมาถึงทางเข้าอีกครั้ง เธอถามด้วยความฉงน
“โครงสร้างปราสาทเอื้อต่อการป้องกันภัยอันตรายอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องกังวลที่จะอาศัยอยู่ด้านใน แต่มีสถาปัตยกรรมบางส่วนที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน น่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างในช่วงตอนปลายยุคสมัยที่สี่ หรืออาจจะก่อนหน้านั้นอีก”
“แล้วพวกเขาสร้างเพื่อป้องกันอะไร? มนุษย์สัตว์ป่า? มนุษย์ต้นไม้? ไม่ใช่ว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปเกือบหมดหลังจากเหตุการณ์มหาภัยพิบัติแล้วหรือ? ฮะฮะ! อย่าบอกนะว่านี่คือสถาปัตยกรรมจากยุคสมัยที่สองหรือไม่ก็สาม?” ฟอร์สตอบติดตลก
เธอตรวจสอบสภาพแวดล้อมสักพัก ก่อนจะเดินมายังกำแพงด้านข้างพร้อมกับซิล กางฝ่ามือออกและทาบลงไป
แม้ว่าเธอจะขาดประสบการณ์การต่อสู้จริง แต่ก็ค่อนข้างชำนาญในการหลีกเลี่ยง
แสงมายาปรากฏขึ้นตรงหน้า ช่วยให้ฟอร์สและซิลเดินเข้าไปในปราสาทร้างอย่างง่ายดาย
สิ่งแรกที่เห็นคือบันไดทรุดโทรม ด้านบนเป็นโครงสร้างอาคารที่ชำรุด แสงแดดส่องลงมาจากมุมสูง เต็มไปด้วยซากอิฐ หิน และซากไม้ ไม่มีรอยเท้าสัตว์ป่า ขี้นก หรือวัชพืชสีเขียว
เสียงลมหอนดังแว่ว แม้จะเป็นยามเที่ยง แต่ก็ยังมอบความหนาวสั่นไปถึงกระดูก
ฟอร์สเปิดเนตรวิญญาณพร้อมกับมองไปรอบตัวอย่างเชื่องช้า แต่ก็ไม่พบวิญญาณใดเลย
อย่างไรก็ตาม เธอสังเกตเห็นว่า ด้านขวาของกำแพงที่ทรุดโทรมมีบันไดหินสภาพค่อนข้างสมบูรณ์
บันไดดังกล่าวมีจุดกระดำกระด่างเล็กน้อย ทอดยาวลงไปด้านล่าง ไม่มีใครทราบว่าสิ้นสุดตรงไหน
“สำรวจรอบๆ ให้เรียบร้อยก่อนลงไปดีไหม?” ฟอร์สมองหน้าซิลพร้อมกับเสนอ
พิจารณาจากสภาพของปราสาทที่ทรุดโทรมในแทบทุกจุด การสำรวจด้านนอกต้องใช้เวลามาก จึงควรแวะลงไปสำรวจสภาพเบื้องต้นที่ใต้ดินก่อน ค่อยกลับออกมาตรวจสอบโครงสร้างโดยรวมของปราสาท
ซิลมองไปรอบตัว พยักหน้ารับ
“ลมหนาวพัดมาจากใต้ดิน… ฉันคิดว่าภูตผีและวิญญาณอาฆาตทั้งหมดภายในปราสาท กำลังรวมตัวกันที่ปลายทางของขั้นบันได”
“อา…” ฟอร์สเดินอย่างระมัดระวังไปยังบันไดหินกระดำกระด่าง ค่อยๆ เดินลงไปทีละขั้น
บันไดค่อนข้างแคบ ลงไปได้ทีละคน และเป็นบันไดวนที่ชวนให้ฟอร์สตัวสั่น
กึก. กึก. กึก. ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่กังวล แสงภายในบันไดเริ่มมืดลง
ซิลจุดตะเกียงในมือ ส่วนฟอร์สพลิกไปยังหน้าหนึ่งของบันทึกการเดินทางของเลมาโน่อย่างชำนาญ
แสงสว่างอันอบอุ่นพวยพุ่งไปด้านหน้า ฟอร์สและซิลค่อยๆ ก้าวทีละหนึ่งขั้นด้วยบรรยากาศตึงเครียด
ระหว่างทาง บางครั้งก็มีลมหนาวพัดผ่าน ทำให้พวกเธอตื่นตูมไปเองหลายครั้ง เกือบโจมตีใส่ศัตรูที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง
กึก. กึก. กึก. ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่คับแคบและรกร้าง ฟอร์สลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายและเหยียบลงบนพื้นราบที่มั่นคง
ใจจริง เธออยากจะพูดว่า “การอยู่ในที่แบบนี้นานๆ สามารถทำให้คนเป็นบ้าได้” แต่เนื่องจากบรรยากาศเงียบสงัดเกินไป เธอไม่กล้าส่งเสียง กังวลว่าจะทำลายภาวะสันติจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เลวร้าย
อาศัยแหล่งกำเนิดแสงที่ลอยอยู่เหนือศีรษะในแนวเฉียง ฟอร์สมองไปข้างหน้า สำรวจว่ารอบๆ มีลักษณะเป็นอย่างไร
ที่นี่คือห้องโถงสูงเกือบสิบเมตร ปูด้วยกระเบื้องสีดำเปียกแฉะ มีร่องรอยการชำรุดทรุดโทรมกระจัดกระจาย
ห่างออกไปหลายสิบเมตร อีกฟากหนึ่งของห้องโถงที่แสงเกือบส่องไปไม่ถึง ที่นั่นมีประตูทองแดงตั้งเด่นตระหง่านอย่างเงียบงัน
เป็นบานประตูคู่สูงจรดเพดาน กำแพงหินฝั่งซ้ายขวาพังถล่มลงมา รูปปั้นหักโค่น ด้านล่างเป็นโคลนสีน้ำตาลเข้ม
บนผิวประตูเต็มไปด้วยสัญลักษณ์และลวดลายซับซ้อน มอบความรู้สึกลึกลับและหนักอึ้ง ราวกับกำลังผนึกบางอย่างเอาไว้
ฟอร์สอดไม่ได้ที่จะพูด บีบเสียงลงและกล่าว
“เคยเห็นประตูแบบนี้มาก่อนไหม?”
ซิลส่ายหน้า
“ไม่”
ฟอร์สถอนหายใจ
“ไหนลองบอกมา เธอคิดว่ามีอะไรซ่อนอยู่หลังประตู? มันจะพาเราไปที่ไหน? ห…หรือว่านี่คือเหตุผลที่ต้องสร้างปราสาทไว้กลางป่า? เพื่อมิให้สิ่งมีชีวิตด้านหลังประตูออกมา?”
ซิลมองไปรอบตัว แต่ไม่พบเบาะแสจำพวกจิตรกรรมฝาผนัง แต่สังเกตเห็นว่า ยิ่งใกล้กับประตูทองแดงมากเท่าไร น้ำก็ยิ่งซึมขึ้นมามากเท่านั้น รวมถึงจำนวนดาบสีเงินที่กระจัดกระจาย
“ในยุคสมัยที่สี่และห้า ภาพจิตรกรรมฝาผนังได้รับความนิยมมากในปราสาท และก่อนจะเกิดเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ เราสามารถพบจิตรกรรมฝาผนังได้ตามซากปรักหักพังโบราณของเอลฟ์ พวกเขามักสรรเสริญเทพในรูปแบบของภาพวาด” ซิลกล่าวพลางนึกทบทวนประสบการณ์และข้อมูลที่ได้รับจากการเป็นนักล่าเงินรางวัล
ฟอร์สพยักหน้ารับ
“เห็นด้วย… ปราสาทเก่าหลังนี้ประหลาดมาก”
ทันใดนั้น หัวใจหญิงสาวเต็มไปด้วยความกลัว ต้องการจะหนีออกไปและขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์เวิร์ล
ในการชุมนุมทาโรต์ หลังจากได้ยินเดอะซันน้อยเล่าเรื่องราวสยองขวัญเกี่ยวกับซากปรักหักพังโบราณ เมื่อได้มาอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน เธอมิอาจสลัดความคิดดังกล่าว เอาแต่สร้างความกลัวให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง
“ถ้าเข้าไปใกล้อีกสักนิด พวกเราอาจพบเบาะแสเพิ่มเติม” ซิลก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ขยับไปใกล้กับบานประตูที่ถูกผนึก
ฟอร์สจับบันทึกการเดินทางของเลมาโน่แน่นขณะเดินตามหลัง
เดินไปได้สักพัก แสงสีแดงสว่างวาบในดวงตา
สิ่งซึมออกจากกระเบื้องสีดำ ไม่ใช่หยดน้ำ หากแต่เป็นเลือดสดๆ !
นี่มัน… ฟอร์สรีบเปิดสมุดเวทมนตร์สีเขียวทองแดง มุมสายตาชำเลืองไปหาซิล
ในการมองเห็นของเธอ ผิวของเธอซิลซีดลงตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจทราบได้ ดวงตากลายเป็นสีเขียวเข้ม ริมฝีปากแดงสด ร่างกายมืดมน สีหน้าบิดเบี้ยวสุดขีด