ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1152 : ข้อผิดพลาด

ราชันเร้นลับ 1152 : ข้อผิดพลาด

เมื่อได้ยินคำตอบไคลน์ อามุนด์ยิ้มพลางส่ายหน้า และขณะกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตู มันถามอย่างเป็นกันเอง

“เจ้าคิดนามเต็มอันมีเกียรติเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“…จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับตัวเอง แต่ก็ต้องหลีกเลี่ยงการถูกระบุพิกัดโดยใช้การตอบสนองอัตโนมัติ จึงเหลือแค่ไม่กี่ชื่อที่เข้าข่าย” เมื่อตระหนักว่าตัวตนที่แท้จริงถูกเปิดเผย ไคลน์ตัดสินใจไม่ปิดบัง พลางหวังว่าบทสนทนาจะช่วยให้พบโอกาสรอด

ขณะเดียวกันสมองชายหนุ่มกำลังประมวลผลอย่างหนัก

เราถูกปรสิตยึดร่างในเชิงลึก หากมีความคิดที่สร้างโทษ อามุนด์จะสัมผัสถึงทันที…

วันนี้เป็นวันเสาร์ใกล้จะถึงวันจันทร์อีกครั้ง หากเดอะฟูลยกเลิกการชุมนุมโดยไม่แจ้งล่วงหน้า สมาชิกคงเกิดความตื่นตระหนก ประหม่า และสับสน ในบรรดาพวกเขาต้องมีใครสักคนที่พยายามอัญเชิญผู้ส่งสารเพื่อถามเหตุผล และเมื่อมิสผู้ส่งสารมาหาเรา เธอจะสังเกตเห็นอามุนด์และใช้ยันต์วันวานอีกครั้งเพื่อฟื้นฟูพลังกลับไปยังจุดสูงสุด เมื่อเทวทูตได้รับพลังคืนมา ก็มีโอกาสที่จะเอาชนะร่างโคลนอามุนด์…

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราในตอนนี้คือการอดทนและ ‘ยื้อชีวิต’ เป็นเวลาสองวัน!

หืม…ในเมื่ออามุนด์ยังขโมยชะตากรรมของเราไม่ได้ แล้วทำไมถึงพยายามเจรจาอย่างสันติ? เพราะไม่ว่ายังไง เจ้านี่ก็คงไม่อนุญาตให้เราเข้าสู่มิติหมอกเพื่อ ‘อนุญาต’ อยู่แล้วไม่ใช่หรือ? เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราจะหลุดพ้นจากการถูกยึดร่างและสามารถโต้กลับอีกฝ่ายได้ด้วยพลังของปราสาทต้นกำเนิด…

หรือเพราะ ‘คำสัญญา’ คือตัวกระตุ้น ส่งผลให้ไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนหลังจากนั้น?

อามุนด์จงใจไม่พูดถึงมัน…

อย่างที่คิดหมอนั่นกำลังล่อลวงเรา!

ขณะไคลน์มองเห็นแสงสว่างและตัดสินใจจะยืดเวลาออกไปสองวัน อามุนด์ยังคงหมกมุ่นอยู่กับตามเต็มอันทรงเกียรติที่ไม่น่าจะมีมนุษย์หรือเทวทูตคนใดคิดออก

ขณะเดินนำออกจากห้อง มันเกาคางพลางกล่าว

“เจ้าเคยปกป้องละครและมายากลในเบ็คลันด์?”

เราเคยปกป้อง ‘นักตุกติก’ อยู่คนหนึ่ง…ไคลน์ที่มีแผนในใจ ยอมร่วมมือกับอีกฝ่ายมากขึ้น

“ผมเป็นนักมายากล และเคย ‘แสดงกล’ ในเบ็คลันด์หลายครั้ง”

อามุนด์ที่สวมแว่นพยักหน้ารับ

“ก็พอจะมีเหตุผล”

มันเดินออกจากห้องพักโรงแรมและลงบันไดออกไปยังถนน ไคลน์ตามไปไม่ห่างประหนึ่งคนรับใช้

เหลียวซ้ายแลขวาหนึ่งครั้ง อามุนด์จับกรอบแว่น ถอนหายใจพลางยิ้ม

“ช่างน่าเสียดาย”

“เสียดายอะไร?” ไคลน์ถามด้วยความสงสัย

ฉันโดนนายจับตัวแล้ว ยังมีอะไรให้ต้องเสียดาย?

อามุนด์กดหมวกผ้าไหมบนศีรษะ กล่าวโดยไม่หุบยิ้ม

“ลองเดาดูสิ…ถ้าเดาถูก ข้ายินดีช่วยให้เจ้ามีจุดจบที่ดีขึ้น”

ไคลน์ไม่เชื่อในคำสัญญาของอีกฝ่าย เพื่อไม่ให้ถูกปั่นหัวจนเผลอคายความลับ ชายหนุ่มเพียงส่ายหน้าและกล่าว

“เดาไม่ถูก”

“น่าเบื่อชะมัด” อามุนด์ตอบห้วน กำมือขวาแผ่วเบาพลางสัมผัสกับกรอบแว่น

ไม่ว่าจะเป็นคนเดินถนน ต้นไม้ข้างทาง นกกระจอกบนหลังคา หนูในโคลนตม และจุลินทรีย์ในอากาศ หนอนแมลงมายาจำนวนมหาศาลลอยกลับมาหาอามุนด์ราวกับละอองดวงดาว

ร่างโคลนบุตรแห่งเทพรายนี้ยกระดับตัวตนกลายเป็นเทวทูตทันที

สำหรับไคลน์มันยกมือซ้ายขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนให้ถุงมือหนังมนุษย์โปร่งใส

นี่คือท่าเตรียมใช้เทเลพอร์ต

ในปัจจุบันจากบรรดาเครื่องแต่งกายทั้งหมดของไคลน์ มีเพียงยุบพองหิวโหยเท่านั้นที่เป็นของจริง ส่วนชิ้นอื่นถูกสร้างจากเลือดเนื้อด้วยพลังของผู้ไร้หน้า ไม่เว้นแม้แต่ถุงมืออีกข้าง

“…” เมื่อเห็นว่าเทเลพอร์ตเตรียมถูกใช้งาน ไคลน์ผงะก่อนจะโพล่งถาม

“ทำไมถึงไม่เทเลพอร์ตในห้อง?”

มันไม่ประหลาดใจเรื่องที่อามุนด์คิดจะพาตนออกจากเบ็คลันด์ เพราะมหานครแห่งนี้คือดินแดนที่แม้แต่ราชาเทวทูตก็ห้ามประมาท แต่ไคลน์ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องเปิดประตูห้อง เดินลงบันได และออกจากโรงแรมตามวิถีคนธรรมดา

ดวงตาหลังแว่นขาเดียวชำเลืองมาทางไคลน์ มุมปากขดขึ้นเล็กน้อย

“ข้าตอบไปแล้ว…น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากพาลีส”

แม้บนใบหน้าของเทวทูตกาลเวลาจะเผยรอยยิ้มอย่างชัดเจน แต่ไคลน์กลับมิอาจสัมผัสถึงอารมณ์ใดในดวงตาอีกฝ่าย และนั่นทำให้บรรยากาศเย็นเยียบเหนือคำบรรยาย

ม…หมอนี่มั่นใจว่าเราใกล้ชิดกับพาลีสโซโรอาสเตอร์…เพราะการร่วมมือกันครั้งล่าสุด? ไม่สิ หยุดคิดเดี๋ยวนี้! ไคลน์พยายามเข้าฌานเพื่อควบคุมมิให้ความคิดฟุ้งซ่าน อามุนด์จะได้ขโมยไปไม่ได้

อามุนด์ชำเลืองคนเดินถนนด้วยสายตาไม่แยแส จากนั้นก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีเทา

“ข้าคงต้องรอโอกาสถัดไป…สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการพาเจ้าไปที่นั่น”

ขณะกล่าว ร่างของไคลน์และอามุนด์โปร่งใสพร้อมกับเลือนหายไปจากทางเข้าโรงแรม แต่คนรอบข้างกลับไม่ตระหนักถึงความผิดปรกติ

หลังจากผ่านโลกวิญญาณที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ยากจะพรรณนาและสีสันอันฉูดฉาดซ้อนทับ ไคลน์กับอามุนด์ปรากฏตัวขึ้นกลางทะเล

ใต้ฝ่าเท้ามีรอยแยกขนาดมหึมา น้ำทะเลสีฟ้าครามถูกแยกออกจากกันและพรั่งพรูเข้าไปใน ‘ความมืด’ อันไร้ก้นบึ้งจนดูคล้ายกับน้ำตก แต่ไม่ว่าจะเติมเท่าไรก็ไม่มีทางเต็ม

ทางเข้าซากสมรภูมิแห่งเทพ

ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม

“พวกเราจะไปดินแดนเทพทอดทิ้ง?”

‘น้ำตก’ อันงดงามสะท้อนอยู่บนกระจกแว่นของอามุนด์ มันพยักหน้าแผ่วเบาและตอบด้วยท่าทีเป็นกันเอง

“ถูกต้อง เมื่อพวกเราไปถึงที่นั่น แม้แต่ผู้ส่งสารของเจ้าก็คงมิอาจระบุตำแหน่งแม้จะมีการเชื่อมต่อทางพันธสัญญา”

อย่างที่คิดดินแดนเทพทอดทิ้งถูกตัดขาดจากโลกวิญญาณ สามารถเชื่อมต่อผ่านปราสาทต้นกำเนิดเท่านั้น…

…อามุนด์รู้แผนของเรา…แสงไฟแห่งความหวังในใจไคลน์ดับมอดทันที เหลือเพียงความจริงอันหนาวเหน็บ

สำหรับในตอนนี้ มันยังไม่พบวิธีเอาตัวรอดทางอื่น

อามุนด์ที่ลอยกลางอากาศพึมพำกับตัวเอง

“ถ้าสุสานของข้าในกรุงเบ็คลันด์ไม่ถูกโบสถ์จักรกลไอน้ำทำลาย เราสามารถใช้นรกเป็นสื่อกลางในการเดินทางอย่างสะดวกสบาย”

“…” ไคลน์ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุย

“นรกเชื่อมต่อกับดินแดนเทพทอดทิ้ง?”

“เปล่า” อามุนด์ส่ายหน้าและกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลาย “แต่ข้าสามารถใช้คุณสมบัติพิเศษของมันเพื่อไปได้ทุกที่”

“ผมได้ยินมาว่าในนรกเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีนัก” ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ถามอย่างไม่มั่นใจ

อามุนด์เอียงคอพลางชำเลืองโดยไม่ปิดบังความประหลาดใจ

“เจ้าก็รู้สินะ”

“เคยคิดที่จะสำรวจน่ะ” ไคลน์ไม่สาธยายยืดยาว ด้วยเกรงว่าราชาเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมจะล่วงรู้ว่าตนอ่านไดอารีโรซายล์

ทันใดนั้น อามุนด์หัวเราะ

“เจ้าอยากสำรวจนรก?”

“มีอะไรน่าขัน?” ไคลน์เองก็สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับนรก จึงถือโอกาสให้ความร่วมมือกับอามุนด์เพื่อรวบรวมข้อมูล

ทันทีที่สิ้นเสียง ชายหนุ่มผุดความคิดใหม่

อาศัยบทสนทนากับอามุนด์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เมื่อโอสถถูกย่อยมากขึ้น ย่อมมีโอกาสที่จะควบคุมปราสาทต้นกำเนิดได้มากขึ้น และนั่นอาจช่วยให้พลิกสถานการณ์

ทันทีที่กระแสความคิดดังกล่าวแล่นผ่าน ไคลน์รีบข่มสติเพื่อหยุดความคิดเอาไว้

อามุนด์หัวเราะและตอบ

“หากเจ้าไปเยือนนรก นั่นคงไม่ต่างอะไรกับการห่อของขวัญส่งให้คนที่ต้องการถึงที่”

“…ด้านมืดเอกภพ?” ไคลน์ผงะในตอนต้น จากนั้นก็ลองคาดเดา

อามุนด์ผงกศีรษะ

“เขาคือเทพบรรพกาลเพียงองค์เดียวที่ยังมีชีวิตรอด…ราชาปีศาจฟาโบธี…สำหรับตอนนี้…หึหึ”

ยังไม่ทันพูดจบ อามุนด์กระโจนลงไปยังช่องว่างขนาดใหญ่โดยอาศัยสายลมพัดพา

ไคลน์ที่สูญเสียลมหนุน ร่วงหล่นลงไปไม่ต่างกัน

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ กระแสน้ำพุ่งขึ้นเหมือนน้ำพุ โยนชายหนุ่มและอามุนด์ไปยังอีกฟากหนึ่ง

ทันทีที่ย่างกรายเข้ามาในซากสมรภูมิแห่งเทพ ไคลน์เผชิญกับแสงแดดเจิดจ้า โสตประสาทได้ยินเสียงเพรียกอันบ้าคลั่ง

ความรู้สึกคล้ายกับถูกเข็มเล่มเล็กแทงผ่านแก้วหูและเจาะเข้าไปในเนื้อสมอง สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสในทุกรูขุมขน

หนอนวิญญาณที่เกิดจากร่างสัตว์ในตำนานเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ราวกับพวกมันกำลังสร้างจิตใต้สำนึกชั่วร้ายใหม่ที่ไม่ใช่ของตน

เสียงเพรียกจากพระผู้สร้างแท้จริง!

ไคลน์เกือบเอาตัวไม่รอด และคงทนได้อีกไม่นาน มันมิอาจย่างกรายเข้าไปในซากสมรภูมิแห่งเทพได้มากกว่านี้

ขณะเดียวกันมันพบว่าแว่นขาเดียวบนดวงตาขวาของอามุนด์ทำการดูดกลืนแสงทั้งหมด ผิวกระจกกลายเป็นสีขาวสว่างจ้า

จากนั้นความมืดเข้าครอบงำท้องฟ้า

อามุนด์ทำการขโมย ‘กลางวัน’ ของซากสมรภูมิเทพ!

ท่ามกลางความมืด ร่างโคลนเทวทูตกาลเวลาพาไคลน์ไปยังเกาะแห่งหนึ่งและปล่อยให้ชายหนุ่มนอนหลับบนเสาหิน

เพียงไม่นาน ไคลน์เข้ามาในโลกแห่งความฝันสีเทา ได้พบกับอารามสีดำและภาพฉายของวังราชาคนยักษ์ฝั่งตรงข้ามหน้าผา

อามุนด์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกผ้าไหมสีดำและแว่นตาผลึกแก้ว ปรากฏตัวข้างชายหนุ่มพร้อมกับยิ้มอย่างผ่อนคลาย ชี้ไปทางภาพฉายวังราชาคนยักษ์ที่ถูกแช่แข็งท่ามกลางแสงสนธยา

“ที่นั่นมีทางเข้าดินแดนเทพทอดทิ้ง”

ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตั้งข้อสงสัย

“ไม่ใช่ว่าการเปิดประตูทางเข้า ต้องทำโดยการแล่นเรือไปยังตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจง และเข้าสู่ความฝันจากที่นั่นหรอกหรือ?”

มันพบแสงแห่งความหวังอีกครั้ง เพราะถ้าอามุนด์ต้องเสียเวลาราวหนึ่งถึงสองสัปดาห์ภายในซากสมรภูมิแห่งเทพ นั่นจะเป็นเรื่องที่ดี

“ใช่” อามุนด์ไม่ปฏิเสธ ตามด้วยกล่าวอย่างผ่อนคลาย “หากต้องการเปิดประตูทางเข้า สิ่งสำคัญคือการแล่นเรือไปยังใจกลางทะเลแห่งนี้ ซึ่งนั่นอาจใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน และระหว่างทางจะเต็มไปด้วยอันตรายที่ตัวเจ้าในปัจจุบันทนไม่ไหว…แต่กับข้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีดังกล่าว”

“เพราะคุณคือทายาทพระผู้สร้าง?” ไคลน์คาดเดาด้วยความระมัดระวัง

“เปล่า” อามุนด์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หันหลังและเดินไปทางบานประตูของอารามสีดำ “ภายในดินแดนอันแสนวุ่นวายแห่งนี้ กฎระเบียบซึ่งคอยควบคุมสถานที่ย่อมไม่ปรกติ และมีช่องโหว่ให้ข้าฉกฉวยมากมาย”

เทวทูตกาลเวลาเดินตรงไป ขณะเดียวกันก็ชำเลืองกลับมาหาไคลน์

“ลำดับศูนย์ของเส้นทางนักจารกรรมมีชื่อที่เป็นนามธรรมว่า…ข้อผิดพลาด…เป็นชื่อที่บิดาของข้าตั้งขึ้น ครั้งหนึ่งท่านเคยนิยามมันด้วยคำประหลาดที่ข้าไม่เคยได้ยินต้นตอ”

“คำประหลาด?”

“บั๊ก”

“…!”

“ความหมายก็คือ…ร่างอวตารของข้อผิดพลาดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นม้าไม้ชะตากรรม หนอนกาลเวลา และช่องโหว่แห่งกฎเกณฑ์”

…………………………

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท