เหนือสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ไคลน์ปรากฏกายภายในวังโบราณ
เพียงมองไปรอบตัว มันพบความแตกต่างหลายจุด
จากบรรดาทั้งหมด จุดที่ชัดเจนที่สุดคือการที่โครงสร้างและสภาพปัจจุบันของมิติลึกลับแห่งนี้ ฉายเข้ามาในร่างวิญญาณไคลน์โดยตรง ช่วยให้มองเห็นเมฆสีเทาและบานประตูแห่งแสงแม้จะอยู่ห่างออกไป
นอกจากวังที่เราจินตนาการขึ้น และบานประตูแสงที่มีอยู่ตั้งแต่แรก ที่นี่ไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่าและไร้ขอบเขต อัดแน่นด้วยพลังงานระดับสูง…ไคลน์พึมพำ นั่งลงพร้อมกับยกมือขวาขึ้น
เพียงพริบตา หมอกสีเทาทั้งหมดพลันเดือดพล่าน แม้กระทั่งมิติลึกลับก็ยังสั่นไหว ละอองแสงสีเข้มสว่างขึ้นด้านบน
ละอองแสงมารวมตัวกันและแปรสภาพกลายเป็นเทวทูตโปร่งแสงตามที่ไคลน์ต้องการ ด้านหลังมีปีกมายาหลายชั้น ระดับความแข็งแกร่งและความน่าเกรงขามทัดเทียบกับเทวทูตตัวจริง ทั้งสง่างาม ศักดิ์สิทธิ์ และสะกดข่ม
ไม่จำเป็นต้องฝังไพ่จักรพรรดิมืด ทรราช หรือนักบวชสีชาด ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคทาเทพสมุทร…ลำพังตัวเราคนเดียวก็สามารถระดมพลังของมิติลึกลับได้เกือบทั้งหมด เกิดเป็นเทวทูตของเดอะฟูลที่มีลำดับสองอย่างแท้จริง แต่แน่นอน เทวทูตดังกล่าวมิอาจตอบสนองต่อคำสวดวิงวอน และมิอาจคงสภาพไว้ได้นานนัก…มีพลังประเภทอ้อมกอดและโจมตีได้ไม่กี่ครั้ง รวมถึงพลังในขอบเขต ‘ปาฏิหาริย์’ บางชนิด…
อย่างที่คิด พลังการคืนชีพของเราคือของขวัญจากปราสาทต้นกำเนิด…ตอนนี้คืนชีพได้ทั้งหมดกี่ครั้งกันนะ…ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีตรวจสอบ เว้นเสียแต่จะมีสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์บางชิ้น…แต่แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว เราไม่ควรพึ่งพามันมากเกินไป…ผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายต้องดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาทเสมอ…
น่าเสียดาย…ปาฏิหาริย์ระดับนี้กลับใช้ได้แค่เราคนเดียว…
แต่แน่นอนนั่นหมายถึงในปัจจุบันหากต้องการควบคุมพลังของมิติแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยก็ต้องก้าวไปถึงระดับเทวทูตหรือไม่ก็ลำดับศูนย์ซึ่งนั่นจะทำให้ปราสาทต้นกำเนิดมีอานุภาพสมชื่อของมัน…ส่วนบานประตูแห่งแสง เงื่อนไขในการใช้งานอาจสูงยิ่งกว่านั้นอีก…ตอนนี้เรายังมองไม่เห็นอันตรายจากมัน…
จุดประสงค์ของปราสาทต้นกำเนิดคืออะไร? จับนักเดินทางข้ามโลกมาขังและทยอยส่งลงไปช่วยคืนชีพให้พระผู้สร้างต้นกำเนิด? ไคลน์สะบัดมือขวาแผ่วเบา สลายเทวทูตที่ศักดิ์สิทธิ์และทรงพลัง
ปราสาทต้นกำเนิดสงบลงทันที
จากนั้น ไคลน์ลุกขึ้นยืน ก้าวไปบนเมฆสีเทาที่ควบแน่นกลางอากาศ หยุดยืนหน้าบานประตูแห่งแสงแปลกประหลาดที่ประกอบจากลูกบอลแสงจำนวนนับไม่ถ้วน
บานประตูแห่งแสงมีสีน้ำเงินและดำปะปนเล็กน้อย แกนกลางลูกบอลแสงทุกลูกคือกลุ่มหนอนแมลงโปร่งใส
ขณะจ้องมอง ‘รังไหม’ โปร่งใสซึ่งถูกแขวนไว้ด้วยด้ายสีดำเส้นบาง ไคลน์ลองเหยียดแขนขวาออกไปหาประตู พยายามสัมผัสกับมัน
ในที่สุดฝ่ามือของมันก็เอื้อมถึงประตู แต่ปลายนิ้วกลับทะลุผ่านไปราวกับเป็นเพียงภาพมายา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับคราวก่อน บานประตูมายาดู ‘จริง’ ขึ้นกว่าคราวก่อน คล้ายกับสามารถกลายเป็นจริงได้ในอนาคต
สิ่งนี้คือแก่นแท้ของปราสาทต้นกำเนิด? ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ย้ายตัวเองกลับมาที่วังโบราณ
โดยไม่มัวรีรอ ชายหนุ่มออกจากมิติหมอกและเริ่มทดสอบพลังใหม่
ก่อนอื่นก็ต้องคิดพระนามเต็มอันมีเกียรติ…ลำดับสามจะตอบสนองได้ในระดับ ‘ดินแดน’ แต่รัศมีจะแตกต่างกันไปตามอำนาจที่ถือครอง เห็นได้ชัดว่า ‘เจ้าสมุทร’ มีอำนาจการปกครองค่อนข้างกว้างกว่าเส้นทางอื่น…ชื่อของเราควรเป็นอะไรดี? กรุงเบ็คลันด์? ผู้พิทักษ์เหล่าเด็กยากไร้ในกรุงเบ็คลันด์? ฟังดูประหลาดชะมัด…
อา…คนอื่นอาจต้องดิ้นรนภายใต้ขีดจำกัด แต่กับเราแล้วไม่ใช่ ทางนี้สามารถใช้ ‘ข้ารับใช้แห่งปราสาทต้นกำเนิดและโลกวิญญาณ’ แทนได้ และผู้ที่เป็นข้ารับใช้ของทั้งสองอย่างคงมีแค่เราคนเดียว ไม่ซ้ำกับใครแน่นอน ด้วยชื่อดังกล่าว ทุกคนที่อยู่ในเขตหรือในเมืองเดียวกับเรา สามารถสวดวิงวอนถึงเราได้โดยตรง…
แต่ถ้าอยู่นอกเขตก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เราไม่สามารถแบ่งหนอนวิญญาณเก็บไว้บนมิติหมอกได้เหมือนกันคทาเทพสมุทรที่อาศัยพลังของปราสาทต้นกำเนิดในการตอบสนองคำวิงวอนจากทั่วโลก…แม้ว่าตอนนี้จะยังมิอาจยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเทวทูตมืดกับเทพสุริยันบรรพกาล แต่เราก็ควรระวังการก่อกบฏของหุ่นเชิดและร่างโคลนของตัวเองไว้บ้าง… นอกจากนั้น การแบ่งหนอนวิญญาณทิ้งไว้แค่ไม่กี่ตัวคงไม่เกิดประโยชน์ หากต้องการผลลัพธ์แบบเดียวกับคทาเทพสมุทร เราต้องแบ่งหนอนวิญญาณไว้บนปราสาทต้นกำเนิดเป็นจำนวนมหาศาล และในปัจจุบันก็ยังทำแบบนั้นไม่ได้…
เหนือสิ่งอื่นใด จิตใจของเรายังปรกติ ไม่เกิดการแบ่งบุคลิกที่สอง ยังไม่ได้เป็นคนเย็นชาและป่าเถื่อน…เห็นได้ชัดว่าตราประทับที่ปราชญ์โบราณสลักไว้ในประวัติศาสตร์คือ ‘หลักยึดเหนี่ยว’ ที่เพียงพอ…นอกจากนั้น อาการของจักรพรรดิโรซายล์แย่ลงหลังจากกลายเป็นเทวทูต เขาจึงต้องแก้ไขด้วยการใช้สาวกเป็นหลักยึดเหนี่ยว สำหรับเรายังอีกห่างไกล ถือเป็นก้าวที่ใหญ่มาก…คงต้องหาข้อมูลเผื่อไว้ว่า หลักยึดเหนี่ยวนอกจากสาวกแล้วยังมีอะไรได้อีก…ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์หยิบกระดาษกับปากกา
มันเขียนพระนามเต็มอันทรงเกียรติของตัวเอง
“ข้ารับใช้แห่งโลกวิญญาณและปราสาทต้นกำเนิด”
ครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มเขียนวรรคที่สองและสามโดยอาศัยประสบการณ์อันยาวนานและความรู้จากลวดลายศักดิ์สิทธิ์
“ตัวตนเร้นลับจากอดีตกาล”
“ประจักษ์พยานแห่งห้วงประวัติศาสตร์ชั่วนิรันดร์”
เนื่องจากลำดับสามไม่ใช่เทพแท้จริง จึงมิอาจใช้พระนามเต็มเพียงสามวรรค ไคลน์ไตร่ตรองสักพักและเพิ่มอีกสองประโยค
“ผู้พิทักษ์ละครและมายากล”
“มหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์”
อันที่จริง บุคคลที่ไม่ใช่เทพแท้จริงก็สามารถมีพระนามเต็มสามวรรคได้ แต่ต้องมีวรรคหนึ่งผูกโยงกับเทพแท้จริง ยกตัวอย่างเช่น ไคลน์สามารถใช้นามเต็มว่า ‘ข้ารับใช้แห่งเทพธิดารัตติกาล’ แต่โดยพื้นฐานแล้ว ชื่อแบบนี้จะฟังดูไม่เหมือนนามเต็ม แต่เหมือนกับบทสวดอัญเชิญที่ใช้กับผู้ส่งสารมากกว่า อย่างไรก็ดี ในกรณีของผู้ส่งสาร สถานะของสิ่งมีชีวิตคือสัตว์วิญญาณ ข้อจำกัดตรงนี้จะไม่เหมือนกับมนุษย์ ต่อให้ระบุว่าเป็นข้ารับใช้ของเทพแท้จริงก็ไม่เกิดประโยชน์ นั่นคือเหตุผลที่การอัญเชิญผู้ส่งสารส่งเดชเป็นเรื่องที่อันตราย เพราะไม่รู้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตแบบใดออกมา
ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์บังคับหุ่นเชิดเอ็นยูนท่องพระนามเต็มของตนเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
ผ่านไปไม่กี่วินาที ชายหนุ่มยกมือขวาลูบหน้าผาก สีหน้าเผยความแปลกใจ
มันไม่ได้ยินคำสวดวิงวอน
“ชื่อนี้มีจุดไหนที่ผิด…” ไคลน์ไตร่ตรองอย่างจริงจังจนกระทั่งเริ่มเอะใจ “ไม่ใช่แค่เราที่เป็นข้ารับใช้แห่งโลกวิญญาณและปราสาทต้นกำเนิด…สุนัขแห่งฟัลกริมก็ใช่…ต้องระบุให้ชัดเจนกว่าเดิม…”
หลังจากดัดแปลงชื่อ ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดเอ็นยูนสวดมนต์อีกครั้งเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“ข้ารับใช้แห่งโลกวิญญาณและปราสาทต้นกำเนิด”
“ตัวตนเร้นลับจากอดีตกาล”
“ประจักษ์พยานแห่งห้วงประวัติศาสตร์ชั่วนิรันดร์”
“ผู้พิทักษ์ละครและมายากลแห่งเบ็คลันด์”
“มหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์”
“ข้อปรารถนาคำอวยพร ขอวิงวอนให้ท่านช่วยขจัดความมืดมิดเบื้องหน้า”
ทันทีที่สิ้นเสียงเอ็นยูน ไคลน์ได้ยินคำวิงวอนแผ่วเบา เนื่องจากคำวิงวอนดังกล่าวมุ่งไปยังหนอนวิญญาณ ไม่ใช่ร่างต้นของไคลน์
แตกต่างจากคำวิงวอนที่ได้ยินบนปราสาทต้นกำเนิด อันนั้นฟังดูชัดเจนมาก…ขณะไคลน์กำลังครุ่นคิด หนอนวิญญาณตอบสนองต่อคำวิงวอนแทนชายหนุ่ม เนื่องจากมีการตั้งค่าไว้ล่วงหน้า
เปลวไฟลุกโชนตรงหน้าหุ่นเชิดเอ็นยูน มอบแสงสว่างไปทั่วห้อง
ไม่เลว…ถ้าสวดวิงวอนเป็นภาษาเฮอร์มิส ต้องประกอบพิธีกรรมและวาดสัญลักษณ์…สำหรับน้ำมันสกัดและสมุนไพร นั่นไม่สำคัญ จะมีหรือไม่มีก็ได้ คิดว่าคนอย่างเราจะพึงพอใจกับเรื่องแค่นี้หรือ? สัญลักษณ์ต้องประกอบด้วยม้วนกระดาษที่หมายถึงประวัติศาสตร์ ดวงตาสมบูรณ์ที่หมายถึงประจักษ์พยาน และเส้นโค้งที่หมายถึงการเปลี่ยนแปลง…ไคลน์ยังไม่มีแผนจะเผยแพร่นามเต็ม เพราะนั่นจะหมายความว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลายเป็นผู้วิเศษลำดับสามเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นการเผยไต๋โดยใช่เหตุ นอกจากนั้น มันก็ยังมีอีกสองตัวตนเป็นเดอะฟูลและเทพสมุทร เพียงพอต่อการตอบสนองอยู่แล้ว
เป๊าะ!
ทันทีที่ดีดนิ้ว กระดาษที่เขียนนามเต็มของเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลันลุกไหม้
ปราชญ์โบราณมีพลังในการสร้างหมอกและลดอุณหภูมิ แต่นั่นไม่ใช่ความสามารถหลัก…ถัดไป เราต้องลองอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์…เลือกใครเป็นคนแรกดี? ไคลน์ถอนหายใจยาว
มันหรี่ตาลง อาศัยประสาทสัมผัสของเทพ แบ่งวิญญาณบางส่วนเข้าไปท่องในโลกที่เต็มไปด้วยหมอกสีเทาแห่งประวัติศาสตร์
ท่ามกลางตำแหน่งที่เคยสลักตราประทับไว้ล่วงหน้า ไคลน์หยุดอยู่หน้าจุดแสงหนึ่ง
ด้านในมีหน้าต่างสองแถวที่สูงจากพื้นจรดเพดาน ภายในห้องมีชายแต่งกายด้วยชุดคลุมสีแดงปักด้ายสีทองยืนริมหน้าต่าง มองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า
อายุราวสามสิบ ผมยาวสีเกาลัด ตาสีฟ้า จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง หนวดบนริมฝีปากถูกตัดแต่งอย่างประณีต ใบหน้าโดยรวมหล่อเหลา
โรซายล์·กุสตาฟ
…
บนถนนเส้นหนึ่งในเขตเหนือ ชายหน้าเรียวหน้าผากเถิกคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟริมถนน ดวงตาข้างขวาสวมแว่นตาขาเดียว ถือปากกาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
มันยกมืออีกข้างขึ้นมาจับแว่น เขียนประโยคหนึ่งลงไป
“ข้ารับใช้แห่งโลกวิญญาณและปราสาทต้นกำเนิด…”
จากนั้น ปากกาหยุดขยับ ราวกับไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อ
…
เขตตะวันออก ในบ้านเช่าแบบสองห้องนอน ไคลน์หยิบนาฬิกาพกเลี่ยมทองออกมาตรวจสอบเวลา
มันนัดพบชารอนกับมาริคในบ้านร้างหลังหนึ่งคืนนี้
ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ยกมือขวาขึ้นและคว้าอากาศด้านหน้า
กุญแจสีทองเหลืองหน้าตาธรรมดาปรากฏขึ้นบนฝ่ามือชายหนุ่ม
นี่คือ ‘มาสเตอร์คีย์’ ที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยไคลน์เอาชนะวิญญาณมาร สตีฟ และช่วยป้องกันไม่ให้พระผู้สร้างแท้จริงลงมาจุติ ผลข้างเคียงด้านลบก็คือ มันจะทำให้ผู้ถือครองได้ยินเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตูในคืนจันทร์เต็มดวง
ปัจจุบัน ไคลน์อัญเชิญมันออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ สามารถคงสภาพได้นานสิบนาที
หึหึ… สำหรับปราชญ์โบราณ ตราบใดที่เคยใช้งานวัตถุดังกล่าว ไม่ว่าสุดท้ายจะขายทิ้ง คืนเจ้าของ ถูกทำลาย หรือสูญหาย แต่มันก็ไม่ได้จากไปอย่างถาวร ยังคงอยู่ด้วยกันในอีกรูปแบบหนึ่ง…มองไปยังมาสเตอร์คีย์ในมือ ไคลน์รำพันด้วยสีหน้าพึงพอใจ
ด้วยวัตถุในมือ หากไคลน์ทราบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง มันเองก็สามารถพูดคุยกับมิสเตอร์ประตูได้โดยตรง
เก็บมาสเตอร์คีย์กลับเข้าไป ไคลน์สวมเสื้อคลุมขนสัตว์กระดุมสองแถว หมวกผ้าไหม หยิบไม้ค้ำเลี่ยมทองและเดินออกจากห้อง
…………………………