เกอร์มันสแปร์โรว์หายไป…แบร์นาแดตเกิดลางสังหรณ์บางอย่างทันทีเมื่อเห็นผู้ส่งสารย้อนกลับมา เธอพอจะเข้าใจอย่างคลุมเครือว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย ดังนั้นเมื่อได้ยินคำอธิบายปากจากผู้ส่งสาร หัวใจหญิงสาวพลันดำดิ่ง แต่มิได้แสดงออกทางสีหน้า
ดวงตาสีฟ้าของราชินีเงื่อนงำทวีความลุ่มลึกและดำมืด สูญเสียความคมชัดไปชั่วขณะ ราวกับกำลังจ้องมองกระแสแห่งชะตากรรมของไรเน็ตต์ไทน์เคอร์
ไม่กี่วินาทีถัดมา แบร์นาแดตหลับตาสนิท ประหนึ่งเบื้องหน้าเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้า
ของเหลวสีเลือดไหลออกจากหางตา ส่งผลให้ใบหน้าทวีความขาวซีด
เมื่อดวงตาราชินีเงื่อนงำปิดสนิท หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงกึ่งล่องลอย
“เกอร์มันสแปร์โรว์กำลังเผชิญวิกฤติร้ายแรง…ความมืดมิดกลืนกินแสงสว่าง…โอกาสรอดเหลือเพียงริบหรี่”
นี่คือคำพยากรณ์
ลำดับสามของเส้นทางผู้ส่องความลับมีชื่อว่า ‘ผู้หยั่งรู้’
สีหัวของไรเน็ตต์ไทน์เคอร์พูดเรียงกัน
“ความมืด…” “คือสัญลักษณ์…” “ของ…” “สิ่งใด…”
แบร์นาแดตยังคงรักษาความเยือกเย็น
“ว่างเปล่า บิดเบือน หายนะ แง่ลบ และข้อผิดพลาด”
ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ที่แต่งกายในเดรสยาวสีเข้มซับซ้อน ไม่เปล่งคำใดออกมาอีก เพียงวางจดหมายและเหรียญทองลง เดินกลับเข้าไปในความมืด
ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต ยังคงยืนในตำแหน่งเดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนนานหลายวินาที
ในที่สุดเธอก็ลืมตาอีกครั้ง แต่ดวงตาสีฟ้าทั้งพร่ามัวและหม่นหมอง คล้ายกับต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะฟื้นฟูกลับมา
แบร์นาแดตครุ่นคิดสักพักและเหยียดมือขวาออกไป
ผ้าปูโต๊ะห่อเข้าหากันและคลี่ออกอีกครั้ง อุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมถูกแทนที่ด้วยปากกา กระดาษ และขวดหมึก
ปากกาลอยขึ้นราวกับถูกยกด้วยมือล่องหน เขียนอธิบายเกี่ยวกับการหายตัวไปของเกอร์มันสแปร์โรว์อย่างรวดเร็ว
…
ในทะเลโซเนีย ห้องกัปตันของอนาคตกาล
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา เฝ้ามองเห็ดทอดบนจานตรงหน้า แม้จะได้กลิ่นหอมหวนลอยโชย แต่เธอก็มิได้จับมีดส้อมเป็นเวลานาน
ทันใดนั้นสัมผัสวิญญาณของหญิงสาวถูกกระตุ้น เธอรีบมองไปทางเครื่องวัดมุมทองเหลืองและพบว่ามีจดหมายฉบับใหม่วางอยู่ตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจทราบ
แคทลียาเผยรอยยิ้มทันที รีบหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน
คิ้วของเธอบรรจงขมวดเข้าหากัน
“เกอร์มันสแปร์โรว์หายตัวไป…” แคทลียาพึมพำแก่นสารของจดหมายด้วยเสียงต่ำ เธอตระหนักว่าเรื่องนี้ร้ายแรงกว่าที่คิด
หญิงสาวเข้าใจความนัยแฝงของจดหมายจากราชินีเงื่อนงำทันที โดยไม่รีรอ แคทลียาก้มศีรษะพลางประสานมือ ท่องพระนามเต็มเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”
เหนือสายหมอกสีเทา ดาวแดงตัวแทนเฮอร์มิทพลันสั่นกระเพื่อม มันยุบพองอย่างต่อเนื่องพร้อมกับสร้างวงแหวนที่มาพร้อมเสียงสวดวิงวอน
วงแหวนวิงวอนที่มีลักษณะเป็นระลอกคลื่น สอดประสานเข้ากับคลื่นของดาวแดงตัวแทนเมจิกเชี่ยนและเดอะซัน ดูคล้ายกับกระแสน้ำที่ไหลผ่านพระราชวังโบราณอันโอ่อ่าสง่างาม
…
ใครบางคนสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลอีกแล้ว…การสอดประสานทวีความรุนแรง เสียงที่ได้ยินก็ทวีความคมชัด…อา…เราได้ยินอย่างชัดเจน ภาพที่เห็นก็คมชัด…เป็นมาดามเฮอร์มิท…มีแค่เธอที่ชอบสวมชุดคลุมจอมเวทโบราณ…
ราชินีเงื่อนงำค้นพบความผิดปรกติเกี่ยวกับเกอร์มันสแปร์โรว์แล้ว? แม้ว่าเราจะเคยกังวลว่าตัวเองอาจต้องตายและใช้เวลาสักพักในการคืนชีพ จึงบอกใบ้ชุมนุมทาโรต์ไว้ล่วงหน้าว่าอาจมีการเลื่อน แต่นั่นเป็นแค่การบอกใบ้ ไม่ใช่ประกาศอย่างเป็นทางการ ยังไม่มีอะไรชัดเจน…เมื่อวันจันทร์มาถึง พวกเขาควรจะแตกตื่นและสวดวิงวอนหรือพยายามติดต่อ นั่นจะให้ทุกคนทราบว่ามิสเตอร์ฟูลหายตัวไปเช่นกัน…หนีตามไปกับเดอะเวิร์ล…ไคลน์รำพันจิกกัดตัวเอง หวังบรรเทาความตึงเครียด
มันชำเลืองอามุนด์ที่เดินอยู่ด้านข้างและยกตะเกียงขึ้น
“มันควรจะดับไปนานแล้ว”
อามุนด์ที่แต่งกายในชุดคลุมทรงโบราณสีดำและหมวกปลายแหม พยักหน้าเล็กน้อยพลางตอบ
“ข้าทำให้มันอยู่ในภาวะพิเศษ สามารถส่องแสงได้นานนับสัปดาห์โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง”
ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก
“เป็นการ ‘หลอก’ กฎแห่งธรรมชาติ?”
อามุนด์หันหน้ามาทางไคลน์และจ้องด้วยตาข้างที่สวมแว่นสักพัก
“ฉลาดมาก…ลำดับสาม ของเส้นทางนักจารกรรมคือการยกระดับนักต้มตุ๋นขึ้นมาอีกขั้น มักถูกเรียกว่าเจ้าแห่งการหลอกลวง”
เกือบเดาถูก…แต่ไม่ใช่แค่เส้นทางข้อผิดพลาดที่ทำได้ เส้นทางจักรพรรดิมืดก็มีพลังในการบิดเบือนและฉกฉวยเช่นกัน…ไคลน์เริ่มเปรียบเทียบระหว่างเส้นทางนักกฎหมายและนักจารกรรม
ขณะเดียวกัน อามุนด์ลูบคางพลางถาม
“อีกไม่เกินสามวันก็ถึงแล้ว หากเจ้าไม่เริ่มคิดหาวิธีหนีอย่างจริงจัง เกรงว่าอาจไม่ทันการ…พรุ่งนี้จะลองหนีอีกครั้งใช่ไหม?”
“…ลองเดาดูสิ” ไคลน์แสยะยิ้ม ตอบอย่างยอกย้อนเฉกเช่นที่อามุนด์ชอบทำ
ว่ากันตามตรงในแง่ของการหลบหนี ไคลน์ไม่คิดว่ายิ่งทำบ่อยแล้วจะยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดี
ในแง่หนึ่งการทดสอบบ่อยครั้งอาจช่วยให้กะเกณฑ์พลังของอามุนด์ได้แม่นยำมากขึ้น แถมยังบั่นทอน ‘สิ่งของ’ ที่อามุนด์ขโมยมาไปเรื่อย ๆ ช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในศึกสุดท้าย แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันก็ต้องเผยไพ่ตายตัวเอง เพราะไคลน์กำลังอยู่ในสภาวะคล้อยตามและไม่มีโอกาสเตรียมตัวล่วงหน้า การจะบีบบังคับให้อามุนด์ใช้ไม้เด็ด ตนก็ต้องงัดไม้ตายก้นหีบมาใช้ไม่ต่างกัน
และถ้าอามุนด์เข้าใจพลังของไคลน์อย่างทะลุปรุโปร่ง โอกาสหลบหนีสำเร็จก็ยิ่งริบหรี่
ความพยายามในการหลบหนีเปรียบดังดาบสองคม หากไม่ระวังให้ดี ก็มีโอกาสที่ดาบจะบาดตัวเอง!
ด้วยเหตุนี้ไคลน์จึงไม่คิดหลบหนีส่งเดช แต่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบและรัดกุม
ขณะสนทนามันกับอามุนด์เดินออกจากเมืองที่เคยนับถือราชามนุษย์กลายพันธุ์และเปลี่ยนมาเป็นเทพสุริยันบรรพกาลในภายหลัง ปัจจุบันเหลือเพียงซากกระดูกและอาคารหินผุพังเป็นร่องรอยสุดท้ายของอารยธรรม
ด้านนอกเมืองเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่มองไม่เห็นขอบฟ้าแม้ในยามฟ้าแลบ
…
บ้านเลขที่เจ็ด ถนนพินสเตอร์ เลียวนาร์ดกำลังนั่งบนโซฟา วางเท้าลงบนโต๊ะกาแฟอย่างสบายใจพลางพลิกอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน
เมื่อวานการตายของจอร์จที่สามทำให้มันต้องเผชิญกับงานกองเป็นภูเขา ต้องออกปฏิบัติการตลอดทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก จนเพิ่งจะได้รับอนุญาตให้พักห้าชั่วโมง
หลังจากหลับไปสองชั่วโมง เลียวนาร์ดตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น เตรียมเสพข่าวล่าสุดจากสื่อทั่วไป
อันที่จริงในฐานะหัวหน้าหน่วยถุงมือแดง เลียวนาร์ดมีข้อมูลมากกว่านักข่าวหลายเท่า ยกตัวอย่างเช่น โบราณสถานทูดอร์ด้านนอกกรุงเบ็คลันด์เกิดพังถล่มจนกลายเป็นทะเลสาบขนาดมหึมา เกือบสร้างความเดือดร้อนให้กับคฤหาสน์เพลงกุหลาบของดอนดันเตส อีกหนึ่งข่าวสำคัญก็คือ จอร์จที่สามซึ่งระเบิดตัวเองบนเวทีจัตุรัสรำลึก แท้จริงแล้วไม่ใช่ร่างจริง แต่การค้นหาศพก็ยังไม่ประสบผล ราวกับอีกฝ่ายระเหยไปในอากาศ
แต่แน่นอน เลียวนาร์ดมั่นใจว่าจอร์จที่สามเสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากเจ้าชายรัชทายาทกำลังจะสืบทอดบัลลังก์จักรพรรดิแห่งไบลัมและกษัตริย์แห่งโลเอ็น
ย้อนกลับไปในตอนนั้น มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับปราสาทต้นกำเนิด…ต้องเกี่ยวข้องกับมิสเตอร์ฟูลแน่…ไคลน์เคยเตือนเกี่ยวกับจอร์จที่สามมานานแล้ว…การตอบสนองของสามโบสถ์หลักก็แปลกมาก แม้แต่โบสถ์วายุสลาตันที่มักลงมืออย่างหุนหัน กลับแทบไม่แสดงความเดือดดาล…เลียวนาร์ดพลิกหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ทันใดนั้นเสียงค่อนข้างชราของพาลีสดังขึ้นในใจ
“ผู้ส่งสารของเกอร์มันสแปร์โรว์มาหา”
เลียวนาร์ดเงยหน้าขึ้นและได้พบกับผู้ส่งสารระดับเทวทูตซึ่งแต่งกายในเดรสสีเข้มซับซ้อน กำลังยืนรอตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจทราบ
สี่หัวทองตาแดงของไรเน็ตต์ไทน์เคอร์พูดเรียงกัน
“เกอร์มัน…” “สแปร์โรว์…” “กำลังเผชิญ…” “วิกฤติร้ายแรง…”
“ที่ทำให้…” “เขา…” หายตัว…” “ไป…”
ไคลน์ตกอยู่ในอันตรายและหายตัวไป? เลียวนาร์ดหดขาลงและรีบลุกขึ้นยืน
โดยไม่มัวเสียเวลาถามพาลีส มันโพล่งขึ้นทันที
“เกี่ยวกับการตายของจอร์จที่สาม?”
“ใช่…” “เขา…” “ทำลาย…” พิธีกรรม…” “เถลิง…” บัลลังก์เทพ…” “ของ…” “จอร์จที่สาม…” ดวงตาสีแดงทั้งแปดของไรเน็ตต์จ้องเลียวนาร์ดโดยพร้อมเพรียง
พิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพ…? แม้เลียวนาร์ดจะกำลังเป็นห่วง แต่มันอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับรายละเอียด
ถ้าคิดจะประกอบพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพ ผู้ประกอบพิธีกรรมต้องอยู่ในลำดับหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไคลน์กลับยังมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ใหญ่ระดับนี้ได้…เป็นแผนการของมิสเตอร์ฟูล? ดวงตาสีเขียวของเลียวนาร์ดส่องประกายเล็กน้อย อาศัยประสบการณ์อันโชกโชน มันถามเข้าประเด็นทันที
“คุณเห็นไคลน์ครั้งสุดท้ายที่ไหน เขากำลังทำอะไร?”
สี่หัวทองตาแดงของไรเน็ตต์ส่ายหน้าพร้อมกัน
“บางที…” “อาจกำลัง…” “ถูกซาราธ…” “ไล่ล่า…”
ในฐานะผู้ส่งสารของเกอร์มันสแปร์โรว์ มารบรรพกาลตนนี้รับรู้ได้ว่า คู่พันธสัญญาของตนหนีออกจากซากโบราณสถานทูดอร์สำเร็จ
และคนที่เข้าใจหลักการของปราชญ์โบราณได้ดีที่สุด ย่อมต้องเป็นผู้วิเศษลำดับสูงกว่าในเส้นทางเดียวกัน ซาราธจึงเป็นคนเดียวที่สามารถไล่ล่าเกอร์มันสแปร์โรว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซาราธ? ผู้นำลัทธิเร้นลับ เทวทูตลำดับหนึ่ง ซาราธ? แม้เลียวนาร์ดจะเป็นห่วงไคลน์ แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะกลัว และเริ่มกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของอดีตเพื่อนร่วมงาน
ทันใดนั้น เสียงค่อนข้างชราของพาลีสดังขึ้นในใจ
“ถามท่านเกี่ยวกับเบาะแสเพิ่มเติม”
เลียวนาร์ดถามตามที่ถูกแนะนำทันที
คล้ายกับไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ทราบว่าเลียวนาร์ดไม่ใช่ผู้วิเศษธรรมดา เธอทวนคำของราชินีเงื่อนงำทีละหนึ่ง
พาลีสโซโรอาสเตอร์เงียบงันไปสักพัก จากนั้นก็ถอนหายใจยาว
“ข้อผิดพลาด…ข้าพอจะทราบแล้วว่าอดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้ากำลังเผชิญกับอะไร”
เลียวนาร์ดต้องการจะถามทันที แต่เนื่องจากมีคนนอกอยู่ด้วย มันตัดสินใจระงับความคาใจ
พาลีสเว้นวรรคก่อนจะเล่าต่อ
“ปราสาทต้นกำเนิดสามารถดึงดูดซาราธ…แล้วมีหรือที่อามุนด์จะไม่สังเกตเห็น? คงเป็นความพยายามในการช่วงชิงปราสาทต้นกำเนิด”
ปราสาทต้นกำเนิด…เลียวนาร์ดสูดลมหายใจเข้าเชื่องช้า หันไปพูดกับไรเน็ตต์ไทน์เคอร์
“เขาอาจตกอยู่ในมือของอามุนด์”
หลังจากผู้ส่งสารหันหลังและเดินกลับ เลียวนาร์ดนั่งลง ประสานมือพลางหลับตาสวดวิงวอน
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”
…………………………