เพียงพริบตาอามุนด์มองเห็นสายหมอกสีเทาและวังโบราณอันแสนสง่างามด้านบน
ขอเพียงมันเหยียดแขนผ่านสิ่งกีดขวางสุดท้ายเข้าไปสัมผัสกับปราสาทต้น สิทธิ์ความเป็นเจ้าของก็จะถูกโอนถ่ายทันที
แต่ทันใดนั้นฝ่ามือสีน้ำเงินเข้มขนาดมหึมาปรากฏขึ้นเหนือภาพมายาของอามุนด์ กีดขวางมิให้มันผ่านเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิด
ภาพมายาของอามุนด์หันไปมองตามสัญชาตญาณ และพบกับคนยักษ์ตาเดียวที่ร่างกายเต็มไปด้วยหนอง
บลาเดล หรือที่รู้จักกันในนามเทพแห่งเกียรติยศ ดวงตาแนวตั้งของมันยังคงปราศจากชีวิตชีวา คำสาปแห่งสายหมอกยังคงแผ่ออกจากร่างกายอย่างต่อเนื่อง
แต่ต่างไปจากปรกติ ท่อมายาสีดำปริศนากำลังเชื่อมต่อกับแผ่นหลังบลาเดลและยืดยาวออกไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีใครทราบว่ากำลังเชื่อมต่อกับสิ่งใด
ชิ้ง!
คนยักษ์สีน้ำเงินเข้มสูงหลายสิบเมตรทำการควบแน่นดาบสีส้มขนาดมหึมาไว้ในมือ จากนั้นก็แทงใส่อามุนด์ที่ยืนริมหุบเหว
บุตรชายคนสุดท้องของราชาคนยักษ์ซึ่งตายไปเพราะคำสาป กำลังระเบิดพลังเหนือจินตนาการออกมาหลังจากเตร็ดเตร่ท่ามกลางความว่างเปล่านานนับพันปี
ดาบยักษ์สนธยาแทงใส่ความว่างเปล่า ปลายดาบโผล่ในจุดที่อามุนด์กำลังยืน อำนาจการแทงรุนแรงจนสร้างพายุที่สามารถทำลายทุ่งกว้างแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย
อามุนด์ไม่ขยับเขยื้อน ยังคงยืนนิ่งในตำแหน่งเดิม และไม่ว่าพายุดาบสีส้มจะเกรี้ยวกราดสักเพียงใด แต่ก็มิอาจสร้างรอยขีดข่วนให้อามุนด์
คล้ายกับกำลังฉวยโอกาสจากข้อผิดพลาดบางอย่างของโลกใบนี้
แต่ในสภาพดังกล่าว อามุนด์มิอาจส่งเสียงเพรียกเข้าไปในหัวไคลน์ได้โดยตรง ส่งผลให้ชายหนุ่มได้รับความคิดกลับคืนมา
ทั้งที่เกือบคลุ้มคลั่งไปเมื่อครู่ แต่ไคลน์กลับมีสติกระจ่างชัดได้จากเสียงสวดวิงวอนที่ซ้อนทับหลายชั้น จึงรีบทำการเชื่อมต่อกับ ‘ร่าง’ สีแดงเข้มที่นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูลบนมิติหมอก
มันไม่ลังเลที่จะกลับไปยังปราสาทต้นกำเนิด!
ขณะเดียวกัน ภาพมายาของอามุนด์ที่พยายามแทรกซึมสายหมอกสีเทา ยังคงถูกฝ่ามือของ ‘เทพแห่งเกียรติยศ’ บลาเดลขวางไว้จนมิอาจทะลวงผ่านอุปสรรคสุดท้ายได้ในเวลาอันสั้น
ราชาเทวทูตที่สวมแว่นตาขาเดียว เปล่งเสียงออกมาพร้อมกันทั้งร่างต้นและร่างมายา
“รัตติกาล…”
ถูกต้อง นี่คือความช่วยเหลือจากเทพธิดารัตติกาล แต่ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล!
แม้ไคลน์จะไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร แต่มันก็เก็บไว้เป็นไพ่ตายมาตลอด ถึงจะมองเห็นโอกาสสำเร็จ แต่ความน่าจะเป็นก็ต่ำมาก จึงต้องเก็บไว้ใช้ในยามที่สิ้นหวังสุดขีดเท่านั้น
หลังจากเข้าสู่ดินแดนเทพทอดทิ้ง ทุกครั้งที่มีอิสระทางความคิด มันจะเค้นสมองนึกถึง ‘ทรัพยากร’ ที่ตนมีเสมอ และนั่นช่วยให้ตระหนักถึงหนึ่งสิ่ง
เหตุการณ์เกี่ยวกับอดีตเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์!
นักล่าปีศาจพยายามเปลี่ยนไปยังลำดับสาม ของเส้นทางมรณา แต่เกิดการกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดภายในอนุสาวรีย์บรรจุศพตัวเอง
การกลายพันธุ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ ‘ท่อมายาสีดำ’ และไคลน์ก็เคยเห็นสิ่งเดียวกันจากมรณาเทียมของนิกายวิญญาณ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การกลายพันธุ์ของอดีตเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ น่าจะเกี่ยวข้องกับมรณาเทียมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
และนั่นช่วยอนุมานทางอ้อมได้ว่า ตัวตนที่สามารถส่งอิทธิพลมายังดินแดนเทพทอดทิ้ง นอกจากพระผู้สร้างแท้จริงก็ยังมีเทพมรณาเทียมซึ่งเคยกลับมา ‘มีชีวิต’ ในระดับหนึ่ง
และปัจจุบัน เทพมรณาเทียมมีค่าเท่ากับเทพธิดารัตติกาลในบางแง่มุม!
จากข้อเท็จจริงข้างต้น ไคลน์สงสัยว่าเทพธิดารัตติกาลสามารถส่งอิทธิพลบางอย่างมายังดินแดนเทพทอดทิ้งโดยอาศัย ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณาเป็นสื่อกลาง
นอกจากนี้ หากเป็นความลับเกี่ยวกับอดีตเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ ผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์จะมีอยู่เพียงสาม ประกอบด้วย หนึ่งเจ้าเมืองคนปัจจุบัน โคลินอีเลียด สองอาวุโสครึ่งเทพ ฮอยต์เฌอมงต์ และสามอาวุโสคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์ พวกมันเป็นถึงนึกบุญลำดับสี่ หรือไม่ก็สาวกคนสำคัญของพระผู้สร้างแท้จริง ไม่มีทางที่จะถูกอามุนด์ยึดครองร่างโดยไม่รู้ตัว
สำหรับบุคคลเดียวที่ได้ยินเรื่องราวหลังจากนั้นอย่างเดอร์ริคเบเกอร์ เด็กหนุ่มเองก็ไม่ใช่เป้าหมายการยึดร่างของอามุนด์ เพราะอยู่ในสายตาของเดอะฟูลตลอดเวลา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อามุนด์ย่อมไม่ทราบว่า การกลายพันธุ์ของอดีตเจ้าเมืองมีต้นเหตุมาจากท่อมายาสีดำ
ดังนั้นต่อให้อามุนด์ทราบว่าเทพธิดารัตติกาลกำลังครอบครองเอกลักษณ์ของเส้นทางมรณา จนทำให้เทพสงครามตอบโต้อย่างเดือดดาล แต่ก็ไม่มีทางล่วงรู้ความลับซึ่งถูกปกปิดอย่างมิดชิดภายในดินแดนเทพทอดทิ้ง
อาศัยข้อมูลดังกล่าว ไคลน์ตัดสินใจเตรียมการบางอย่างทั้งที่ไม่มีความมั่นใจมากนัก
ภายในเมืองที่ศรัทธาฟีนิกซ์ ชายหนุ่มมิได้นำตะกอนพลังของเส้นทางมรณาติดตัวมาด้วย โดยหวังว่าพวกมันจะกลายเป็น ‘ป้ายบอกทาง’
หลังจากอัญเชิญภาพฉายซาราธจากช่องว่างประวัติศาสตร์ ไคลน์ไม่รีบร้อนฆ่าตัวตาย ในแง่หนึ่งมันกังวลว่าอามุนด์จะยังเหลือวิธีที่จะยับยั้งตน ส่วนอีกแง่หนึ่งมันต้องการอัญเชิญภาพฉายของบริวารอำพราง อาเรียนน่า เพื่อแจ้งเทพธิดารัตติกาลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน
เมื่อเตรียมการทั้งสองสิ่งเสร็จ ไคลน์เองก็ไม่มั่นใจผลลัพธ์ในอนาคต จึงหันกลับไปสนใจเรื่องที่อามุนด์ใช้ร่างจริงสวมรอยแทนร่างโคลน
จนกระทั่งเดินทางมาถึงที่หมายสุดท้ายและได้พบกับซากศพเทวทูตเดินเตร็ดเตร่ ไคลน์ซึ่งเอาแต่สติแตกกับความจริงที่อามุนด์พรั่งพรู เพิ่งตระหนักได้เมื่อครู่ว่า เทพธิดาแอบควบคุมซากศพลูกชายคนสุดท้องของราชาคนยักษ์ด้วย ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณามาสักพักแล้ว และเธอรอคอยโอกาสลงมืออย่างเยือกเย็นมาตลอด
นอกจากนั้นพลังแห่งการปกปิดที่ยังหลงเหลือภายในดินแดนเทพทอดทิ้ง คือตัวช่วยชั้นดีที่ทำให้ ‘ท่อมายาสีดำ’ เล็ดลอดสายตาอามุนด์
ทันใดนั้นภายในวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทา บนเก้าอี้ในตำแหน่งเดอะฟูล ร่างสีแดงเข้มซึ่งสลายตัวสลับกับควบแน่นเป็นระยะ เริ่มทวีความคมชัดและเผยให้เห็นเส้นผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล บรรยากาศคล้ายหนอนหนังสือ ไคลน์โมเร็ตติ
เพียงแค่คิดสติและร่างวิญญาณของชายหนุ่มก็ถูกส่งเข้ามายังปราสาทต้นกำเนิดอย่างง่ายดาย!
อาศัยการเชื่อมต่อที่แน่นแฟ้นระหว่างปราสาทต้นกำเนิดกับร่างวิญญาณของตน รวมถึงการส่งเสริมจากคำสวดวิงวอนของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ ไคลน์มองเห็นตัวเองบนโลกความจริงซึ่งกำลังดวงตาเหม่อลอยและใกล้คลุ้มคลั่งเต็มที มองเห็นร่างมายาของอามุนด์ที่กำลังใช้ ‘ข้อผิดพลาด’ ทะลวงผ่านฝ่ามือสีน้ำเงินเข้มของคนยักษ์
อามุนด์ที่สวมแว่นตาผลึกแก้วเงยหน้าขึ้น สบตากับไคลน์ซึ่งกำลังนั่งบนบัลลังก์เดอะฟูล
ไคลน์โบกมืออัญเชิญคทาเทพสมุทรและยกขึ้น
สายหมอกสีเทาทั้งหมดพลันเดือดพล่าน ปราสาทต้นกำเนิดสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง
พลังอันน่าเกรงขามและน่าสะพรึงควบแน่นกลายเป็นพายุสายฟ้าที่ทรงพลัง ท่ามกลางแสงสว่างซึ่งเกิดจากอัญมณีทุกเม็ดบนหัวคทา กลุ่มก้อนสายฟ้าปริมาณมหาศาลกระหน่ำยิงใส่ร่างมายาของอามุนด์ในตัวไคลน์อย่างท่วมท้น
เสียงสายฟ้าร้องคำรามดังกึกก้อง อสนีบาตสีเงินสว่างฉีกทำลายทุกสรรพสิ่งที่มันปกคลุม
ภาพมายาของอามุนด์พลันเลือนหาย แต่ร่างเนื้อของไคลน์ก็ไม่เหลือซากเช่นกัน
ในที่สุดชายหนุ่มประสบความสำเร็จในการฆ่าตัวตาย
หลังจากโจมตีเสร็จ ไคลน์ที่กำลังนั่งบนบัลลังก์สูง รีบตัดการเชื่อมต่อระหว่างปราสาทต้นกำเนิดกับโลกแห่งความจริง เพื่อไม่ให้อามุนด์ใช้เป็นเส้นทางในการก่อความวุ่นวายเพิ่มเติม
ทันทีหลังจากนั้น มันเริ่มรอคอย ‘ปาฏิหาริย์’ และการคืนชีพ
ณ ริมหุบเหวที่ด้านล่างมีอาคารสีเทาอ่อน ร่างหลักอามุนด์ขยับกรอบแว่นตาพลางขโมยคำสาปที่ทำให้บลาเดล ‘ยังไม่หายไปไหน’
คนยักษ์สีน้ำเงินเข้มพลันเน่าเปื่อยและกลายเป็นกระดูกขาวอย่างรวดเร็ว ท่อมายาสีดำรีบหดกลับเข้าไปในส่วนลึกของความมืดมิด
อามุนด์ที่แต่งกายในเสื้อคลุมสีดำและหมวกปลายแหลม ยืนแช่อยู่ในตำแหน่งเดิมเป็นเวลานานก่อนจะแหงนมองฟ้าด้วยความเงียบงัน ราวกับมันกำลังจดจ้องปราสาทต้นกำเนิดผ่านสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์
ในที่สุดมันขยับกรอบแว่นพร้อมกับขดมุมปากยิ้ม:
“น่าสนุกดีนี่”
…
บนวังโบราณไคลน์นั่งในตำแหน่งเดอะฟูลหัวโต๊ะทองแดงยาว สายตามองลงไปยังหมอกสีเทาเบื้องล่าง
มันพบว่าตะกอนพลังซึ่งเคยอยู่ในร่างเนื้อที่เพิ่งถูกทำลายไปของตน ปัจจุบันถูกส่งเข้าไปในช่องว่างประวัติศาสตร์และผสานเข้ากับหนอนวิญญาณจากในอดีต
ขอเพียงจิตใต้สำนึกไคลน์บนปราสาทต้นกำเนิดอนุญาต หนอนวิญญาณเหล่านี้สามารถออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และก่อตัวเป็นรูปร่างบนโลกความจริงอีกครั้ง
ปาฏิหาริย์การคืนชีพ โดยหลักแล้วเป็นการยืมพลังจากอดีตด้วยวิธีการซับซ้อน
ปาฏิหาริย์เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุอดีตกับอนาคต? ไคลน์ขมวดคิ้วพลางวิเคราะห์ว่า ‘ปาฏิหาริย์’ ของ ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ ทำงานอย่างไร
ไตร่ตรองสักพัก มันสลัดความคิดฟุ้งซ่านและหันมาทดสอบการคืนชีพบนปราสาทต้นกำเนิด แต่ทันใดนั้นก็พบปัญหา
การคืนชีพจะทำได้เฉพาะบนโลกความจริงเท่านั้น แถมยังต้องอยู่ในขอบเขตของซากศพ ส่วนร่างวิญญาณสามารถคืนชีพบนปราสาทต้นกำเนิดได้ แต่ในความเป็นจริง ร่างวิญญาณของไคลน์มิได้ถูกทำลาย แต่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงในตำแหน่งเดอะฟูล
หลักการคืนชีพคือการยืมพลังจากอดีต…จำนวนการคืนชีพจะเพิ่มขึ้นหลังจากเรากลายเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์…ตอนนี้น่าจะเหลืออีกแค่ครั้งเดียว…เฮ้อ…อามุนด์ต้องเฝ้าศพเราแน่…ต้องรีบหาวิธีออกจากสถานการณ์ปัจจุบันโดยเร็ว…สามัญสำนึกเกี่ยวกับเวลาของอามุนด์ผิดแผกไปจากมนุษย์ แถมยังเป็นเทพแห่งการกลั่นแกล้งที่อดทนมาก…อา…เราจะอยู่ในสภาพนี้ได้อีกสามวัน โดยหลังจากนั้นจะไม่สามารถยืมพลังจากอดีตเพื่อคืนชีพได้อีกแล้ว…หากทำไม่สำเร็จ เราจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่มีร่างเนื้อ! สมองไคลน์กำลังประมวลผลอย่างหนัก แม้ภายในใจจะยังกังวลอยู่หลายส่วน แต่ก็นับว่าผ่อนคลายกว่าสามวันที่ผ่านมา
ในที่สุดก็รอดพ้นจากสถานการณ์สิ้นหวังได้เสียที
ไคลน์มองไปทางทิวแถวเก้าอี้พนักสูงซึ่งสัญลักษณ์ด้านหลังกำลังเปล่งแสง จากนั้นก็มองดาวแดงที่คอยยุบพองและหดกลับตลอดเวลา
มันถอนหายใจยาวพร้อมกับเอนหลังพิงพนัก อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม
“พวกเขาคือหลักยึดเหนี่ยวของเรา”
…………………………