ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1067 : พงศาวดารเอลฟ์

ราชันเร้นลับ 1067 : พงศาวดารเอลฟ์

ราชันเร้นลับ 1,067 : พงศาวดารเอลฟ์
นี่มัน… เทพรับใช้จากยุคสมัยที่สองล้วนเป็นเสือหมอบมังกรหลับ ไม่ว่าจะ ‘มังกรแห่งปัญญา’ เฮราเบอร์เก้นหรือ ‘เทพแห่งวิญญาณมรณะ’ ซาลินเจอร์ก็ล้วนเป็นตัวตนสำคัญที่ก้าวไปถึงลำดับ 0 ในภายหลัง แน่นอนว่าเรายังไม่มั่นใจกับมังกรแห่งปัญญา แต่ก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว…

อา… นอกจากนั้นยังมี ‘เทพแห่งรุ่งอรุณ’ บาร์ดไฮเออร์และ ‘เทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยว’ โอมีเบล่า… มีโอกาสที่เทพเหล่านี้จะดำรงชีวิตมาจนถึงยุคสมัยที่ห้าเช่นกัน… ชักอยากรู้แล้วว่า ‘เทพแห่งสัตว์วิญญาณ’ ทอซน่าและ ‘เทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม’ อมานีซิสจะรอดพ้นจากการถูก ‘ทวงคืนอำนาจ’ โดยฝีมือพระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์หลังจบยุคสมัยที่สองหรือไม่… และถ้าพวกท่านรอดมาได้ แต่ละคนมีบทบาทอย่างไรในยุคสมัยที่สามและสี่? หลังจากตกตะลึงไปเล็กน้อย ไคลน์เริ่มขบคิดพลางถอนหายใจ

และเมื่อนึกถึงเหตุการณ์การทรยศของสามราชาเทวทูตในยุคสมัยที่สาม ไคลน์รำพัน

สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งคืออัคคีภัย โจรขึ้นบ้าน และเทพรับใช้!

ในเวลาเดียวกัน ออเดรย์ที่ไม่ค่อยรู้จักชื่อจริงและสมญานามของเทพรับใช้มากนัก แทบไม่เปลี่ยนสีหน้าหรือแสดงอารมณ์ เพียงคอยจำแลงกายเป็นเอลฟ์สาวในความทรงจำของเซียธาสและชักนำคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์ในยุคสมัยที่สอง

จากคำบอกเล่าของเซียธาส ในประวัติศาสตร์ของเอลฟ์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ายุคสมัยที่หนึ่งหรือสอง ยุคสมัยเริ่มต้นผ่านไปโดยไม่รู้คืนวัน เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความมืด และความบ้าคลั่งโดยปราศจากการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร จนกระทั่งสัตว์วิเศษแต่ละเผ่าพันธุ์เริ่มพัฒนาสติปัญญาและสร้างภาษา นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นขององค์ความรู้และประวัติศาสตร์

ภายในยุคสมัยดังกล่าว เทพบรรพกาลค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละหนึ่ง ดินแดนอันประกอบไปด้วยท้องฟ้า ผืนพิภพ ทะเล และใต้ดินค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากความยุ่งเหยิงจนมีระเบียบเรียบร้อย ทว่านอกเสียจากเทพบรรพกาลที่เกรี้ยวกราดและบ้าคลั่งเหล่านี้ ก็ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าช่วงเวลาดังกล่าวผ่านไปทั้งสิ้นกี่ปี ทราบเพียงว่าเมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว เหล่าเผ่าพันธุ์ทรงอำนาจต่างเรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่า ‘ยุคสมัยแห่งการงอกเงย’

หลังจากยุคสมัยแห่งการงอกเงยก็เป็น ‘ยุคสมัยแห่งการเริ่มใช้ไฟ’ ซึ่งเหล่าเทพบรรพกาลได้แบ่งออกเป็นฝักฝ่ายและต่อสู้กัน แต่ช่วงเวลาดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นก่อนที่เซียธาสจะเกิดนานมาก เธอจึงทำได้เพียงศึกษาจากประวัติศาสตร์ของเอลฟ์และทราบว่าเผ่าพันธุ์ ‘กึ่งมนุษย์’ ได้เปิดศึกกับเผ่าพันธุ์ ‘อมนุษย์’ อย่างหนักหน่วง ขณะเดียวกันก็ต้องต้านทานการกัดกร่อนและรุกรานจากปีศาจและหมาป่าอสูร ในสมัยนั้นมนุษย์ยังอาศัยอยู่ในฐานะคนรับใช้และทาสของเผ่าคนยักษ์ เอลฟ์ และผีดูดเลือด

ในยุคเริ่มต้นใช้ไฟนั้นมีระยะเวลานานไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับแต่ละตำนาน แต่จุดร่วมที่เหมือนกันก็คือ ไม่มีตำนานใดยาวนานเกินกว่าหนึ่งพันปี เนื่องจากธรรมชาติของเทพบรรพกาลในสมัยนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เกรี้ยวกราด ป่าเถื่อน และเย็นชา แทบทุกการกระทำจะเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ

หลังจาก ‘ต้นตระกูลผีดูดเลือด’ ลิลิธ ‘ราชามนุษย์กลายพันธุ์’ เควาสทูนและ ‘ราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง’ เฟรเกียถึงคราวร่วงหล่นเพราะถูกหักหลัง ยุคสมัยแห่งการเริ่มต้นใช้ไฟก็สิ้นสุดลงและเกิดเป็นสงครามโกลาหล โลกถูกทำลายอย่างต่อเนื่องโดยไม่สงบสุขนานหลายร้อยปี

เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว คนยักษ์และมังกรแข็งแกร่งเป็นพิเศษ จึงถูกเรียกขานว่า ‘ยุคสมัยแห่งสองขั้วอำนาจ’

จนกระทั่งเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังทั้งห้าสร้างสมดุลขึ้นมาใหม่ ทั้งทวีปเหนือ ทวีปใต้ ทวีปตะวันออก และหาห้วงสมุทรเริ่มอยู่ในความสงบสุข นั่นคือช่วงเวลาที่เซียธาสเกิดและเติบโตจนกระทั่งเข้ามาอยู่ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’

จากประวัติศาสตร์ที่เธอเล่า มีสองจุดใหญ่ที่สำคัญ หนึ่งคือการดำรงอยู่ของทวีปตะวันออกซึ่งเป็นสถานที่ตั้งวังราชาคนยักษ์ และสองคือหลังจากยุคสมัยแห่งการงอกเงย เผ่าพันธุ์ทรงอำนาจต่างก่อร่างสร้างอารยธรรมของตัวเองขึ้นมาโดยที่มิได้เสียสติเหมือนกับที่บรรพบุรุษเคยเป็น แต่แน่นอนว่ายังหลงเหลือเศษเสี้ยวความเกรี้ยวกราด ป่าเถื่อน เย็นชา และกระหายเลือดอยู่ลึกๆ เรียกได้ว่าเป็นภาวะกึ่งคลุ้มคลั่ง จนกระทั่งยุคสมัยแห่งสองขั้วอำนาจจบลง เอลฟ์และคนยักษ์จึงเริ่มพัฒนาสติปัญญาอย่างก้าวกระโดดจนมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกับกรอซายและเซียธาส

ดูเหมือนว่าทวีปตะวันออกจะเป็นดินแดนเทพทอดทิ้งในปัจจุบัน… ถูกทิ้งหลังจากมหาภัยพิบัติ? ความคิดแบบเดียวกันผุดขึ้นในใจไคลน์ เลียวนาร์ด และออเดรย์

ทุกคนต่างสนใจในหัวข้อดังกล่าว แต่น่าเสียดายที่เซียธาสมักอยู่แต่ในวังราชาเอลฟ์เป็นส่วนใหญ่ หรือนานๆ ครั้งจะได้ออกไปข้างนอกก็ยังหนีไม่พ้นการล่องทะเล ไม่เคยไปเหยียบทวีปตะวันออก จึงขาดความทรงจำและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ภายใต้การชักนำของออเดรย์ ความฝันของเซียธาสเริ่มดำเนินไปสู่ภาษาและวัฒนธรรมของเอลฟ์

จากตำนานที่เอลฟ์รับใช้มีสิทธิ์เข้าถึง ภาษาเอลฟ์ถูกสร้างขึ้นโดยราชาเอลฟ์ในยุคสมัยแห่งการงอกเงย แต่ละคำถือกำเนิดพร้อมกับเอลฟ์รุ่นแรกแต่ละตน หรือกล่าวได้ว่าจำนวนคำในภาษาเอลฟ์นั้นมีเท่ากับจำนวนเอลฟ์รุ่นแรก

ทว่าวัฒนธรรมของเอลฟ์นั้นไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเป็นหลัก เอลฟ์ในป่าและในทะเลนั้นมีขนมธรรมเนียมที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก

จุดร่วมของเผ่าพันธุ์เอลฟ์คือเรื่องที่พวกมันศรัทธาในราชาเอลฟ์ซึ่งเป็นเทพบรรพกาล และราชินีของพระองค์ เอลฟ์ชื่นชอบที่จะนำเลือดของเหยื่อมาปรุงเป็นอาหาร และมีเอลฟ์จำนวนไม่น้อยที่นิยมการปรุงอาหารแบบย่าง แม้กระทั่งเอลฟ์ในทะเลก็ยังหาโอกาสมารวมตัวกันบนแนวปะการังและจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟ เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างมากและชำนาญการใช้เครื่องเทศทุกชนิด นอกจากนั้นพวกมันบูชาความแข็งแกร่งและภาคภูมิในใจความคิดไวทำไวโดยไม่สนผลลัพธ์ที่จะตามมา

มีทั้งตำนานและความจริงผสมปนเป เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าสิ่งใดจริงและสิ่งใดปลอม… แต่วัฒนธรรมของพวกเขาทำลายข้อสันนิษฐานในอดีตของเราจนป่นปี้… ไคลน์ตั้งใจฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจวิเคราะห์ทุกคำพูดของเซียธาสอย่างละเอียด

หลังจากได้รับข้อมูลที่น่าสนใจ ออเดรย์ชักนำความฝันของเซียธาสให้ดำเนินไปยังทิศทางของทวีปตะวันตก ส่งผลให้ฉากในความฝันเริ่มเปลี่ยนผันและสะท้อนจิตใจสำนึกในส่วนลึกของเธอ

พระราชวังปะการังปรากฏเบื้องหน้าไคลน์และคนที่เหลืออีกครั้ง คราวนี้เซียธาสกำลังเดินตาม ‘ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ’ โคฮีเน็มไปยังหน้าต่างใสบานหนึ่ง

เซียธาสชำเลืองเครื่องแต่งกายอันหรูหราและประณีตของราชินีก่อนจะมองหน้า ‘เทพ’ ที่มีพลังควบคุมภัยธรรมชาติพร้อมกับถาม

“ฝ่าบาท… กำลังมองไปทางตะวันตกหรือเพคะ?”

สำหรับเอลฟ์ หากไม่สัมผัสถึงแรงกดดันที่เกรี้ยวกราดจากอีกฝ่าย พวกมันมีสิทธิ์ตั้งคำถามตามที่สงสัย

“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น?” โคฮีเน็มไม่หันกลับมามอง เพียงย้อนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ดิฉันเพิ่งได้อ่านบันทึกตำนานที่กล่าวว่า เผ่าเอลฟ์ของเรามีต้นกำเนิดจากทวีปตะวันตก” เซียธาสมอบคำตอบ “ฝ่าบาท ทวีปตะวันตกมีอยู่จริงหรือไม่? และเป็นความจริงไหมที่เอลฟ์รุ่นแรกถือกำเนิดขึ้นที่นั่น?”

มุมปากโคฮีเน็มยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงล่องลอย

“ทวีปตะวันตกนั้นอาจจะมีหรือไม่มีอยู่จริงก็ได้ ทุกเผ่าพันธุ์มักสร้างต้นกำเนิดปลอมๆ ขึ้นมาเป็นบ้านเกิดของดวงวิญญาณ… เซียธาส… สำหรับเจ้า ที่ใดคือบ้าน?”

“บ้าน?” เซียธาสทวนคำก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเหม่อลอย “บ้านของข้าคือพระราชวังแห่งนี้ที่องค์ราชาและราชินีพำนักอยู่ รวมถึงป่าที่พ่อและแม่ของข้าอาศัย”

กล่าวถึงตรงนี้ อารมณ์ของเซียธาสเริ่มดำดิ่ง โหยหา และโศกเศร้า

เธอกำลังได้รับอิทธิพลจากความทรงจำภายในจิตใต้สำนึก

ต้องไม่ลืมว่า เซียธาสได้เข้ามาอยู่ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ และต้องจากบ้านมานานกว่าสองถึงสามพันปี

“นั่นก็หมายความว่าสำหรับเอลฟ์อย่างเจ้า ทวีปตะวันตกไม่มีอยู่จริง แต่สำหรับเอลฟ์บางตน สถานที่แห่งนั้นมีอยู่จริง” ราชินีแห่งภัยธรรมชาติมอบคำตอบสุดท้ายอย่างสุขุม

เซียธาสมิได้ถามสิ่งใดต่อ เนื่องจากเพิ่งตระหนักได้ว่าราชินีไม่ใช่เอลฟ์รุ่นแรก

คำตอบเช่นนี้ยิ่งสร้างความสับสนให้กับไคลน์ แต่โชคยังดีที่ทวีปตะวันตกนั้นไม่มีตัวตนอยู่เลยในช่วงยุคสมัยที่สองถึงห้า สถานที่ดังกล่าวจึงมิได้เก็บซ่อนความลับใดที่เกี่ยวข้องกับตนเอาไว้ ชายหนุ่มแค่ต้องการลองตรวจสอบโดยไม่คาดหวังมากนัก

หลังจากชักนำความฝันของเซียธาสเสร็จในเวลาใกล้เที่ยง เมื่อไม่มีความฝันของคนอื่นในละแวกใกล้เคียงให้กระโจนเข้าไป ออเดรย์พาไคลน์และเลียวนาร์ดออกมาพร้อมกัน ปรากฏตัวอีกครั้งภายในห้องนอนของโมเบธและเซียธาส

ยืนมองร่างของไวเคาต์แห่งยุคสมัยที่สี่ถูกภรรยากอดก่ายบนเตียงนอนสักพัก ออเดรย์หัวเราะในลำคอพลางทำสีหน้าผ่อนคลาย

“ดูมเหมือนว่าชีวิตของพวกเขาในตอนนี้จะราบรื่นดี…”

“ไม่ไม่ไม่! การมีภรรยาบ้าพลังและพูดจาขวานผ่าซาก แถมยังชอบลงไม้ลงมือเช่นนี้ คงมีแต่โมเบธที่มีความสุข…” เลียวนาร์ดซึ่งไม่มีพรสวรรค์ทางด้านแต่งกลอน แต่ยังคงรักอิสระเหมือนนักกวี ส่ายหน้าพลางสอดมือเข้าไปในกระเป๋า

จากนั้นก็รำพัน

แต่ในทางกลับกัน หากต้องการสยบหัวขโมยมากประสบการณ์ให้อยู่หมัด คู่ชีวิตก็ต้องเป็นผู้หญิงแบบเซียธาส… อา… ชักอยากรู้แล้วว่าผู้หญิงในตระกูลของตาแก่จะมีนิสัยเป็นยังไง…

“เฮ้อ… ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องอิจฉาหรือสงสารพวกเขาเลยสักนิด ก็แค่สองคนนี้เกิดมาคู่กัน… จักรพรรดิโรซายล์เคยเขียนกวีไว้ว่า ‘จริงอยู่ที่ชีวิตนั้นมีค่า แต่ความรักมีค่ามากกว่าเสมอ’ …”

ขณะได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ไคลน์อ้าปากเล็กน้อยก่อนจะปิดสนิทอีกครั้ง มันไม่ได้บอกทั้งสองคนว่าปัจจุบันเซียธาสและโมเบธได้ตายไปแล้ว และความรักก่อตัวขึ้นในลมหายใจสุดท้ายของชีวิตทั้งคู่ ส่วนตัวตนที่อยู่ในหนังสือเป็นเพียงร่างโคลนที่ถูกสร้างขึ้น

หลังออกจากบ้านของคู่รัก สามสหายมุ่งหน้าไปยังโรงตีเหล็กของกรอซาย

บนถนนระหว่างทาง ไคลน์มองเห็นรอนเซลที่ถูกคนแถวนี้เรียกว่านักปราชญ์ และออเดรย์สามารถยืนยันได้ทันทีว่าชายคนนี้คือชาวโลเอ็น

“นั่นคือทหารจากหนึ่งร้อยปีก่อนใช่ไหม?” ออเดรย์ลดความเร็วลงและเอ่ยปากถาม

เมื่อนึกทบทวนเรื่องที่รอนเซลคิดถึงบ้าน และเรื่องที่ตนนำเถ้ากระดูกของมันไปฝังในหลุมศพเบ็คลันด์เรียบร้อยแล้ว ไคลน์เงียบงันสองสามวินาทีก่อนจะพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน

“ใช่”

อารมณ์ของมิสเตอร์เวิร์ลเริ่มผันผวน… เขาเหมือนกับแม่น้ำที่ผิวน้ำนิ่ง แต่ด้านล่างเต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ… ออเดรย์พยักหน้าเล็กๆ

“พวกเราเข้าฝันเข้าได้ไหม? ดิฉันอยากได้สูตรโอสถผู้พิพากษาและอัศวินวินัย”

“ไม่มีปัญหา” ไคลน์ตอบพลางชำเลืองเลียวนาร์ด

เลียวนาร์ดที่ยังคงใช้มือล้วงกระเป๋า ดวงตาของมันพลันเปลี่ยนเป็นสีเข้ม

รอนเซลซึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งผล็อยหลับไปในทันที

หลังจากนั้นคนทั้งสามก็เข้าไปปรากฏในความฝัน

ที่นี่คือเมืองอันวุ่นวายและเต็มไปด้วยอาคารที่สร้างจากไม้ ผู้คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาล้วนเป็นชาวโลเอ็น

รอนเซลเจ้าของดวงตาสีฟ้าและผมสีดำทำเพียงยืนมองโดยไม่กล้าเดินเข้าไป จนกระทั่งสตรีสวมเดรสเก่าเดินออกมา รอนเซลรีบขยับเข้าไปใกล้อย่างตื่นเต้นพร้อมกับทำท่าจะกอด

แต่ท่อนแขนของรอนเซลกลับทะลุผ่านหญิงสาวไปโดยมิได้สัมผัสกัน

รอนเซลยืนแน่นิ่งพลางตะโกน

“แม่…”

ออเดรย์ที่เตรียมชักนำความฝัน ชะงักเล็กน้อยและเฝ้ามองเหตุการณ์ต่อไป จนกระทั่งเธอกวาดสายตาไปรอบๆ และพบกับนาฬิกาที่คุ้นเคย

“เบ็คลันด์…” ออเดรย์เม้มริมฝีปากและหันกลับมาจ้องไคลน์ “พวกเขาออกจากหนังสือไม่ได้หรือ?”

“เวลาผ่านมานานเกินไป หากออกจากหนังสือ พวกเขาจะแก่และตายทันที หรือแม้กระทั่งกลายเป็นเศษฝุ่น” ไคลน์กล่าวเสียงเรียบราวกับผิวแม่น้ำนิ่ง “ผมนำข้าวของของรอนเซลกลับไปไว้ที่เบ็คลันด์แล้ว”

นี่มัน… ในฐานะผู้ชม ออเดรย์สามารถตระหนักถึงความโหดร้ายในประโยคล่าสุด เธออดไม่ได้ที่จะหันหน้ามองออกไปนอกความฝัน เป็นทิศทางของบ้านคู่รักโมเบธและเซียธาส

เลียวนาร์ดต้องการจะถามถึงรายละเอียด แต่พิจารณาจากบรรยากาศ มันตัดสินใจปิดปากเงียบ

ถัดมาออเดรย์ตั้งใจชักนำความฝันของรอนเซล นอกจากการถามสูตรโอสถสองชนิด เธอได้ชักนำให้รอนเซลกลับถึงบ้านและใช้ชีวิตกับครอบครัวอันประกอบไปด้วยพ่อแม่ พี่สาว และน้องสาวอย่างมีความสุข

เป็นความฝันที่งดงาม

หลังออกจากความฝันของรอนเซล ทั้งไคลน์ เลียวนาร์ด และออเดรย์ก็พบบ้านของกรอซาย

นี่คือปลายทางสุดท้ายของการสำรวจ หลังจากได้รับข้อมูลจากจิตใต้สำนึกของโรซายล์ พวกมันจะเข้าสู่ทะเลจิตใต้สำนึกรวมของหนังสือเล่มนี้และค้นหาความลับที่อาจซุกซ่อน

………………………..

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท