ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ตอนที่ 994

ตอนที่ 994

ราชันเร้นลับ 994 : โหมโรง
บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ เลียวนาร์ดที่กลับบ้านมาเพื่อเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์โดยเฉพาะ เตรียมกลับออกไปข้างนอก ปลายทางคือวิหารนักบุญแซมมวล เพื่อจะลงไปอ่านเอกสารในห้องใต้ดิน วางแผนทำภารกิจปลอบประโลมวิญญาณในช่วงเวลากลางคืน แต่ทันใดนั้น ดอกไม้พลันปรากฏขึ้นตรงข้าม มันได้พบกับผู้ส่งสารผมทองตาแดงสี่หัวที่สวมชุดเดรสดำ

ในฐานะผู้ปลอบวิญญาณ มันสามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณได้โดยไม่ต้องเปิดเนตร

รับจดหมายของไคลน์มาถึง เลียวนาร์ดเตรียมกล่าวขอบคุณ แต่ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ได้เดินหายเข้าไปในความว่างเปล่าเรียบร้อยแล้ว

“ตาแก่… ทำไมไคลน์ถึงมีผู้ส่งสารระดับนี้ได้? เป็นสิทธิพิเศษของข้ารับใช้หรือ?” เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะบีบเสียงถามพาลีส·โซโรอาสเตอร์

ในตอนแรก มันคิดว่านี่คือมาตรฐานของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ แต่กลายเป็นว่ามันวิตกไปเอง

เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังขึ้น

“ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับไคลน์·โมเร็ตติมากกว่า… ทุกคนสามารถพบเจอเรื่องราวดีๆ ที่เปลี่ยนชีวิตได้ทั้งนั้น แม้แต่เจ้าเองก็เคยไม่ใช่หรือ? หึหึ… ข้าคิดว่าเจ้าจะนิยามท่านผู้นั้นว่า ‘เทวทูตบาดเจ็บ’ เสียอีก แต่โชคดีที่เลือกใช้คำว่า ‘ผู้ส่งสารระดับนี้’ ไม่เลว… ถือว่ายังจำคำเตือนของข้าได้”

เลียวนาร์ดยกริมฝีปาก คลี่กระดาษจดหมายอ่านเนื้อหา

“อย่างที่คิด เขาเป็นข้ารับใช้ของทั้งความลับและชะตากรรม…” พาลีส·โซโรอาสเตอร์อ่านข้อความผ่านดวงตาของเลียวนาร์ดอย่างรวดเร็ว

เลียวนาร์ดไม่ยืนอ่านนาน เลือกจะถอยหลังสองสามก้าวและทิ้งตัวลงบนโซฟา

“ไคลน์สามารถมองเห็นการปลูกถ่ายชะตากรรม… แปลว่าเราต้องรีบตามหาสมบัติปิดผนึกระดับครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรมแล้วใช่ไหม?”

“ถึงจะรีบสักเพียงใด แต่เจ้ารู้หรือว่าต้องไปหาที่ไหน?” พาลีสเย้ยหยัน

แม้แต่ในชุมนุม ‘ผู้สันโดษแห่งชะตา’ กว่าจะมีของแบบนี้ออกมาขายก็ต้องใช้เวลาหลายปี และการชุมนุมคราวหน้าจะเริ่มขึ้นในช่วงสิ้นปี

เลียวนาร์ดครุ่นคิดอย่างจนปัญญาสักพัก ก่อนจะพับเก็บปัญหาไปก่อนและอ่านเนื้อหาส่วนถัดไป

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง มันหัวเราะในลำคอ

“ผมสงสัยมาตลอด ในตอนที่เผชิญหน้ากับเมกูส ทำไมไคลน์ถึงมือยันต์ระดับสูงในขอบเขตสุริยันได้ เคยคิดว่ายันต์ดังกล่าวมาจากกงสุลมรณะ แต่นั่นก็ยิ่งน่าแปลก ครึ่งเทพเส้นทางมรณาจะรวบรวมยันต์ขอบเขตสุริยันไปทำไม? นั่นไม่เท่ากับฆ่าตัวตายหรือ? ตอนนี้กระจ่างเสียที… ตาแก่… ผมเคยถือ 3-0782 มาแล้ว ทำไมคุณถึงมองไม่เห็นหยดเลือดของสุริยันเจิดจรัสด้านใน? หากในสมัยนั้นคุณขโมยพลังบางส่วนจากมันมาได้ เรื่องราวก็คง…”

เดิมที เลียวนาร์ดมีเจตนาจะเย้ยหยันชายชรา แต่สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายเงียบเสียเอง

พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถอนหายใจ

“ถ้าเลือดหยดนั้นถูกพบได้ง่ายๆ ตราศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวคงไม่ถูกเก็บอยู่ในทิงเก็นแน่”

เลียวนาร์ดเงียบสักพัก ก่อนจะถาม

“แล้วผมจะนำตราศักดิ์สิทธิ์นั่นออกมาสร้างเป็นยันต์เพลิงสุริยันได้ยังไง?”

แม้ว่าไคลน์จะเขียนอธิบายมาให้ฟังดูง่าย แต่เลียวนาร์ดทราบดีว่าเรื่องราวคงไม่ราบรื่นขนาดนั้น เพราะตนไม่ใช่เหยี่ยวราตรีของทิงเก็นอีกต่อไป แม้จะใช้ข้ออ้างกลับไปเยี่ยมเพื่อนเก่า แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เข้ากับหลังประตูยานิส

ได้ยินคำถาม พาลีส·โซโรอาสเตอร์กล่าวเสียงขรึม

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ต้องถาม? คิดเองไม่เป็นรึไง?”

เลียวนาร์ดกระแอมแห้ง รวบรวมสมาธิเพื่อนเค้นสมองนึก

“แม้ตอนนี้ผมจะทำงานเดี่ยว แต่ท่านเจ้าคุณอาร์ชบิชอปให้สิทธิ์ในการดึงเหยี่ยวราตรีท้องถิ่นมาช่วย… อา… ถ้าวิญญาณรอบๆ เบ็คลันด์ถูกปลอบประโลมจนหมด แต่โอสถของผมยังย่อยไม่เสร็จ… หมายความว่าสามารถย้ายตัวเองไปทำงานในมุขมณฑลอื่นได้… เมื่อถึงตอนนั้น ถ้ามีเหตุการณ์ผิดปรกติเกี่ยวกับผีสางเกิดขึ้นที่ทิงเก็น ผมสามารถอาสาตัวเองไปทำงานได้อย่างสมเหตุสมผล จากนั้นก็ดึงเหยี่ยวราตรีสักสองคนพร้อมกับยืม 3-0782…”

รอจนกระทั่งเลียวนาร์ดพูดกับตัวเองเสร็จ พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะ

“ไม่เลว เจ้าหาทางออกได้เร็วกว่าที่คิด… แต่ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างหรือ ถ้าภารกิจเป็นการปลอบวิญญาณจริง แล้วทำไมถึงต้องยืม 3-0782 ที่มีพลังชำระล้าง? นั่นจะทำให้ตกเป็นเป้าสงสัย”

เลียวนาร์ดที่ถูกเยินยอ ขำเล็กๆ

“ตาแก่ มีบางเรื่องที่คุณยังไม่รู้ สมัยที่ผมสังกัดเหยี่ยวราตรีใหม่ๆ เรื่องหนึ่งที่ถูกสอนมาก็คือ: ต้องแน่ใจว่าสามารถชำระล้างเป้าหมายได้ จึงจะมีสิทธิ์ออกไปทำภารกิจปลอบวิญญาณ… แม้แต่จักรพรรดิโรซายล์ก็ยังเคยกล่าวไว้ว่า ทุกการแก้ปัญหา มือหนึ่งต้องถือไม้เรียว ส่วนอีกมือถือแคร์รอต”

พาลีส·โซโรอาสเตอร์จุ๊ปาก

“อยากทำอะไรก็ตามใจ แต่ต้องไม่ลืมว่า เจ้าต้องเคลียร์ภารกิจของแอนโทนี·สตีเวนสันให้ได้ภายในสองถึงสามสัปดาห์ หากยืดเวลาออกไปจนกระทั่งแผนการกวาดล้างร่างโคลนอามุนด์เริ่มขึ้น ถึงตอนนั้นกระสุนเพลิงสุริยันก็ไม่มีความหมาย”

เลียวนาร์ดนึกทบทวนรายชื่อและจำนวนงานที่ถูกมอบหมาย หน้าผากกระตุกทันใด

มันบังคับตัวเองให้ลืมปัญหา พึมพำภายในใจ

“ผมไม่รู้ว่าปฏิบัติการสั่งสอนผีดูดเลือดจะเริ่มขึ้นตอนไหน… ไม่แน่ว่า ผีดูดเลือดตนดังกล่าวอาจครอบครองสมบัติวิเศษระดับครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรม… สำหรับโลกแห่งความฝันชั่วคราว ผมสามารถทำได้ และนำพลังไปไว้ในยันต์ได้ แต่ไม่แน่ใจว่าพลังมีระดับสูงพอที่จะต้านทานความมืดจากดินแดนเทพทอดทิ้งได้ไหม”

เขตเชอร์วู้ด ภายในบ้าน

ฟอร์สในสภาพถือนิยาย กำลังนั่งบนโซฟา มองซิลเดินไปสวมรองเท้า เตรียมออกไปข้างนอก

“ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย สุภาพบุรุษคนนั้นบอกว่าจะไม่มอบหมายภารกิจในเร็วๆ นี้” ฟอร์สอดสงสัยไม่ได้ ตัดสินใจเอ่ยปาก

ซิลชำเลืองอีกฝ่าย จากนั้นก็ตอบ

“ฉันเป็นนักล่าเงินรางวัล ยังมีงานอื่นให้ทำ”

กล่าวถึงตรงนี้ เธอเว้นวรรค พูดต่อไปด้วยความลังเล

“ฟอร์ส เธอคิดบ้างไหมว่า มิสจัสติสมีความคล้ายคลึงกับมิสออเดรย์”

ฟอร์สผงะไปหลายวินาที ก่อนจะได้สติกลับมา ยิ้มเล็กๆ และกล่าว

“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันแล่นผ่านเข้ามาในใจ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ

ผ่านไปสักพัก เธอพึมพำ

“เป็นไปไม่ได้… เส้นทางผู้ชม สมาคมแปรจิต ขุนนางชั้นสูง ผมสีทอง… จากบรรดาคนรู้จักของฉัน เธอเป็นคนเดียวที่เข้าข่ายทุกข้อ… แน่นอน ยังมีขุนนางอีกมากที่ฉันไม่รู้จัก และบางส่วนที่รู้จัก แต่ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับสมาคมแปรจิตหรือไม่”

ซิลที่ฟังเพื่อนอย่างเงียบงัน ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูด

“ฟอร์ส เธอยังจำภารกิจที่มิสออเดรย์มอบให้เราได้ไหม? ตอนแรก ฉันคิดว่านั่นเป็นภารกิจจากเอิร์ลฮอลล์ แต่เมื่อลองคิดดูให้ดี นั่นอาจเป็นภารกิจจากชุมนุมทาโรต์มากกว่า… นอกจากนั้น เธอลืมไปแล้วหรือว่าพวกเรารู้จักพระนามเต็มของเดอะฟูลได้ยังไง? หนังสือที่ยืมมาจากไวเคาต์กายลินยังไงล่ะ! พวกมันมีเศษกระดาษซ่อนอยู่ในปก!”

ฟอร์สพยักหน้าทันที

“ถ้าพวกเราหาพบ มิสออเดรย์ที่เป็นเพื่อนสนิทของไวเคาต์กายลินก็ต้องหาพบเช่นนั้น! นั่นสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเธอถึงได้เข้าร่วมชุมนุมทาโรต์”

“ถูกต้อง” ซิลเห็นพ้องกับการคาดเดาของฟอร์ส

ขณะฟอร์สเตรียมเปิดปาก ทันใดนั้น เธอฉุกคิดได้ว่า ปัจจุบันอาจกำลังถูกเฝ้าจับตามองจากตระกูลผีดูดเลือด จึงเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง

“ซิล… พวกเราไม่ควรพูดถึงชุมนุมบ่อยนัก”

“สำหรับมิสออเดรย์… อา… พวกเราได้พบกันสัปดาห์ละสองถึงสามหน ไว้ค่อยสังเกตตอนนั้นก็แล้วกัน”

คล้ายกับซิลเพิ่งฉุกคิดบางสิ่ง รีบพยักหน้าหนักแน่น

“ตกลง!”

เธอเปิดประตูและเดินออกไปทันที จนกระทั่งถึงผับแห่งหนึ่งในเขตตะวันออก จากนั้นนั่งตรงเคาน์เตอร์

เคาะแผ่นไม้กระดานเบาๆ จากนั้น เธอพูดกับบาร์เทนเดอร์ที่หันมามอง

“มีงานใหม่บ้างไหม”

บาร์เทนเดอร์ไล่เรียงภารกิจ แต่มิได้เอ่ยถึงงานสืบประวัติของสุภาพบุรุษที่ชื่อเออร์เนส·โบยาร์

นั่นสินะ คงต้องรออีกหนึ่งถึงสองวัน… ซิลมองไปรอบๆ ถอนสายตากลับ ถามด้วยเสียงเจือสับสน

“ไม่เห็นเชอร์แมนมานานแล้ว พอจะรู้ไหมว่าเขาไปไหน?”

เชอร์แมนคือชายหนุ่มที่คิดว่าตัวเองเป็นสตรี เป็นสายข่าวคนสำคัญของซิล

บาร์เทนเดอร์หัวเราะ

“บางที เจ้านั่นอาจจะหนีตามผู้ชายไปแล้วก็ได้… เธอก็รู้ ขอเพียงมีผู้ชายมาชอบ เชอร์แมนดีใจเสมอ”

“นั่นไม่ใช่เรื่องตลกนะ” ซิลโต้แย้งขึงขัง ภายในใจเริ่มกังวล

เธอออกแรงบนฝ่ามือเพื่อดันตัวเองขึ้นจากเก้าอี้สูง เตรียมออกไปตามหาเชอร์แมนในจุดที่อีกฝ่ายชอบอยู่

ย่านสะพานเบ็คลันด์ ถนนประตูเหล็ก ผับวีรบุรุษ

เอ็มลินกดหมวกทรงสูงของมัน บีบจมูกพลางเดินแหวกผู้คนที่มีกลิ่นตัวเหม็น เข้าไปพบเอียนในห้องเล่นไพ่

“มิสเตอร์ไวท์ คราวนี้มีอะไรหรือ?” เอียนยิ้มและพาเอ็มลินไปที่ห้องบิลเลียดว่าง

เอ็มลินถอดหมวก พึมพำ

“เป็นงานเล็กๆ น้อยๆ ช่วยผมประกาศภารกิจให้เหล่านักล่าเงินรางวัล เนื้อหาของงานก็คือ เฝ้าสะกดรอยชายคนหนึ่งที่ชื่อเออร์เนส·โบยาร์ พยายามสืบหากิจวัตรประจำวันให้ได้ เงินรางวัลหนึ่งร้อยปอนด์”

“หนึ่งร้อยปอนด์” เอียนถามด้วยความเคยชิน

หากเป็นภารกิจสะกดรอยและสืบข้อมูล เงินรางวัลหนึ่งร้อยปอนด์นับว่าสูงมาก ต้องไม่ลืมว่า ถ้ามีนักล่าเงินรางวัลคนใดสามารถทำงานนี้เสร็จตามลำพัง คนผู้นั้นจะสบายไปทั้งปี แถมยังสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ด้วย!

เอ็มลินพยักหน้า

“เป้าหมายค่อนข้างอันตราย”

หลังจากได้ปรึกษากับชุมนุมทาโรต์ เอ็มลินค่อนข้างมั่นใจว่า ภารกิจติดตามเออร์เนส·โบยาร์ค่อนข้างง่ายและปลอดภัย เพราะอีกฝ่ายจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัว และจงใจทำให้ทำกิจวัตรในแบบเดิมๆ

ดังนั้น หนึ่งร้อยปอนด์ตรงนี้คือรางวัลสำหรับมิสจัดจ์เมนต์ที่ยอมเสี่ยงตัวเอง แน่นอน เพื่อที่จะทำให้แนบเนียนและไม่ถูกสงสัย คงมีนักล่าเงินรางวัลสองสามคนทำภารกิจนี้สำเร็จ ได้รับส่วนแบ่งตามเนื้องาน หน้าที่ของเอ็มลินก็คือ พยายามทำให้มิสจัดจ์เมนต์ได้รับส่วนแบ่งมากที่สุด

“เข้าใจแล้ว” เอียนเหยียดแขนออกมา “มัดจำล่วงหน้า แล้วก็เขียนที่อยู่ของเป้าหมาย ระดับอันตราย รูปลักษณ์ภายนอก ถ้ามีรูปได้ยิ่งดี”

เอ็มลินยื่นเงินให้สามสิบปอนด์ พร้อมกับข้อมูลของเออร์เนส·โบยาร์และภาพเหมือน

“ตาสีแดง?” เอียนพลิกอ่านกระดาษ อดไม่ได้ที่จะโพล่ง

“ถูกต้อง” เอ็มลินพยักหน้า มองไปรอบตัวและหรี่เสียงลง “ยังมีอีกเรื่อง ช่วยผมรวบรวมเบาะแสเกี่ยวกับคนของโรงเรียนกุหลาบในเบ็คลันด์”

“โรงเรียนกุหลาบ?” เอียนตกตะลึง ถามด้วยความฉงน ราวกับไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท