ราชันเร้นลับ 1,005 : การเคลื่อนไหวที่สี่
ในสภาพสวมแว่น อามุนด์ที่ใช้ใบหน้าของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนดูไม่เหมือนผู้บุกรุก แต่เป็น ‘แขก’ ที่เปิดปากเล่าเกี่ยวกับการเตรียมตัวล่วงหน้าและต้นกำเนิดของกระจกวิเศษ
ยังไม่ทันจะกล่าวจบ มันเห็นดอน·ดันเตสฝั่งตรงข้ามกลายเป็นหนูสีเทาสกปรก
หนูยกอุ้งเท้าข้างขวาขึ้น กดเบ้าตาตัวเอง
ขณะเดียวกัน ภายในสวนของบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน เกอร์มัน·สแปร์โรว์เจ้าของใบหน้าผอมเพรียว ผมสีดำขลับ ดวงตาสีน้ำตาล โผล่ออกมาจากกึ่งกลางดงกุหลาบ
เมื่อครู่ ขณะอามุนด์กำลังเกริ่นหัวหัวข้อที่น่าสนใจ มันแอบแบ่งหนอนกาลเวลาออกมาบุกรุกร่างไคลน์เพื่อฝังตัวเป็นปรสิต แต่ไคลน์ตื่นตัวตลอดเวลาและพบเห็นการเปลี่ยนแปลงจากด้านวิญญาณ จึงรีบสลับตำแหน่งตัวของกับหุ่นเชิดที่สร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว!
แต่เพียงพริบตา อามุนด์ที่อยู่ในร่างลูกครึ่ง ปรากฏตัวต่อหน้าไคลน์อีกครั้ง
ด้านหลังมัน หนอนแมลงโปร่งใสที่มีสิบสองปล้องตกลงมาจากชั้นสาม ย้อนกลับเข้าร่างของมัน
ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะไส้เดือนในสวน แมลงและพืชบนต้นไม้ หนูในเงามืด บ้างคลานออกมารุมล้อมเกอร์มัน·สแปร์โรว์และอามุนด์ บ้างวิ่งหนีออกไปจากบริเวณ
สาเหตุที่ไคลน์ตั้งใจฟังอามุนด์อย่างอดทน เพราะมันฉวยโอกาสดังกล่าวสร้างหุ่นเชิด!
สำหรับจอมเวทพิสดาร การไม่มีหุ่นเชิดจะถือว่าไม่สมบูรณ์!
อามุนด์มิได้เร่งรีบลงมือ บีบจับแว่นตาขาเดียว มองไปรอบๆ พร้อมกับยกมุมปากพูด
“พฤติกรรมคือเครื่องบ่งชี้ปัญหา… ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าแห่งการหลอกลวง พฤติกรรมของเจ้าช่วยให้ข้าเข้าใจจุดอ่อน… ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดละอันตราย เหยื่อที่เจ้าเลือกเปลี่ยนเป็นหุ่นเชิดประกอบด้วยหนู หนอน นก และไส้เดือน มิได้สนใจจะเปลี่ยนแม่บ้านพ่อบ้านให้เป็นหุ่นเชิด… สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าเป็นคนจิตใจงดงาม ยังมองว่าตัวเองเป็นมนุษย์และไม่อยากทำร้ายพวกเขา… เมื่อจับจุดได้ แม้ว่าร่างโคลนของข้าจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับเจ้า แต่ก็สามารถเล่นงานจุดอ่อนได้สบาย ต่อให้เจ้าอยากตายก็ทำไม่ได้… อา… แล้วก็… ข้าแนะนำให้เจ้าเลิกแอบควบคุมด้ายวิญญาณของข้าจะดีกว่า เพราะนั่นเท่ากับเจ้ากำลังควบคุมด้ายวิญญาณของพ่อบ้าน แม้บ้าน และคนขับรถม้าที่ข้าขโมยมา หากถลำลึกกว่านี้ เจ้าอาจจะเสียใจภายหลังเอาได้”
ขโมยด้ายวิญญาณได้ด้วยหรือ? อา… น่าจะเป็นการปลูกถ่ายมากกว่า… ใบหน้าไคลน์ตึงขึ้นเล็กน้อย ยกเลิกการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณของอามุนด์
การที่มันอดทนยอมฟังอามุนด์พูดพล่าม เพราะไคลน์ต้องการเปลี่ยนให้ร่างโคลนของอามุนด์เป็นของหุ่นเชิดตัวเอง
สำหรับจอมเวทพิสดาร การยืดเวลาและต่อสู้ด้วยการแผ่อิทธิพลอย่างลับๆ เป็นสิ่งที่มันโปรดปรานแทบจะในทุกสถานการณ์ แต่น่าเสียดาย ปัจจุบันไคลน์กำลังเผชิญหน้ากับ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเส้นทางนักจารกรรมในปัจจุบัน แม้จะเป็นแค่ร่างโคลน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก
ไคลน์เองก็สงสัยว่าคำพูดอามุนด์อาจเป็นเพียงการบลัฟ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน จึงไม่กล้าเสี่ยง
ในเวลาแบบนี้ สิ่งที่มันต้องการคือความช่วยเหลือจาก ‘ผู้ชม’ !
“พูดมากแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเพราะกำลังหาทางสิงร่างของฉันในฐานะปรสิตหรอกหรือ? ทางนั้นเองก็คงรู้ตัวอยู่แล้วกระมัง หากไม่ทำให้ฉันบาดเจ็บหนัก ก็คงยากจะสิงร่างจอมเวทพิสดารที่สามารถมองเห็นด้ายวิญญาณ” ไคลน์ที่กำลังใช้ใบหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จ้องหน้าอามุนด์และกล่าวอย่างใจเย็น
อามุนด์หัวเราะและพูด
“รู้ตัวจนได้สินะ”
“คิดจะขโมยชะตากรรมของฉัน?” เป็นอีกครั้งที่ไคลน์สลับตำแหน่งกับหุ่นเชิด คราวนี้มันกระโดดไปมาระหว่างหุ่นเชิดจำนวนมากในสวน
“เปล่า…” อามุนด์ส่ายหน้า ใช้มือล้วงกระเป๋า ยิ้มผ่อนคลาย “การที่อาโรเดสยอมเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าในฐานะข้ารับใช้ นั่นแปลว่าเจ้าเองก็ไม่ธรรมดา… ข้าไม่ใช่คนของเส้นทางทรราช ไม่หุ่นหันขโมยชะตากรรมด้วยความประมาทแน่นอน… หึหึ… ลางสังหรณ์กำลังบอกกับข้าว่า หากขโมยชะตากรรมของเจ้าตอนนี้ ผลลัพธ์จะไม่ใช่สิ่งที่ข้ายินดีนัก”
“นายรู้ได้ยังไงว่าอาโรเดสยอมเชื่อฟังคำสั่งฉัน? เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะมีบอกในชะตากรรมของฟลอร่า·เจคอป” ไคลน์ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ปรากฏตัวบนต้นไม้
มันยังคงเปลี่ยนตำแหน่งกับหุ่นเชิดอย่างต่อเนื่อง
อามุนด์ยกมือขึ้นมาจับคางและกล่าว
“ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ? ทางนี้เสียเวลาหลายวันในการสืบหาต้นตอความผิดปรกติ… อา… ข้าแวะไป ‘คุย’ กับอาโรเดสที่วิหารจักรกลไอน้ำมา แต่เจ้านั่นไม่ยอมปริปาก เลือกจะถูกทรมานมากกว่าเปิดเผยต้นกำเนิดของเจ้า น่าเสียดาย ที่นั่นอยู่ภายใต้ความดูแลของโบสถ์จักรกลไอน้ำ ไม่อย่างนั้นข้าคงสิงร่างและเรียนรู้ทุกสิ่ง”
แม้แต่สมบัติปิดผนึกก็สามารถถูกสิงได้เช่นกัน? หากอาโรเดสรักษากฎอย่างเคร่งครัด พิจารณาจากคำตอบในอดีต เจ้านั่นเองก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของเรา มีเพียงการคาดเดาอย่างคลุมเครือ… ดวงตาไคลน์เบิกกว้างเล็กน้อย ขณะเตรียมกล่าวบางสิ่ง มันได้ยินอามุนด์หัวเราะและถาม:
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รีบ… กำลังรอสิ่งใดอยู่หรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าลำดับ 2 ของเส้นทางข้ามีชื่อว่า ‘ม้าไม้ชะตากรรม’ ? แม้จะเป็นแค่ร่างโคลนธรรมดา พลังบางชนิดก็ยังสามารถใช้การได้ เช่นการทำให้ชะตากรรมของเจ้ายุ่งเหยิง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นกับเจ้าช่วงเวลาหนึ่ง ถึงจะร้องขอความช่วยเหลือมากเพียงใดก็ไม่มีใครได้ยิน… หึหึ… นั่นรวมไปถึงการกระตุ้นเข็มกลัดรัตติกาลในมือเจ้าด้วย สิ่งเดียวที่จะได้รับคือผลแห่งการปกปิดของมัน แต่มิอาจข้อความช่วยเหลือไปหาปลายทางได้ ถึงจะตกลงกันล่วงหน้าแล้วก็ตาม นอกจากนั้น การตะโกนหรือการสร้างระเบิดก็จะไม่เกิดประโยชน์ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่มีทางได้ยินสิ่งใด… นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องพูดมาก สำหรับร่างโคลนธรรมดา เรื่องแบบนี้ใช้เวลานานทีเดียว… เอาล่ะ ถึงเวลาที่เจ้าต้องตอบคำถามบ้างแล้ว”
ไคลน์ไม่ตอบ เอาแต่สลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดอย่างต่อเนื่อง ทว่า อามุนด์ก็มาโผล่ตรงหน้าเรื่อยๆ เช่นกันเพื่อคอยรักษา ‘การสนทนา’
ทันใดนั้น ชายหนุ่มบังคับให้หนึ่งในหุ่นเชิดถามกลับ
“ในเมื่อเสร็จสิ้นการควบคุมชะตากรรมแล้ว ทำไมถึงยังไม่ลงมือสักที? กำลังรอบางสิ่งเหมือนกันสินะ”
ยังไม่ทันที่เสียงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในร่างกระดาษคนแผ่นบางเลือนหาย กระแสลมอันเกรี้ยวกราดพลังมาจากระยะไกล
เลียวนาร์ดในชุดกันลมสีดำ กำลังถูกไม้เท้าเลี่ยมเงินลากให้ลอยไปในอากาศ ตรงมายังถนนเบิร์คลุนด้วยความเร็วสูง!
ไคลน์ที่หายตัวมาโผล่ข้างอามุนด์ กล่าวในทันที
“นี่คือสิ่งที่ฉันกำลังรอ!”
กล่าวจบ มือหนึ่งทำการกระตุ้นตราศักดิ์สิทธิ์แห่งรัตติกาล
ขณะเดียวกัน มือข้างซ้ายดีดนิ้วเพื่อจุดไฟต้นไม้ที่สูงที่สุดในสวน ส่งผลให้เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ
แต่ผิดคาด แม้จะสร้างสิ่งที่คล้ายกับคบเพลิงยักษ์จนสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งหมด แต่กลับไม่มีผู้ใดตระหนักถึงเลย ไม่ว่าจะสาวใช้ที่กำลังเช็ดหน้าต่างชั้นหนึ่ง คนเดินเท้าใต้ต้นเมเปิ้ลอินทิส แม้กระทั่งเลียวนาร์ด·มิเชลในอากาศก็ยังไม่แยแส เอาแต่มุ่งหน้าไปยังบ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน
ทันใดนั้น เสียงค่อนข้างชราดังขึ้นในหัวถุงมือแดง
“ย้อนกลับ ตรงไปที่บ้านเลขที่ 160”
เลียวนาร์ดฉงนเล็กน้อย แต่เนื่องจากมีประสบการณ์ในโลกเร้นลับมากมาย จึงมิได้ไต่ถาม เพียงหันหัวไม้เท้าวาจาสมุทรเพื่อเปลี่ยนทิศทางทันที
ภายในสวนของบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน อามุนด์เงยหน้าขึ้น มือยังคงจับแว่นตาขาเดียว หัวเราะในลำคอเล็กน้อย
“ข้าเองก็รอสิ่งนี้เช่นกัน”
มันมิได้หันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ ฉีกกว้าง กล่าวโดยมิอาจเก็บงำความตื่นเต้น
“สามารถค้นพบความผิดปรกติของที่นี่… เป็นใครไปไม่ได้นอกจากพาลีส!”
กล่าวจบ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทันที มือข้างหนึ่งขยับกรอบแว่น
แต่ทันใดนั้น ถนนทั้งบล็อกพลันถูกปกคลุมด้วยความมืดประหลาด คล้ายกับที่นี่ถูกแยกออกจากโลกแห่งความจริง กลายเป็นสถานที่แห่งความลับ
ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน เฮเซลมองออกไปนอกหน้าต่าง พึมพำด้วยความสงสัย
“ฝนจะตกหรือ?”
แต่นั่นก็มิดได้สลักสำคัญ เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวเอื้อมมือไปทางถาดสามชั้นเพื่อหยิบชายามบ่าย
จากนั้น เธอเห็นบิดาของตน ส.ส. มัคท์ กางมือขวาออกด้วยท่าทีแปลกๆ
จุดแสงสว่างขึ้นจากอากาศว่างเปล่า และในมือข้างนั้น ปรากฏแว่นตาผลึกที่มีขาเดียว
ส.ส. มัคท์สวมแว่นไว้ที่ดวงตาข้างขวา
นี่มัน… เฮเซลสังเกตเห็นความผิดปรกติอย่างชัดเจน ภายในใจเริ่มตื่นตระหนก รีบมองหน้าคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้อง
มารดาของเธอ มาดามลีอานน่า ถอดเครื่องประดับแว่นตาบนสันจมูก แทนที่ด้วยแว่นตาขาเดียวที่เอามาจากไหนก็มิอาจทราบได้ รวมถึงสาวใช้ข้างๆ ก็หยิบแว่นตาขาเดียวออกมาสวมในเวลาเดียวกัน
ตึง!
เฮเซลที่ลุกพรวดและก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ เผลอสะดุดเก้าอี้ล้มลงกับพื้น
เสียงดังกล่าวทำให้ทุกคนในห้อง ไม่ว่าจะส.ส. มัคท์ มาดามลีอานน่า และสาวใช้ ต่างมองหน้าเฮเซลเป็นตาเดียว
ทุกคนเผยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
“อ๊า!”
เฮเซลสติแตกพร้อมกับแหกปากไม่เป็นภาษา
เสียงกรีดร้องดังออกจากตัวบ้าน ผ่านสวนด้านนอก จนกระทั่งถึงถนน คนที่เดินผ่านไปมาต่างได้ยินและหันมามอง ในขณะเดียวกัน อามุนด์ลดมือขวาที่จับแว่นลง แหงนหน้ามองท้องฟ้าและยิ้ม
“พาลีส… นี่มันปี 1350 ของยุคสมัยที่ห้าแล้ว เทคนิคการรวบรวมร่างโคลนเพื่อยกระดับพลังมันล้าสมัย”
ด้านหลังเฉียงออกไป ไคลน์ไม่มัวพล่ามไร้สาระ มือขวาล้วงหยิบบางสิ่งออกจากเสื้อ มือซ้ายเปลี่ยนให้ยุบพองหิวโหยกลายเป็นสีใส สร้างหนังสือมายาขึ้นกลางอากาศตรงหน้า
แต่เพียงอามุนด์ยกมือขึ้นแผ่วเบา ถุงมือหนังมนุษย์พลันอันตรธานหาย
ทว่า สิ่งที่หายไปมิได้มีเพียงถุงมือหนัง แต่ยังรวมไปถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วย
แปะ!
สิ่งที่ตกลงบนฝ่ามืออามุนด์มิใช่ถุงมือ หากแต่เป็นหนู หนูที่ตายแล้วและถูกปลดจากการเป็นหุ่นเชิดหลังจากถูกขโมย
อีกฝั่งหนึ่งของอามุนด์ ไคลน์ที่มิได้สวมหมวก เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตและเสื้อกั๊ก โผล่ออกจากความว่างเปล่าและโยนสิ่งที่เพิ่งหยิบออกมาไปทางอีกฝ่าย
นกกระเรียนกระดาษ